ฮิตปรอทแตก! การกลับมาอยู่ในกระแสของเครื่องประดับ Vivienne Westwood

จากโชคเกอร์มุกพร้อมจี้โลโก้ Orb ไซส์ยักษ์ของแบรนด์ราชินีสายพังก์ Vivienne Westwood ที่ตัวละครสาวแซ่บ ‘พักยอนจิน’ สวมเป็นชิ้นเด่นในซีรีส์ยอดฮิตแห่งปี The Glory สู่ชุดโปรโมทภาพยนตร์ Barbie ของแบรนด์เดียวกันที่ Margot Robbie (มาร์โก ร็อบบี) สวมโดยมีโชคเกอร์มุกเม็ดโตเป็นชิ้นฟินิชชิ่งลุคสไตล์คุณนายยุค ’60s แล้วไหนจะเมื่อ 5 วันที่ผ่านมา ‘ไอเอ็น – Stray Kids’ ก็เพิ่งสวมสร้อยมุกจากแบรนด์นี้เพื่อเน้นย้ำว่า สร้อยมุกทั้งสำหรับหญิงและชายคืออีกเมเจอร์เทรนด์ในยุค ‘2020s หลายปัจจัยส่งผลให้เครื่องประดับมุกของ Vivienne Westwood กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง … ได้รับความนิยมขนาดไหน!?! ก็เอาเป็นว่าเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมาภาพการต่อแถวยาวเป็นหางว่าวบริเวณหน้าสโตร์ (ในไทยมีร้าน Vivienne Westwood ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ ชั้น 1 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, ชั้น 1 เซ็นทรัล @ เซ็นทรัลเวิลด์ และ ชั้น 1 เซ็นทรัลภูเก็ต) สามารถยืนยันได้ว่าชั่วโมงนี้คงไม่มีเครื่องประดับแบรนด์ใดจะร้อนแรงเท่า Vivienne Westwood อีกแล้ว

ภาพบรรยากาศการจำหน่ายสินค้า วันที่ 25 สิงหาคม 2023 ก่อนและขณะทำการเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี

นอกจากถูกนำไปอวดโฉมบนลำคอ ข้อมือ และเรียวนิ้วของเหล่าคนดังทั้งบนพรมแดงและในซีรีส์สุดฮิตแล้ว อีกสองเหตุผลสำคัญที่ทำให้เครื่องประดับของแบรนด์นี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งเป็นเพราะอิทธิพลของกระแส Nostalgic (นอสตัลจิก) “ตอนนี้ Vivienne Westwood กลับมาอยู่ในใจของทุกคน ซึ่งเป็นผลจากการที่บรรดาเซเลบริตีชั้นนำหยิบชิ้นวินเทจของแบรนด์มาใส่ชนกันโดยไม่ได้นัดหมาย”Johnny Valencia (จอห์นนี วาเลนเซีย) เจ้าของร้านค้าออนไลน์จำหน่ายของวินเทจสุดปัง Pechuga Vintage (เพชชูกา วินเทจ) คืออีกรายที่ออกมายืนยันว่าในปัจจุบันนี้การได้ครอบครองชิ้นเด่นๆจาก Vivienne Westwood เปรียบได้กับการ ‘พิชิตฝัน’

แต่สำหรับใครที่โตไม่ทันได้ครอบครองชิ้นต้นฉบับหรือพลาดโอกาสคว้าชิ้นวินเทจจากร้านดังเอาไว้ การที่ทางแบรนด์นำดีไซน์ของเครื่องประดับชิ้นไอคอนิกกลับมาปัดฝุ่นใหม่ก็เป็นอีกกลยุทธ์มัดใจคนรุ่นใหม่ แถมยังสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 40 ปี อีกทั้งการเสียชีวิตของตัวผู้ก่อตั้ง Dame Vivienne Westwood (เดม วิเวียน เวสต์วูด) เมื่อปลายปีที่ผ่านมายังส่งผลให้มูลค่างานดีไซน์เก่าของเธอเพิ่มสูงขึ้น และยังเป็นที่ต้องการของทั้งแฟนคลับทั้งหน้าเก่าและใหม่ที่หันมาสนใจแบรนด์แฟชั่นระดับตำนานจากเกาะอังกฤษ เมื่อได้เสพเรื่องราวทรงคุณค่าผ่านการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับมรดกที่ราชินีของชาวพังก์ทิ้งไว้ให้วงการแฟชั่น

