ใช้ของแพงแล้วไง? ไลฟ์สไตล์และของใช้ราคาสูง สะท้อนภาพ ‘ยัปปี้’ ยุคใหม่ใน The Glory

ซีซัน 2 ของซีรีส์สุดฮิต The Glory กำลังเป็นกระแสจนครองอันดับ 1 บน Netflix ทั่วโลก! การนำเสนอภาพข้าวของเครื่องใช้ทันสมัยและสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงหูฉี่ ทำให้คนบางกลุ่มกังวลว่าจะทำให้ผู้ชมที่ยับยั้งชั่งใจไม่ได้เกิดความอยากได้อยากมีและท้ายที่สุดนำไปสู่ความฟุ้งเฟ้อหรือไม่? ชาวเน็ตบางส่วนยังเรียกพฤติกรรมของตัวละครด้วยศัพท์ที่เทียบกับภาษาไทยได้ว่าพวก ‘บ้าวัตถุ’ และ ‘ติดแบรนด์’ คำที่อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน แต่สำหรับบางคนนั้นกลับรู้สึกเฉยๆ

เพราะหากนำคำและพฤติกรรมเหล่านี้มาขยาย ก็คือการคลั่งไคล้หรือหลงใหลสินค้าแบรนด์ดัง ซึ่งที่มาของความศรัทธาและภักดีในตราสินค้า (Brand Royalty) อาจเกิดจากความประทับใจคุณภาพ ดีไซน์ต้องตาโดนใจ หรือชอบเพราะภาพลักษณ์ที่ดูหรูหราบ่งบอกรสนิยมของผู้ใช้ อย่างในซีรีส์เรื่องนี้ ตัวละครนางเอก ‘มุนดงอึน’ (รับบทโดย ซงฮเยคโย) ใช้เสื้อผ้าแบรนด์ดัง และกระเป๋าจากซูเปอร์แบรนด์ เพียงแต่คาแรคเตอร์มาดสุขุมและหน้าที่การงานของเธอสามารถเบนความรู้สึกจากการถูกมองว่าซื้อเพราะต้องการอวดร่ำอวดรวยไปเป็น ‘ฉลาดเลือก’ และลงทุนกับความคุ้มค่า ในขณะที่ทัศนคติและบุคคลิกของตัวละครร้ายรายหลัก ‘พัคยอนจิน’ (รับบทโดย ลิมจียอน) ทำให้การใช้สินค้าแบรนด์ดังสร้างความรู้สึกตรงกันข้าม นิยามของคำเหล่านี้จะส่งผลต่อความรู้สึกในด้านลบหรือบวกจึงขึ้นอยู่กับทัศนคติและมุมมองของผู้ใช้ รวมทั้งการใส่ใจและให้ค่ามากน้อยแค่ไหน

ภาพโปรโหมดซีรีส์ The Glory ซีซีน 2
Courtesy of Netflix

จากประเด็นค่านิยมการใช้สินค้าซูเปอร์แบรนด์ของหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้ยุคใหม่ที่สะท้อนผ่านซีรีส์ดังหลายเรื่อง ทำให้ผมนึกถึงกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ‘Yuppie’ ขึ้นมาทันที …ทศวรรษที่ 1980 โลกมีคำฮิตใช้เรียกคนสมัยใหม่ที่เป็นพวกกึ่งวัตถุนิยมและติดการใช้สินค้าแบรนด์ดังๆว่า ‘Yuppie’ (Young Urban Professional) คำคำนี้เกิดขึ้นช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 1984 และถูกนำมาใช้แพร่หลายในเวลาต่อมา โดยคำว่า ‘ยัปปี้’ เปรียบได้กับผลผลิตหรืออีกเจเนอเรชันของกลุ่มคนยุคเบบี้บูมเมอร์ (ปัจจุบันคือผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ) ที่ถูกเรียกว่า ‘BoBo’ เป็นการนำคำภาษาฝรั่งเศสสองคำมารวมกัน ‘Bourgeoisie’ ที่แปลว่า ‘ชนชั้นกระฎุมพี’ หรือชนชั้นกลางที่ทำงานจนประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง รวมไปถึงชนชั้นนายทุนยุคใหม่ที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นนายจ้าง เป็นผู้ผลิตปัจจัยต่างๆ ที่ขับเคลื่อนสังคม

และ ‘Bohémien’ – โบฮีเมียน กลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตแหวกแนว ‘ไม่ต้องการเหมือนใคร’ รักความท้าทาย แสวงหาความสุขให้ชีวิต นิยมเสพดนตรีและงานศิลปะ โบโบจึงกลายเป็นคำเก๋ไก๋ที่เคยใช้เรียกสังคมยุคใหม่ (ในที่นี้คือยุค ’60s) อย่างสนุกปาก คนนิยมใช้คำนี้ก่อนที่หนังสือขายดีในอเมริกา Bobos in Paradise, The new upper class and how they got there โดย David Brooks จะวางแผงเสียอีก ‘โบโบ’ กลายเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ดีใหม่ซึ่งพวกเขาก็ภูมิใจกับสถานะนี้เอามากๆ เพราะแม้ไม่ได้เกิดมาร่ำรวยหรือเกิดมาในตระกูลเก่าแก่แต่ก็ได้รับการยอมรับด้วยความสามารถของตัวเอง

