การเดินทางแห่งเวลาได้ฝากรอยจารึกอันยิ่งใหญ่ไว้บนผลงานการสร้างสรรค์นาฬิกาที่ต่างก็ประทับไว้ด้วยเรื่องราวแห่งความเที่ยงตรงแม่นยำ นวัตกรรม คุณภาพ และความเป็นเลิศ เฉกเช่นเดียวกับที่หล่อหลอมไว้ภายในนาฬิการุ่นใหม่ของ Rolex
TRAVELING SPIRIT
จิตวิญญาณของการเดินทางไม่ใช่เพียงการก้าวย่างเพื่อไปให้ถึงยังจุดมุ่งหมายหรือจุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความพยายามที่จะเอาชนะซึ่งขีดจำกัด ตลอดจนพิชิตพรมแดนอันเหนือความคาดหมายต่างๆ ณ สถานการณ์ตรงหน้า ด้วยความกล้าหาญ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกันนั่นคือแนวคิดอันสร้างสรรค์ ที่มีส่วนช่วยนำทางไปสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ รวมถึงสร้างวิวัฒนาการก้าวใหม่ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการผจญภัยและการเดินทางในโลกของเรือนเวลาสำหรับ Rolex ที่ในปีนี้ได้นำเสนอผลงานรุ่นเด่นสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการเป็นนักเดินทางท่องกาลเวลา โดยการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ความเป็นเลิศด้านการแสดงเวลา
THE TIME TRAVELERS
นับจากการเปิดตัวในปี 1955 นาฬิกา Oyster Perpetual GMT-Master ของ Rolex ได้สร้างสถานะอันเข้มแข็งในฐานะนาฬิกาข้อมือที่ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นเพื่อเหล่ามืออาชีพและนักเดินทางท่องโลกและจวบจนวันนี้ก็ยังคงนับเป็นหนึ่งในทายาทเรือนเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่งต่อการออกสำรวจสู่พรมแดนใหม่ๆ แห่งการสร้างสรรค์และประดิษฐ์นาฬิกาสำหรับนักเดินทางตัวยง
สืบทอดไว้ด้วยเอกลักษณ์ของ GMT-Master ต้นตำรับ ทั้งในด้านประสิทธิภาพของการแสดงเวลาได้หลายไทม์โซน ควบคู่กับงานออกแบบอันทันสมัยและแสดงเวลาได้อย่างชัดเจน โดยแสดงผ่านเข็มชี้ 24 ชั่วโมงเพิ่มเติม ที่ตอกย้ำถึงสถานะอันมั่นคงของ GMT-Master ในการเป็นนาฬิกาสำหรับนักเดินทางอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังร่วมสะท้อนถึงรูปแบบการใช้ชีวิตและห้วงอารมณ์ความรู้สึก ตลอดจนประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้มาจากการเดินทางในแต่ละช่วงเวลา ด้วยงานออกแบบที่เน้นย้ำถึงความทันสมัย และสมดุลลงตัวระหว่างคุณสมบัติทางเทคนิค และคุณลักษณะความสวยงามของรูปลักษณ์ภายนอก บนเส้นทางแห่งความสำเร็จของนาฬิการะดับตำนานรุ่นนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเสน่ห์แห่งงานดีไซน์อันทันสมัยที่สอดคล้องไปตามยุคสมัยและอยู่เหนือกาลเวลา
เช่นเดียวกับนาฬิการุ่นใหม่ในปีนี้ ที่นับเป็นครั้งแรกสำหรับ Oyster Perpetual GMT-Master II ในเวอร์ชันตัวเรือน Oystersteel ที่นำเสนอคู่มากับขอบหน้าปัด Cerachrom แบบเซรามิกสีเทาและสีดำ โดยใน GMT-Master II รุ่นใหม่นับเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างรูปลักษณ์โทนสีเงินจากนวัตกรรมวัสดุ Oystersteel ที่มีความแข็งแรงทนทาน ทั้งยังคงความแวววาวจากการตกแต่งพื้นผิววัสดุอย่างประณีตเข้ากับขอบหน้าปัดแบบทูโทนด้วยเฉดสีเข้มขรึมอย่างสีเทาและสีดำ และนอกเหนือจากตัวเรือนอันทรงเสน่ห์แล้ว งานออกแบบของรุ่นใหม่ยังบรรจบเข้ากับความมีเอกลักษณ์ของสายนาฬิกาที่สามารถเลือกได้ใน 2 รูปแบบ ทั้งสายนาฬิกา Oyster และสายนาฬิกา Jubilee ซึ่งต่างก็ให้สัมผัสและมอบสไตล์เฉพาะที่แตกต่างกัน แต่ยังคงผสมผสานไว้ด้วยความเรียบหรูและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในแง่ของความสะดวกสบายในการสวมใส่บนข้อมือไว้ได้อย่างลงตัว
