‘Supreme’ สิ้นความขลัง? เมื่อตัวตึงแฟชั่นสายสตรีตอาจไม่เจ๋งเหมือนเดิมอีกต่อไป!

หากพูดถึงวัฒนธรรมสตรีตในเลนส์ของแฟชั่นแล้วจะมีหนึ่งแบรนด์แฟชั่นที่เกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมสุดฮิปนี้โดยตรง แต่แบรนด์นั้นไม่ใช่ลักชูรีแฟชั่นสุดหรูหรือแบรนด์แฟชั่นสุดนิชแต่อย่างใด แต่กลับเป็นแบรนด์สตรีตชื่อดังจากมหานครนิวยอร์กอย่าง ‘Supreme’ แบรนด์แฟชั่นตัวตึงของเหล่าสายสตรีตและสายสเกต ที่เรียกว่าเคยอยู่ท็อปสุดของห่วงโซ่อาหารและเป็นผู้กำหนดเทรนด์ของกลุ่มสินค้าแฟชั่นสไตล์นี้เลย 

พูดให้คอแฟชั่นเข้าใจง่ายๆ เลยก็คือหากสิ่งใดที่ฮิตในวัฒนธรรมสตรีตแล้วนั้น ล้วนมีโลโก้ทรงกล่องสีแดงอันทรงพลังของแบรนด์นี้ไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอๆ จนมีประโยคล้อเลียนที่ว่า “แค่มีโลโก้ Supreme แปะอยู่ก็ขายได้แล้ว” ซึ่งความทรงพลังของแบรนด์สตรีตชื่อดังจากนิวยอร์กแบรนด์นี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ไม่ได้เลยหากไม่มีสาวกของแบรนด์คอยซัพพอร์ตจนเป็นแบรนด์นี้กลายเป็นอีกหนึ่งไอคอนของแฟชั่นสตรีตเลย 

แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับแบรนด์สตรีตชื่อดังแบรนด์นี้ แพร่สะพัดไปในคอมมูนิตี้ของเหล่าแฟชั่นสายสตรีตกับประโยคที่ว่า “Supreme is Dead” หรือ “Supreme ตายแล้ว” ตั้งแต่ Reddit คอมมูนิตี้เว็บบอร์ดชื่อดังไปยันโซเชียลมีเดียอย่าง Tiktok และ Instagram ทำให้เราต้องหยิบประเด็นร้อนนี้ขึ้นมาพูดกันในวันนี้ พร้อมย้อนรอยไปรู้จักกับจุดเริ่มต้นและจุดพีคของแบรนด์นี้กัน!

Supreme จากร้านขายอุปกรณ์สเกต… สู่แบรนด์สตรีตแฟชั่นอันทรงพลัง…

จุดเริ่มต้นของแบรนด์สตรีตแบรนด์นี้เกิดขึ้นในปี 1994 ณ มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยน้ำพักน้ำแรงของ ‘James Jebbia’ (เจมส์ เจบบิอา) นักออกแบบแฟชั่นและนักธุรกิจหัวแหลม ผู้ซึ่งก่อตั้งแบรนด์ดังแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยในช่วงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Supreme เป็นเพียงแบรนด์ที่ขายเพียงอุปกรณ์และเสื้อผ้าให้กับเหล่า Skater หรือคนเล่นสเกตเท่านั้น 

เนื่องจากในประเทศสหรัฐฯ ช่วงเวลานั้นไม่ได้มีแบรนด์ที่ขายอุปกรณ์และเสื้อผ้าสำหรับเล่นสเกตที่มีคุณภาพมากพอ จึงทำให้เหล่าผู้เล่นสเกตในสหรัฐอเมริกาชื่นชอบในตัวแบรนด์ Supreme เป็นอย่างมาก และทำให้แบรนด์ค่อยๆ กลายเป็นที่รู้จักในคอมมูนิตี้นี้ขึ้นมา และในช่วงที่ผ่านเทรนด์แฟชั่นสตรีตได้ถูกผลักดันให้กลายมาเป็นอีกหนึ่งกระแสหลักในอุตสาหกรรมแฟชั่น ทำให้ Supreme กลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่คอแฟชั่นและสายสตรีตต้องมีติดตู้ไว้ 