บน: ตัวละคร พัคยอนจิน ถือกระเป๋า Off-White รุ่น Jitney 1.4 และใช้โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy Z Flip4 / ล่าง: ตัวละคร จอนแจจุน ใช้โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy Z Fold4
Courtesy of Netflix

David Brooks นักเขียนและนักวิจารณ์คนดังเขียนไว้ในหนังสือขายดี Bobos in Paradise ว่า ‘โบโบ’ มักไม่ปลื้มพวกผู้ดีเก่า เพราะพวกเขาไม่ได้เกิดมามีชาติตระกูลหรือมีเงินทองมากมายเช่นคนเหล่านั้น มีแต่ความรู้ความสามารถที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ‘ยัปปี้’ ที่เปรียบได้กับกลุ่มโบโบแห่งโลกยุคใหม่ที่เชื่อว่า ‘การศึกษา’ จะทำให้ก้าวถึงฝั่งฝันได้เร็วยิ่งขึ้น (ไม่ต่างจากตัวละครมุนดงอึน ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการศึกษา) การได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงในโลกยุคโลกาภิวัตน์คือสิ่งที่พึงปรารถนา เพราะไม่ว่าประชาคมโลกจะอยู่ในพื้นที่แห่งใดก็สามารถเชื่อมต่อ รับรู้และแลกเปลี่ยนแนวคิดที่มีร่วมกันผ่านระบบคมนาคมขนส่งและเทคโนโลยีสารสนเทศ สะท้อนภาพของความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับยัปปี้ การมีไหวพริบดี ความรู้ความสามารถ และใบปริญญา เปรียบได้กับบัตรผ่านทางสู่อนาคตอันสดใส ยศและตำแหน่งหน้าที่การงานคือรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ควรได้รับ พวกยัปปี้จะไม่รู้สึกอายที่ต้องทำมาหากิน มิหนำซ้ำยังกลัวการไม่มีงานทำ เพราะการไม่มีงานก็เท่ากับ ‘ไม่มีเงิน’ แล้วเมื่อไม่มีเงินชีวิตก็เหมือนจะขาดความสุขอันสร้างได้ด้วยปัจจัยต่างๆ จึงมีการเปรียบกลุ่มยัปปี้ (ที่ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่) ว่าเป็น ‘ชนชั้นวัตถุนิยม’ รักความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ห้อมล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับคำนิยามที่ถูกยัดเยียดให้แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังมองว่าตนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

บน: ตัวละคร พัคยอนจิน สวมสร้อยคอไข่มุกประดับคริสตัลจาก Vivienne Westwood / ล่าง: ตัวละคร พัคยอนจิน ถือกระเป๋า Lady Dior สีแดง
Courtesy of Netflix

ภาพชายสวมสูทลายพินสไตรป์ บนมือมีเทรนช์โค้ทลายตารางสุดคลาสสิกของ Burberry พาดอยู่ สวมนาฬิกาแบรนด์หรูยี่ห้อ Rolex ใช้กระเป๋าบรีฟเคสของ Gucci ฟินิชชิ่งลุคด้วยรองเท้าหนังเงาวับ ยืนคู่กับสาววัยทำงานในชุดสูทแบรนด์ Ralph Lauren ใส่หูฟังรุ่นล่าของ Sony Walkman บนข้อมือมีนาฬิการุ่น Tank ของแบรนด์หรู Cartier สะพายกระเป๋าหนังใบใหม่ของ Coach และเพิ่มความเทรนด์ดี้ด้วยรองเท้าสนีกเกอร์รันนิ่งที่ปรากฏบนแฮนด์บุ๊คเล่มดัง The Yuppie Handbook ปี 1984 หรือละครชุดทางโทรทัศน์ช่วงปลายยุค ’90s ถึงต้น 2000s เรื่อง Sex and The City ที่ว่าด้วยเรื่องของกลุ่มเพื่อนสาวที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยสะท้อนภาพ ‘ความสำเร็จ’ ผ่านเครื่องแต่งกาย แฟชั่นไอเท็ม ของใช้ทันสมัยและเครื่องประดับหรูหราขีดสุด คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่านอกจากความรู้ความสามารถของบรรดายัปปี้แล้ว ‘ภาพลักษณ์’ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ

เพราะไม่เพียงบ่งบอกตัวตน แต่ยังทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกประทับใจ ซึ่งเรื่องนี้ก็สะท้อนผ่านประโยคเด็ด “แต่งน้อยชิ้นที่สุด แต่เป็น Dior ทั้งหมด” ในซีรีส์ The Glory ซีซั่นแรกที่กลายเป็นไวรัล เสื้อผ้าและของใช้ต่างๆคือสิ่งบ่งบอกถึงการประสบความสำเร็จ ยัปปี้มักขวนขวายหาสิ่งที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด โอ้อวดได้ที่สุดเท่าที่เงินในกระเป๋าจะเอื้อให้กับชีวิต โดยสิ่งที่ยัปปี้เจเนอเรชั่นก่อนหน้าทำนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเหล่ามิลเลนเนียลในปัจจุบัน จึงมีการนิยามคนยุคใหม่ที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้ว่าเป็น ‘The New Yuppies’