ความแวววาวของตัวเรือนบวกกับโทนสีคู่ของขอบหน้าปัดได้มอบจุดเด่นให้กับนาฬิกาที่นอกจากจะดูคมชัดด้วยเส้นสายและโครงร่างบวกกับโทนสีแล้ว สีเทาและสีดำของขอบหน้าปัด Cerachrom นี้ก็ยังช่วยขับให้หน้าปัดเคลือบเงาสีดำ พร้อมคำสลักว่า ‘GMT-Master II’ สีเขียวนั้นยิ่งโดดเด่นมากขึ้น เช่นเดียวกันกับเข็มชี้แสดงเวลา 24 ชั่วโมงที่เป็นสีเขียวแบบเดียวกัน จึงดูคล้ายกับเส้นแสงที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรา โลก และการเดินทางของเวลาไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยนอกจากจะแสดงเขตเวลาอื่นที่เลือกไว้แล้ว เข็มนาฬิกากลางยังชี้ไปยังเวลาที่สอดคล้องกับสถานที่ที่ผู้สวมใส่อยู่ ณ ปัจจุบัน สะท้อนถึงช่วงเวลา ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งของโลกที่พร้อมจะบันทึกไว้ด้วยเรื่องราวแห่งประสบการณ์ ความทรงจำ และห้วงอารมณ์ความรู้สึกของเหล่านักเดินทางได้เสมอ
TIMELESS MILESTONES
Oyster Perpetual GMT-Master ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือและเป็นเพื่อนนักเดินทางท่องโลก โดยการเป็นนาฬิกาที่สามารถแสดงเวลาได้หลายไทม์โซนพร้อมกันในเรือนเดียว และนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1955 GMT-Master ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของขอบหน้าปัดปรับหมุนได้ 2 ทิศทาง และบรรจุไว้ด้วยดิสก์ Plexiglass แสดงเวลา 24 ชั่วโมง พร้อมการตกแต่งแบบทูโทนหรือ 2 โทนสี เพื่อมอบการอ่านค่าได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งนาฬิกาสำหรับนักเดินทางโดยแท้ ทั้งยังเป็นตัวเลือกของเหล่านักผจญภัย นักสำรวจ ตลอดจนนักบินผู้มีชื่อเสียงระดับตำนานที่ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ๆ ให้กับเรื่องราวการเดินทางอย่างเหนือความคาดหมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ชื่อของ GMT-Master จะปรากฏคู่กับเรื่องราวการเดินทางข้ามพรมแดนและเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรมการเดินทางมากมายในแต่ละยุคสมัย เช่น การปรากฏตัวคู่กายกับเหล่านักบินและนักบินอวกาศ อย่าง William J. Knight นักบินและวิศวกรการบินผู้ทำสถิติความเร็วสูงสุดตลอดกาล 7,274 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเครื่องบินจรวด X-15 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1967 จนได้รับฉายาว่า ‘The world’s fastest man’ ซึ่งเขายังสวมใส่นาฬิกา GMT-Master ของเขาเองด้วย หรือการเดินทางอันท้าทายของ Stuart A. Roosa วิศวกรการบินอวกาศในภารกิจ Apollo 14 ที่สวมใส่นาฬิกา GMT-Master ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ และมักถ่ายภาพนาฬิกาเรือนนี้บนข้อมือของเขาเสมอ