เซเลบริตีหญิงทั้งเอเชียและฮอลลิวูดกับสร้อยไข่มุกจาก Vivienne Westwood

อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้คอแฟชั่นโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ต่างอยากครอบครองเครื่องประดับของแบรนด์นี้เป็นเพราะการจำกัดจำนวนการผลิต (สไตร์ทุกสาขามีการจำกัดจำนวนการซื้อเครื่องประดับต่อแบบและชิ้น) อันเป็นผลจากการดำเนินงานตามแนวคิดของ เดม วิเวียน เวสต์วูด ที่ต้องการลดจำนวนการผลิตสินค้าออกมาไม่ให้มากจนเหลือบานเบอะบนราวลดราคา ไม่ก็กลายเป็น ‘ขยะแฟชั่น’ จำนวนมหาศาล แม้เธออยู่ในสถานะผู้นำของธุรกิจแฟชั่นที่ต้องการขายของใหม่ให้ได้ทุกไตรมาส แต่เมื่อผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหว ทำการปลุกระดมและเรียกร้องให้ทุกคนลุกฮือทำการปฏิวัติทวงโลกสีเขียว สโลแกน “ซื้อให้น้อย คิดให้เยอะ และใช้ให้คุ้ม” จึงเป็นสิ่งที่เธอย้ำนักย้ำหนาและลงมือปฏิบัติโดยเริ่มจากแบรนด์ตัวเอง เพื่อสะท้อนเรื่องจริยธรรมของแบรนด์แฟชั่น เครื่องประดับส่วนหนึ่งนั้นจึงเป็นการใช้วัสดุรีไซเคิล ไม่ก็ใช้วิธีอัพไซคลิง (ระบุไว้ในรายละเอียดของตัวผลิตภัณฑ์) ควบคู่การใช้วัสดุใหม่ และจะมุ่งเน้นวิธีการนี้มากยิ่งขึ้นในอนาคต

อ่านเพิ่มเติม: รำลึกและสดุดี ‘ราชินีของชาวพังก์’ จอมขบถแห่งโลกแฟชั่น ที่ปลุกระดมให้ผู้คนทำการ ‘ปฏิวัติทวงโลก’

เซเลบริตีชายทั้งเอเชียและฮอลลิวูดกับสร้อยไข่มุกจาก Vivienne Westwood

การกลับมาของความนิยมในเครื่องประดับของแบรนด์ Vivienne Westwood วันนี้จึงไม่เพียงเป็นภาพสะท้อนของวัฏจักรแฟชั่นที่หมุนเวียน เปลี่ยนผ่าน และวนมาบรรจบ แต่ยังเป็นเครื่องการันตีว่า ‘มรดกทางความคิด’ ของ Queen of Punk ผู้ล่วงลับนั้นเลอค่าและไร้กาลเวลา ที่สำคัญแม้ว่าลูกค้าที่สนับสนุนจะทราบถึงวัสดุหรือที่มาที่ไปของตัวผลิตภัณฑ์หรือไม่ แต่ทุกคนล้วนได้ครอบครองเครื่องประดับซึ่งทำหน้าที่เป็นชิ้นสเตทเมนต์ สะท้อนวิสัยทัศน์ รัก และ รักษ์โลก ของแบรนด์ที่ลุกขึ้นมาเป็นโต้โผในประเด็นนี้ ได้ครอบครองผลงานดีไซน์สุดคลาสสิกที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่มีคำว่า ‘เอาท์’ เพราะนั่นคือสิ่งที่ เดม เวสต์วูด ต้องการ … มอบความคุ้มค่าให้ผู้เสพแฟชั่นทุกราย

อ่านเพิ่มเติม: VIVIENNE WESTWOOD ชูคอนเซปต์ D.I.Y และความหลากหลายในคอลเล็กชั่น FW23

Vivienne Westwood Fall/Winter 2023

Similar Articles

More