ร้าน Supreme ที่ New York

‘Louis Vuitton X Supreme’ คอแลบชื่อก้องที่ทำลายเส้นแบ่งสตรีตและลักชูรีแฟชั่น

ถือมรดกอันล้ำค่าที่คอลลาบอเรชั่น Louis Vuitton X Supreme ได้ทิ้งไว้ให้กับแวดวงนี้ ซึ่งเราต้องยกความดีความชอบให้กับ Kim Jones (คิม โจนส์) อาร์ติสติกไดเร็กเตอร์ของ Dior Men ซึ่งในตอนนั้นเขาดำรงตำแหน่งหัวเรือหลักแผนกเสื้อผ้าผู้ชายอยู่ที่เมซง Louis Vuitton ที่ดึงเอา Supreme เข้าสู่โลกของไฮแฟชั่นอย่างแท้จริง ซึ่งในตอนนั้นเราจำได้เลยว่าแฟนๆ ของทั้งสองแบรนด์ต้องไปต่อแถวกันหน้าร้านของ Loius Vuitton เพื่อซื้อสินค้าในคอแลบนี้ และที่สำคัญ LV X Supreme ขายหมดในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น! (ทั้งๆ ที่ราคาขายหน้าร้านนั้นสูงมาก)

หลังจากนั้นความ Hype ของ Supreme ก็เริ่มค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้น แต่ที่โด่งดังและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากที่สุดก็คงเป็นการที่ Supreme ไปคอลลาบอเรชั่นกับเมซงชื่อดังอย่าง Louis Vuitton ซึ่งในช่วงเวลานั้นใครจะไปคิดว่าแบรนด์ลักชูรีกับแบรนด์สตรีตนั้นจะมาจับมือร่วมกันได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วและทำให้การคอลลาบอเรชั่นในอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นไร้ขอบเขต ดั่งเช่นที่เราเห็นกันในปัจจุบันที่แบรนด์แฟชั่นข้ามเส้นไปร่วมงานกับแบรนด์ในแวดวงอื่นๆ จนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต 

แต่นอกจากแบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศสแล้วก็เรียกได้ว่า Supreme นั้นได้ร่วมมือกับแบรนด์อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น The North Face, Burberry, Tiffany & Co. และ Nike ในพาร์ตของสินค้าแฟชั่น หรือแม้แต่ Oreo และ Pat McGrath แบรนด์ขนมและเครื่องสำอางชื่อดัง ก็เคยได้ร่วมงานกับแบรนด์สตรีตชื่อดังจากนิวยอร์กแบรนด์นี้มาแล้ว เรียกว่าอาณาจักรและอิทธิพลของแบรนด์สตรีตแบรนด์นี้นั้นทรงพลังจริงๆ  

อัตลักษณ์อันเรียบง่ายแต่เด่นชัด เบื้องหลังความสำเร็จของ Supreme 

จากที่เราได้เล่าไปข้างต้นก็พอจะทำให้ชาว ELLE MEN เข้าใจในความทรงพลังและความสามารถในการสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ของ Supreme ในแวดวงแฟชั่นแล้ว ซึ่งเคล็ดลับความสำเร็จก็ไม่ใช่อะไรเลยแค่คือ ‘ตัวตน’ หรือ ‘อัตลักษณ์’ ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากๆ องค์ประกอบในงานดีไซน์ของ Supreme มีอยู่ไม่กี่อย่างแต่สามารถสร้างความจดจจำให้กับผู้บริโภคจนกลายเป็นลัทธิได้เลย 

อย่างแรกก็คือ ‘สีแดงสด’ อันเปรียบเสมือนพระเอกของแบรนด์ที่สามารถผสมผสานไปอยูกับอะไรแล้วก็ดูคูลและเท่ได้ องค์ประกอบที่สองก็คือฟอนต์ ‘Fatura’ ที่ถูกใช้ในโลโก้ของแบรนด์ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง DNA ของแบรนด์ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโลโก้ของแบรนด์ Supreme และสิ่งสุดท้ายที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์นี้โด่งดังเป็นพลุแตก 

สิ่งนั้นก็คือ ‘การเข้าถึงคนทุกชนชั้น’ เพราะจริงๆ แล้วราคาขายของ Supreme นั้นเริ่มต้นในช่วงราคาที่สามารถจับต้องได้ ทำให้คนทุกชนชั้นสามารถมีไอเทมของแบรนด์สตรีตนี้ไว้ในครอบครองได้ จนกลายเป็นลัทธิ Supreme ดังที่เราเห็นในโลกของสตรีตแฟชั่นช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่ที่ทำให้ราคาของไอเทมต่างๆ ของแบรนด์นี้สูงขึ้นก็คงเป็นเพราะ Demand หรือความต้องการซื้อของแฟนคลับทำให้ราคาสินค้าบางชิ้นที่ถูก Re-Sell นั้นพุ่งสูงขึ้นจนไม่น่าเชื่อ 