ในฐานะนาฬิกาสำหรับนักเดินทาง GMT-Master ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์วิวัฒนาการก้าวใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอประสิทธิภาพและความสามารถทางเทคนิคอันล้ำสมัย ที่จะบรรจบกับความต้องการของเหล่านักท่องโลกตัวยง เช่นเดียวกับนวัตกรรมครั้งสำคัญในปี 1982 ที่ Rolex ได้เผยโฉม GMT-Master II ซึ่งติดตั้งด้วยกลไกคาลิเบอร์เจเนอเรชันใหม่ที่ช่วยให้เข็มชี้ชั่วโมงสามารถถูกปรับตั้งได้อย่างอิสระจากเข็มนาทีและเข็มชี้เวลา 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการใช้งานได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ขณะที่เข็มชี้แสดงเวลา 24 ชั่วโมงนั้น ตกแต่งด้วยปลายเข็มรูปทรงสามเหลี่ยมและทำงานคู่กับขอบหน้าปัดปรับหมุนได้ 2 ทิศทาง พร้อมดิสก์แสดงเวลา 24 ชั่วโมง
ต่อมาในปี 2005 Rolex ยังได้เปิดตัวมิติใหม่ของขอบหน้าปัดปรับหมุนได้ 2 ทิศทางนี้ ที่เป็น Cerachrom ทำจากเซรามิกคุณภาพสูงครั้งแรก พร้อมทั้งการแสดงเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับทายาทนาฬิกานักเดินทางระดับตำนาน อย่าง GMT-Master II ในการอ่านค่าเวลาใน 2 ไทม์โซนได้พร้อมกันทันทีและชัดเจนกว่าที่เคย ส่วนฟังก์ชันวันที่นั้นยังคงอยู่และแสดงสอดคล้องไปกับ local time ซึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับนักเดินทางข้ามซีกโลกและข้ามหลายไทม์โซนในทริปเดียว ในแง่ของงานออกแบบที่กลายเป็นหนึ่งในไอคอนิกของ GMT-Master II นั้นก็ต้องยกให้กับการเปิดตัวในปี 2014 ของขอบหน้าปัด Cerachrom แบบเซรามิกทูโทนหรือผสมผสานระหว่าง 2 โทนสี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาด้านรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่มากับความสามารถด้านฟังก์ชัน ทั้งจากความทนทานสูงของ Cerachrom และการเลือกใช้ 2 โทนสีต่างกันนี้ก็ยังช่วยทำหน้าที่แสดงความแตกต่างระหว่างชั่วโมงของช่วงเวลากลางวันและเวลากลางคืนได้อย่างชัดเจนเหมือนดังรุ่นดั้งเดิมอีกด้วย
POWERFUL ELEGANCE
Oyster Perpetual Sky-Dweller นับเป็นอีกหนึ่งผลงานนาฬิการะดับตำนานเพื่อมอบให้กับเหล่านักเดินทางโดยเฉพาะ ที่ถ่ายทอดผ่านการออกแบบอันละเอียดอ่อน เปี่ยมด้วยความสามารถทางเทคนิคเหนือชั้นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น โดยหลอมรวมระหว่างศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาและความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและวัสดุชั้นสูงของ Rolex เพื่อมอบเป็นผลลัพธ์ของความสมบูรณ์แบบแห่งเรือนเวลาที่ได้ร่วมต่อยอดเรื่องราวแห่งการเดินทางผ่านผลงานรุ่นใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง และแต่ละรุ่นนั้นก็ยังคงร่วมตอกย้ำถึงสไตล์อันเป็นไอคอนิกของ Oyster Perpetual Sky-Dweller ไว้อย่างภาคภูมิเสมอมา
