เราเชื่อว่าในช่วงวันหยุดยาวสิ้นปีชาวแอลเมนหลายๆ คนจะต้องหมกตัวอยู่บ้านเพราะเบื่อรถติดในช่วงเทศกาล วันนี้ ELLE MEN Thailad เลยคัดซีรีส์หลากรสชาติ 9 เรื่องมาให้พวกคุณได้เอาเก็บไว้ดูในช่วงนี้ เพื่อยกระดับวันหยุดสุดเอื่อยให้มีสีสันมากขึ้น ถึงแม้แต่ละเรื่องนั้นจะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนกันเลย แต่เราการันตีว่าต้องมีสักเรื่องแหละที่เข้าตาคุณ ที่สำคัญใครที่เดินทางกลับบ้านหากคุณไม่ต้องขับรถ ลองจดไว้ในลิสต์ตอนเดินทางก็ดีนะเพราะเราเชื่อซีรีส์ที่เราคัดมาจะแก้เบื่อให้คุณได้ จะมีซีรีส์เรื่องไหนบ้างเลื่อนไปดูโลด!
1. The Crown

เปิดซีซันแรกด้วยเรื่องราวในยุค 1940s เล่าประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั้งในรั้วพระราชวังและการเมืองหลายยุคสมัย ล่าสุดซีรีส์ยอดนิยมเรื่องนี้เดินทางมาถึงซีซันสุดท้าย ว่าด้วยโศกนาฏกรรมการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอานาในปี 1997 รวมถึงจุดเริ่มต้นความรักของเจ้าชายวิลเลียมและเคต มิดเดิลตัน เมื่อครั้งทั้งสองเป็นนักศึกษาอยู่ที่ St. Andrews University แน่นอนว่ายังคงโฟกัสชีวิตของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เป็นตัวละครหลัก รับบทโดยอิเมลดา สตอนตัน (Imelda Staunton) และมีนักแสดงมากความสามารถอย่างโจนาทาน ไพรซ์ (Jonathan Pryce) มาช่วยเสริมให้เรื่องราวน่าติดตามมากขึ้นด้วย
ความยาว: 6 ซีซัน
ช่องทางรับชม: Netflix
2. The Bear

ซีรีส์แจ้งเกิดที่ส่งให้เจเรมี อัลเลน ไวต์ (Jeremy Allen White) ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำ ว่าด้วยเรื่องราวของคาร์มี เชฟหนุ่มอนาคตไกลที่หวนกลับมายังบ้านเกิดเพื่อสานต่อร้านอาหารของพี่ชายผู้เลือกจบชีวิตตัวเองจากไป นับตั้งแต่นั้นเขาก็ต้องเข้าไปจัดการมรดกหนี้สิน แถมยังต้องรับมือกับคนครัวคนเก่าที่คอยเป็นไม้เบื่อไม้เมา ไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่ ล่าสุดประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมีซีซันที่ 3 ตามมาแน่นอน
ความยาว: 2 ซีซัน
ช่องทางรับชม: Disney+ Hotstar
3. Succession

ซีรีส์ขึ้นหิ้งตลอดกาลที่กวาดรางวัลมาเต็มสองมือ อัดแน่นด้วยเล่ห์เหลี่ยมเฉือนคมบนโลกธุรกิจ (ว่ากันว่านี่คืออีกเวอร์ชั่นของ Game of Thrones) เป็นเรื่องราวการช่วงชิงอำนาจของสมาชิกครอบครัวตระกูล Roy ไล่เรียงตั้งแต่คนพ่อที่ไม่ยอมลงจากตำแหน่ง มาจนถึงรุ่นลูกสามคนพี่น้องที่ผลัดกันขัดขาผ่านการกระทำสิ้นคิด ทั้งปกปิดความผิด ติดสินบน และอีกสารพัดเพื่อให้ได้สิทธิผู้สืบทอดธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่ ‘Waystar Royco’ โดยชอบธรรม
ความยาว: 4 ซีซัน
ช่องทางรับชม: HBO
4. Ozark

ซีรีส์เนื้อหาเข้มข้นที่ผสมความดราม่าและอาชญากรรมไว้ด้วยกัน เปิดฉากด้วยตัวละคร ‘มาร์ตี เบิร์ด’ นักบัญชีผู้หวังรวยทางลัดที่รับงานฟอกเงินให้มาเฟียแก๊งค้ายา แล้วความซวยก็บังเกิดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อโดนจับได้ว่าหุ้นส่วนของเขายักยอกเงินไป หลังจากนั้นเนื้อหาก็พลิกผันเกินคาดเดา เขาต้องงัดทุกกลยุทธ์ ใช้ทุกไหวพริบเพื่อให้ครอบครัวข้ามพ้นวิกฤตไปได้ ผู้สร้างประกาศออกมาแล้วว่า Ozark จะจบบริบูรณ์ในซีซันที่ 5
ความยาว: 4 ซีซัน
ช่องทางรับชม: Netflix
5. The Last of Us