“Supreme is Dead” ประโยคที่สะท้อนสถานภาพในปัจจุบันของแบรนด์ 

Courtesy of Supreme

แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีสิ่งใดจีรังอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดเพราะล่าสุดเหล่าชาวสตรีตได้ออกมาพูดคุยและแสดงความคิดเห็นในโลกอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายในท็อปปิกที่ว่า ‘Supreme is Dead’ ซึ่งประเด็นนี้ที่ชาวสตรีตพูดถึงกันนั้นไม่ได้หมายความว่าแบรนด์นั้นได้ปิดตัวลงแต่อย่างใด แต่หมายถึงการที่ตัวแบรนด์ Supreme นั้นไม่ได้คูลและทรงอิทธิพลในหมู่คอแฟชั่นสายสตรีตอีกต่อไปแล้ว แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ความขลังของ Supreme ในสายตาของเหล่าคนแฟชั่นสายสตรีตถึงมองว่าแบรนด์นี้ไม่คูลอีกต่อไปแล้ว 

#ประการแรก คือการที่แบรนด์ Supreme นั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนๆ และคอแฟชั่นได้ การทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ทำให้แฟนๆ เริ่มเบื่อและไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ Supreme ทำอีกต่อไป กรณีนี้เราสามารถนำไปเทียบได้กับแบรนด์ไฮเอนด์ที่ดึงเอาแฟชั่นดีไซเนอร์หน้าใหม่มาพลิกโฉมแบรนด์สร้างยอดขายหลายพันล้านยูโร อาทิ Bottega Veneta ที่ได้ Daniel Lee (เดเนียล ลี) มาพลิกโฉมจนยกระดับกลายเป็นแบรนด์สุดฮอตได้ แต่ถึงแม้ Supreme จะมีการเปลี่ยนครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มาเป็น ‘Tremaine Emory’ (เทรเมน เอมอรี) แต่ไดเร็กชั่นของแบรนด์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่นัก 

จนล่าสุดมีรายงานจาก Highsonobiety ว่ายอดโหวต Droplist ที่เคยมีคนเข้ามาโหวตหลักหมื่นคนเหลือเพียงหลักพันเท่านั้นนอกจากนั้นยังมีรายงานออกมาอีกว่าคอลาบอเรชั่น The North Face X Supreme ประจำฤดูกาล Spring/Summer 2023 ซึ่งในอดีตเป็นการคอลแลบที่ฮอตมากและขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่ในซีซั่นนี้สินค้าเหลืออยู่ในหน้าเว็บและช่องทางออนไลน์อยู่หลายวัน

#ประการที่สอง ในปัจจุบันที่มีทุกอย่างย้ายเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เหล่าแบรนด์สตรีตน้อยใหญ่ที่อยู่นอกกระแสได้รับแสงสปอตไลต์มากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคสินค้าสปอร์ตแวร์ทั่วโลกได้รู้จักแบรนด์ใหม่ๆ มากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันมีแบรนด์สตรีตมากมายเริ่มได้รับความสนใจ เช่น MSCHF แบรนด์ผู้สร้างรองเท้าบูตสีแดงของเจ้าหนุอะตอมให้เกิดขึ้นจริง หรือ Palace Skateboards ที่สร้างความร่วมมืออย่างบ้าคลั่งในปีที่แล้ว จึงทำให้ส่วนแบ่งตลาดสตรีทแวร์นั้นเริ่มมีผู้ท้าชิงตำแหน่งสุดยอดแบรนด์สตรีตมากขึ้น

#ประการสุดท้าย และอีกหนึ่งข้อสำคัญของการสิ้นมนต์ขลังในครั้งนี้ก็คือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังที่เราเห็นได้จากในคอมมูนิตี้สตรีตแวร์ทั้งหลาย ที่คนในคอมมูฯ นี้เริ่มหันไปชื่นชอบไอเทมสตรีตที่มีความมินิมัลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์แฟชั่นในปัจจุบันที่กระแส ‘มินิมัล’ กำลังกลับมาครองพื้นที่ในโลกแฟชั่น ทำให้ Supreme อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ผู้บริโภค ณ ช่วงเวลานี้

สุดท้ายแล้วถึง Supreme จะสิ้นความขลังแต่แบรนด์ชื่อดังจาก NYC นี้ก็ยังเป็นแบรนด์สตรีตที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมีผู้ติดตามมากมาย เราหวังว่าในอนาคตแบรนด์สตรีตชื่อดังแบรนด์นี้จะกลับมาผงาดและเป็นเจ้าตลาดผู้กำหนดเทรนด์แฟชั่นสตรีตเช่นเดิมดั่งวันวาน

Similar Articles

More