ในปีนี้ Rolex ได้พลิกโฉมความสง่างามอันทรงพลังของ Sky-Dweller ด้วยตัวเลือกของการจับคู่มากับสายนาฬิกา Jubilee ทำจากโลหะล้ำค่า ซึ่งนับเป็นการนำมาใช้ครั้งแรกสำหรับนาฬิกาแสดงเวลาได้หลายไทม์โซนของเหล่านักเดินทาง ขณะเดียวกันก็ยังมีให้เลือกทั้งในเวอร์ชันเยลโลว์โกลด์ และ Everose gold ที่ผ่านการตีความอย่างละเอียดอ่อน เพื่อผสมผสานระหว่างวัสดุและโทนสีเหล่านี้ให้สามารถลงตัวเข้ากับงานออกแบบอันทันสมัย โดยยังคงความหรูหราและความสวยงามตามแบบต้นตำรับดั้งเดิมของ Sky-Dweller ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการสร้างสรรค์รูปแบบในการจัดเรียงข้อสายนาฬิกาที่มีขนาดต่างกัน รวมถึงสลับระหว่างพื้นผิวซึ่งตกแต่งต่างกัน โดยจัดวางข้อสายขัดเงาเรียบขนาดเล็กไว้ตรงกลาง ส่วนข้อสายขัดแบบซาตินขนาดใหญ่ประกบขนาบอยู่ด้านนอกตลอดสาย นอกจากนี้ ยังคิดค้นและผลิตก้านสอดเซรามิกที่ออกแบบขึ้นเองและนำมาประกอบไว้ภายในข้อสายนาฬิกาได้อย่างกลมกลืน ชิ้นส่วนเล็กๆ นี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมด้านความทนทานของการใช้งานและเพิ่มความยืดหยุ่นเมื่อสวมใส่บนข้อมือ ขณะที่ความละเอียดอ่อนของงานฝีมือการตกแต่งนั้นทำหน้าที่เด่นในการช่วยขับเน้นให้สายนาฬิกา Jubilee พร้อมทั้งตัวล็อกสาย Oysterclasp รุ่นใหม่นี้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นจากประกายแวววาวที่เล่นกับแสงสะท้อนเป็นอย่างดี ทั้งยังมอบไว้ซึ่งสัมผัสอันอ่อนโยนและกลมกลืนได้อย่างลงตัวอีกด้วย
ใน Sky-Dweller ใหม่ของปีนี้จับคู่มากับองค์ประกอบอันสง่างามไม่แพ้กันของหน้าปัดสีเทาอมน้ำเงินสำหรับรุ่น Everose gold และหน้าปัดสีขาวเข้มในรุ่นเยลโลว์โกลด์ ซึ่งทั้ง 2 โทนสีนี้มีส่วนช่วยในการขับเน้นความแม่นยำและชัดเจนของการแสดงเวลา ขณะเดียวกันก็เสริมความโดดเด่นให้กับสายนาฬิกาที่มีความแวววาวเป็นพิเศษได้อีกด้วย ส่วนหัวใจการขับเคลื่อนของนาฬิการุ่นใหม่ยังคงติดตั้งด้วยกลไก calibre 9002 กับการแสดงเวลา 24 ชั่วโมงของไทม์โซนที่ 2 พร้อมทั้งการแสดงวันที่ด้วยระบบปรับตั้งได้อย่างรวดเร็วและมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านช่องหน้าต่าง ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ตลอดจนการแสดงเดือนบนช่องหน้าต่างด้านหลังของแต่ละมาร์กเกอร์แสดงเวลา 12 ชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวแทนของเดือนต่างๆ ในรอบ 1 ปี โดยแสดงเดือน ณ ปัจจุบันไว้ด้วยสัญลักษณ์สีแดงเด่น สำหรับนาฬิกาของเหล่านักเดินทางใน 2 รูปลักษณ์ใหม่นี้ถือได้ว่ามาช่วยเติมเต็มความใฝ่ฝันของผู้ที่หลงใหลในนาฬิกาหรูหรา สง่างาม และเปี่ยมด้วยพลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ
EXCELLENCE IN WATCHMAKING
นาฬิกาข้อมือเปรียบเหมือนดั่งสัญลักษณ์แห่งอนาคตและยุคสมัยใหม่อันทันสมัย ตามเจตนารมณ์และเป้าหมายของ Hans Wilsdorf ผู้ก่อตั้งแห่ง Rolex และนักสร้างสรรค์เรือนเวลาผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ที่ได้วางรากฐานแห่งความตั้งใจและมุ่งมั่นนี้มานับตั้งแต่ปี 1905 ของการก่อตั้ง ทั้งความสง่างามและความเป็นเลิศจึงได้กลายเป็น 2 หัวใจหลักของนาฬิกาข้อมือ Rolex ตลอดจนการเป็นมาตรฐาน อันเข้มแข็งให้กับการพัฒนาผลงาน และต่อยอดประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาสืบเรื่อยมา