อีกหนึ่งซีรีส์ที่ได้รับคะแนนรีวิวจากนักวิจารณ์บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes อย่างล้นหลาม เป็นเรื่องราวดัดแปลงจากวิดีโอเกมยอดฮิตเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดบนโลกที่ล่มสลายและเต็มไปด้วยเหล่าผู้ติดเชื้อ นอกจากความลุ้นระทึกที่สัมผัสได้ตลอดการเดินทางอันโหดร้ายของ Joel (รับบทโดย Pedro Pascal) และ Ellie (รับบทโดย Bella Ramsey) ซีรีส์ยังเล่นกับความรู้สึกคนดูด้วยการชูประเด็นความสัมพันธ์ในหลากหลายมิติของตัวละครที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะกดดัน จุดนี้ทำให้ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก ปัจจุบันกำลังเดินหน้าสร้างซีซัน 2 และมีกำหนดจะออกฉายในปี 2025
ความยาว: 1 ซีซัน
ช่องทางรับชม: HBO
6. House of The Dragon

คอนเฟิร์มแล้ว! ความสนุกของเกมแย่งชิงอำนาจกำลังจะกลับมาในซีซัน 2 มีกำหนดฉายช่วงซัมเมอร์ปีหน้า (ประมาณมิถุนายน-กันยายน 2024) ระหว่างนี้สามารถทวนความจำโดยกลับไปย้อนดูเรื่องราวศึกสายเลือดของตระกูลทาร์แกเรียนในยุครุ่งเรืองขณะปกครองเวสเทอรอส (200 ปีก่อนเหตุการณ์ในซีรีส์ Game of Thrones) ตั้งแต่สมัยเอกอน (Aegon) ราชาคนแรกผู้หลอมสร้างบัลลังก์เหล็ก มาจนถึงเรนีรา (Rhaenyra) ผู้ไม่ได้ต้องการเป็นราชินี แต่กลับได้สืบทอดบัลลังก์ในช่วงเวลานั้น
ความยาว: 1 ซีซัน
ช่องทางรับชม: HBO
7. The White Lotus

ซีรีส์แนว Comedy Drama การันตีชั้นเชิงฝีมือการเล่าเรื่องด้วย 10 รางวัลจากเวที Emmy Awards และมีรายงานว่าซีซัน 3 ผู้สร้างตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ พล็อตคร่าว ๆ เล่าถึงผู้คนสองกลุ่ม คือกลุ่มแขกผู้เข้าพักและกลุ่มพนักงานของโรงแรม White Lotus ตัวละครทั้งหมดพัวพันเกี่ยวข้องกันทั้งในทางดีและทางร้าย เกิดจุดเปลี่ยนหักเห และนำมาสู่เรื่องราวชิบหายวายป่วงที่ชวนติดตาม
ความยาว: 2 ซีซัน
ช่องทางรับชม: HBO
8. Moving

จัดเต็มทั้งทุนสร้าง โปรดักชั่น และอัดแน่นไปด้วยนักแสดงคุณภาพทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ เปิดเรื่องมาก็ตกคนดูได้อยู่หมัดด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่ทิ้งปมใหม่และคลายปมเก่าไปพร้อมกัน เป็นเรื่องราวของมนุษย์ผู้มีพลังพิเศษในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ได้เน้นสาดพลังอย่างเดียว แต่ถ่ายทอดให้เห็นประเด็นสังคม สายสัมพันธ์ในครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อน ชีวิตวัยรุ่น ไปจนถึงปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน เรียกว่าจัดเต็มครบทุกอารมณ์ทั้งแอ็กชั่น ดราม่า โรแมนติก คอเมดี้ กลมกล่อมลงตัว คุ้มค่าแก่การอดนอน
ความยาว: 1 ซีซัน
ช่องทางรับชม: Disney+ Hotstar
9. Breaking Bad

ซีรีส์แนวอาชญากรรมสุดเดือดที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เล่าเรื่องราวของวอลเตอร์ ไวต์ (Walter White) ครูสอนวิชาเคมีโรงเรียนมัธยมปลาย หลังจากพบว่าตัวเองกำลังเผชิญโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แถมสถานะทางการเงินของครอบครัวก็ง่อนแง่น ไวต์จึงผันตัวเข้าวงการค้ายาในฐานะผู้ผลิตโดยใช้ฐานความรู้ทางด้านเคมีของตัวเอง และได้เจสซี พิงก์แมน (Jesse Pinkman) อดีตลูกศิษย์เข้ามาเป็นลูกมือ ตลอด 5 ซีซันคุณจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครจากคนดีที่ศีลธรรมค้ำคอ แต่พอขึ้นหลังเสือแล้วเขาจะหาทางลงได้หรือไม่ ต้องลองติดตามกัน
ความยาว: 5 ซีซัน
ช่องทางรับชม: Netflix