มีการใช้คำที่ดูดี ‘แพชชั่น’ เป็นตัวแทนของทัศนคติ และเป้าหมายในการใช้ชีวิต ยัปปี้ยุคใหม่ยังใส่ใจกับเรื่องของการศึกษา หน้าที่การงาน และรายรับ (ซึ่งเรื่องหลังนี้สำคัญมาก!) ไม่เพียงเท่านั้นคนกลุ่มนี้ยังรักความเป็นอิสระ การมีงานทำและมีเงินเดือนดี ถือเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่จะดียิ่งไปกว่าถ้างานที่ทำและนำมาซึ่งรายได้นั้นตรงกับความหลงใหลที่มี ดังนั้นในยุคที่สังคมถูกขับเคลื่อนด้วยโลกคู่ขนานอย่างโซเชียลมีเดีย มีหลายช่องทางในการหารายได้บนโลกออนไลน์ ทั้ง Facebook, Instagram, Youtube และ TikTok จึงยิ่งเป็นการเอื้อให้ความฝันของยัปปี้รุ่นใหม่เป็นจริงได้ไม่ยาก 

โลกแฟชั่นและเทคโนโลยีก็ดูเหมือนจะอ้าแขนรับและสนับสนุนคนกลุ่มนี้ เพราะเราต้องไม่ลืมว่ามีนักออกแบบและแบรนด์ดังมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ผู้คุมบังเหียนเป็นกลุ่มโบโบและยัปปี้ ภาพการประสบความสำเร็จในชีวิตโดยสะท้อนผ่านมูลค่าของสินค้าที่ได้ครอบครองซึ่งปรากฏอยู่บนแฮนด์บุ๊คในยุค ’80s จึงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในพ.ศ. นี้ และเป็นเหมือนวงล้อวัฏจักร เพราะยัปปี้ยุคใหม่ก็ยังคงให้ความสนใจและนิยมชมชอบของใช้ทันสมัยทำให้ชีวิตสะดวกสบายและสินค้าแบรนด์เนมราคาสูง ไม่ต่างจากกลุ่มยัปปี้รุ่นบุกเบิกเมื่อ 4 ทศวรรษที่แล้ว

“ผมก็เป็นคนกลุ่มยัปปี้ที่ต้องไล่ตามความฝัน และสร้างแบรนด์จนกลายเป็นที่รู้จักได้ด้วยตัวเอง” – คำกล่าวของ Mun Soo Kwon นักออกแบบชาวเกาหลีใต้ ที่จบการศึกษาด้านแฟชั่นดีไซน์จากสถาบันชั้นนำของอเมริกา เคยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของนักออกแบบดัง Thom Browne และเคยนำภาพ The Yuppie Handbook: The State-of-the- Art Manual for Young Urban Professionals มาพิมพ์เป็นลวดลายบนเสื้อยืดเพื่อฉลอง 35 ปีแฮนด์บุ๊คเล่มดังและสดุดีแก่ยัปปี้ผู้สามารถพิสูจน์ตัวตนจนกลายเป็นที่ยอมรับได้ด้วยความสามารถของตน คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนและดูจะโดนใจแฟชั่นนิสต้าแดนโสมอยู่ไม่น้อย 

เพราะอย่างที่ทราบว่าถ้าไม่ได้เกิดมาในตระกูลของ ‘แชบอล’ (มหาเศรษฐีของเกาหลีใต้) หนุ่มสาวชาวเกาหลียุคใหม่ย่อมต้องใช้ความรู้ความสามารถที่มีเป็นเครื่องพิสูจน์และถีบคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนสถานการณ์จะบีบบังคับ แต่นี่ล่ะคือวิถีแห่งยิปปี้ พวกเขาภูมิใจในความสามารถและได้มีข้าวของเครื่องใช้ทันสมัยและหรูหราได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง … “ติดแบรนด์แล้วไง!?!” จึงน่าจะเป็นคำถามที่พวกเขาถามกลับผู้ที่สงสัยว่า ทำไมต้องใช้แต่ของใช้ทันสมัยและราคาแพงหูฉี่ ก็ในเมื่อพวกเขาอัจฉริยะมากพอที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นมาถึงจุดที่เอื้อมถึงข้าวของพวกนี้ คงไม่สนใจคำพูดเย้ยหยันแฝงความรู้สึกอิจฉาจนเกินงามของกลุ่มคนที่ไม่ได้สนใจถึงที่มาว่ากว่าที่พวกเขาจะมีวันนี้ กลายมาเป็นยัปปี้ยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต้องฝ่าฟัน อดทน และต่อสู้มามากเพียงไร

Similar Articles

More