เฉกเช่นเดียวกับการสร้างสรรค์ผลงานคอลเล็กชั่นต่างๆ ที่ล้วนสะท้อนถึงการเป็นนาฬิกาคุณภาพสูงและทันสมัยเสมอ โดยผ่านการออกแบบ ผลิต และทดสอบอย่างเข้มงวดในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงความเอาใจใส่ในแต่ละรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ทั้งหมดนี้ได้แสดงออกผ่านคุณสมบัติและคุณลักษณะเฉพาะตัวทั้ง 8 ประการของนาฬิกา Rolex ทุกๆ เรือน อันได้แก่ ความเที่ยงตรงแม่นยำ ประสิทธิภาพการกันน้ำ ประสิทธิภาพการสำรองพลังงาน ความแข็งแกร่ง ความเรียบง่าย งานฝีมือ ความสะดวกสบาย และความทนทาน โดยคุณสมบัติและหลักการด้านความสวยงามเหล่านี้ ยังได้นำทางให้แบรนด์เดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานที่มีทั้งความสง่างามและความสามารถซึ่งไว้วางใจเชื่อถือได้ และประทับไว้ด้วยตรา Green Seal อันเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพและความเป็นเลิศของนาฬิกา Rolex ทั้งหมด
เหมือนกับอีกหนึ่งคอลเล็กชั่นนาฬิกาอันเป็นตัวแทนของเรือนเวลาสำหรับนักเดินทางด้วยการแสดงเวลา 2 ไทม์โซน อย่าง Sky-Dweller ที่ถ่ายทอดมิติแห่งความประณีตสวยงามและความสามารถด้านฟังก์ชันที่หล่อหลอมเข้าด้วยกันได้อย่างไร้ที่ติ นับจากความละเอียดของการรังสรรค์หน้าปัดที่ประกอบด้วยหลากหลายชิ้นส่วนอันซับซ้อน ทั้งดิสก์แสดงเวลา 24 ชั่วโมง ผสมผสานกับการจัดวางดิสก์แสดงวันที่ได้อย่างกลมกลืน ภายใต้งานฝีมือของการประดิษฐ์หน้าปัดด้วยโทนสีอันสง่างาม และคงความลุ่มลึกของเฉดสีเข้ากับการเล่นแสงที่พร้อมจะมอบการแสดงเวลาได้อย่างชัดเจนแม่นยำเสมอ ขณะที่ตัวเรือน Oyster นั้นยังบรรจบกับขั้นตอนอันเข้มงวดของการผลิตตามมาตรฐานของ Rolex พร้อมทั้งผ่านกระบวนการทดสอบอันเข้มข้นภายใต้หลักการ Superlative Control ที่นำมาใช้กับการทดสอบนาฬิกาทั้งหมดที่ผลิตโดยโรงงาน เพื่อตรวจเช็คทั้งคุณภาพและความสวยงามเพื่อให้ตรงตามเกณฑ์ที่แบรนด์ต้องการ เช่นเดียวกับชิ้นส่วนหัวใจอื่นๆ ของ Sky-Dweller อาทิ ระบบ Ring Command ซึ่งพัฒนาและจดสิทธิบัตรโดย Rolex สำหรับใช้ในการเลือกฟังก์ชันที่จะปรับตั้งระหว่างปฏิทิน (วันที่และเดือน) local time หรือ reference time โดยเป็นการทำงานประสานกันระหว่างขอบหน้าปัดปรับหมุนได้ เม็ดมะยมไขลาน และกลไก เพื่อช่วยให้ผู้สวมใส่นาฬิกาสามารถเลือกฟังก์ชันโดยการหมุนขอบหน้าปัด และปรับตั้งฟังก์ชันเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังปลอดภัยสูง ตลอดจนสายนาฬิกาของ Sky-Dweller ที่มีให้เลือกทั้งสายนาฬิกา Oyster หรือสายนาฬิกา Jubilee ซึ่งมาพร้อมกับระบบขยายข้อสาย Easylink พัฒนาโดย Rolex และสายนาฬิกา Oysterflex สิทธิบัตรเฉพาะของแบรนด์เช่นกันกับระบบ Rolex Glidelock สำหรับช่วยขยายสายได้อย่างรวดเร็ว โดยสายนาฬิกาเหล่านี้ต่างก็ผ่านขั้นตอนการผลิตอันพิถีพิถันละเอียดอ่อน เพื่อมอบประสิทธิภาพทั้งด้านความยืดหยุ่น ความทนทานยาวนาน และความสะดวกสบายสูงในการสวมใส่บนข้อมือ
แต่ละขั้นตอนของการรังสรรค์นาฬิกาเหล่านี้ยังผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมนวัตกรรม วิศวกรเทคนิค ช่างฝีมือ และช่างนาฬิกา ที่ร่วมมือกันอย่างทุ่มเทและมุ่งมั่นเพื่อเดินทางสู่เป้าหมายหนึ่งเดียวกันในการส่งมอบซึ่งนาฬิกาที่หล่อหลอมไว้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยสัญลักษณ์แห่งความเป็นเลิศทั้งหมดของ Rolex