“Louis Vuitton เป็นแบรนด์ดังก้องโลกที่มีสินค้าแฟชั่นเกือบทุกชนิดแต่เรายังไม่เคยมีนาฬิกา เพราะคิดว่ายังไม่พร้อมและเราจะต้องพร้อมก่อนทำอะไรเสมอ ที่ผ่านมามีการละเมิดลิขสิทธิ์ตราสินค้าและนำลายเอกลักษณ์ของวิตตองไปผลิตเป็นนาฬิกาวางขายเกลื่อนกลาดเยอะมาก จนทำให้คนเข้าใจผิดว่าแบรนด์ลักซ์ชัวรีระดับเราต้องมีนาฬิกาด้วยแน่ … แต่เอาล่ะ ตอนนี้เราพร้อมแล้วและผู้ที่คาดหวังว่าจะได้ใส่นาฬิกาของวิตตองจะต้องตื่นเต้น” – Yves Carcelle (อีฟ คาร์เซล) อดีต CEO ของแบรนด์หรูระดับยอดพีระมิดกล่าวไว้ในปี 2002

ว่าแล้วในช่วงฤดูหนาวของปีนั้น เสียงกลองสัญญาณแห่งการเฉลิมฉลองและการเริ่มต้นได้ดังขึ้น’ พร้อมกับการเปิดตัวเรือนเวลารุ่นแรกของ Louis Vuitton ในชื่อ ‘Tambour‘ (ตองบูร์) ซึ่งแปลว่า ‘กลอง’ ในภาษาฝรั่งเศส เอกลักษณ์ของเรือนเวลาที่ว่าคือรูปทรงแบบเฉพาะ แกะสลักจากบล็อกโลหะเป็นทรงกลมและแข็งแรงเช่นเดียวกับกลอง มีการสลักตัวอักษรชื่อแบรนด์ทั้ง 12 ตัวข้างตัวเรือนตามตำแหน่งตัวเลขบอกชั่วโมง และด้านหลักสลักลายโมโนแกรมเลื่องชื่อ
การมาของ Tambour ไม่เพียงสั่นสะเทือนวงการแฟชั่น แต่ยังลามไปถึงวงการนาฬิกาหรูเมื่อแบรนด์เก่าแก่ที่สร้างชื่อจากการทำหีบและกระเป๋าเดินทางที่เพิ่งกระโจนลงมาบนสังเวียนแฟชั่นโดยเผยโฉมคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปเมื่อ 4 ปี ก่อนหน้า ขอสู้ศึกในสนามของผู้สร้างสรรค์เรือนเวลาระดับโลก “ผมดีใจในที่สุด Louis Vuitton ก็มีนาฬิกาเสียที” – Marc Jacobs (มาร์ค เจค็อบส์) อดีตผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่งเมซงวิตตองระหว่างปี 1997 – 2013 กล่าวด้วยความปลื้มปิติ

“เพราะนอกจากกระเป๋า เข็มขัด และรองเท้าแล้ว ผู้ชายต้องการนาฬิกาดีๆ สักเรือน ผมเองมีส่วนในการผลักดันให้นาฬิกาเรือนแรกนี้ออกมาดูคลาสซี่ มีระดับ ไม่กระโตกกระตากสไตล์นาฬิกาแฟชั่นจ๋า ดังนั้นหากคุณคิดว่าจะได้เห็นลายโมโนแกรมหรือดามิเยร์พร้อยไปทั้งเรือนก็ขอลืมไปได้เลย เพราะนาฬิกาเรือนนี้ถูกออกแบบมาให้โก้หรูและดูไร้กาลเวลาเหมือนคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าและเครื่องหนังที่ผมออกแบบ” มาร์คได้กล่าวเสริมถึงทิศทางงานออกแบบของ Tambour ที่สอดคล้องกับผลงานไอคอนิกชิ้นอื่นๆของวิตตองที่ไทม์เลสอย่างแท้จริง




แม้ถูกปรามาสในช่วงแรกเริ่มว่าก็คงเป็นแค่นาฬิกาตามกระแสไม่ต่างจากแฟชั่นเฮาส์รายอื่น แต่ด้วยเวลาเพียงไม่นาน Louis Vuitton ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เมื่อพร้อม’ อย่างที่อดีตซีอีโอได้กล่าวไว้ให้ผลลัพธ์เช่นไร นาฬิการุ่น Tambour ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งจากบรรดาสาวกของแบรนด์และผู้ที่นิยมเรื่องเรือนเวลา ทั้งในแง่งานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ วัสดุที่เลือกใช้ นวัตกรรมล้ำสมัย (Tambour LV 277 รุ่นแรกใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันระหว่าง LVMH และโครโนกราฟด้วยลำกล้อง El Primero ความถี่สูงอันโด่งดังของ Zenith) ไปจนถึงความคงทน ซึ่งในกรณีหลังนี้ผมคือคนหนึ่งที่การันตีได้ด้วยตัวเองว่านาฬิกาของแบรนด์นี้ทนทานจริงๆ
“หลังเวลา 2 ทศวรรษของการออกแบบเรือนเวลาภายใต้รูปทรงของกลองที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ นาฬิกาตองบูร์ กลายเป็นที่จดจำของผู้คน ขณะเดียวกันก็ถือเป็นอีกบทพิสูจน์ที่มีต่อยุคสมัย ความสง่างาม และฟังก์ชันการใช้งาน ซึ่งสอดคคล้องกับวิสัยทัศน์ของเมซงที่ยืนหยัดมากว่า 160 ปี นาฬิกาของวิตตองได้มอบความเหนือระดับที่เคยไม่เคยมีมาก่อนแก่ผู้สวมใส่ ผ่านทุกรายละเอียดและองค์ประกอบบนเรือนเวลาชิ้นใหม่นี้” Jean Arnault (ฌอง อาร์โนลต์) ทายาทตระกูล LVMH และผู้อำนวยการแผนกนาฬิกาคนปัจจุบันกล่าว




ในวาระการเฉลิมฉลอง 2 ทศวรรษแห่งความสำเร็จ และก้าวสู่ปีที่ 21 ของ Tambour ทาง Louis Vuitton จึงได้นำเสนอเรือนเวลาคอลเล็กชั่นล่าสุด นาฬิกาตัวเรือนสแตนเลสสตีลสองเวอร์ชันปักหมุดการเดินทางใหม่ของตองบูร์ผ่านงานออกแบบที่โอบรับห้วงเวลาของชีวิตในแต่ละวัน หน้าปัดนาฬิกาโทนสีคล้ายคลึงกันของเฉดเงินและเทาหรือแบบที่แสนโดดเด่นของเฉดสีน้ำเงินที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ นำเสนอถึงเอกลักษณ์อันร่วมสมัยของเมซงวิตตอง อีกทั้งเรือนเวลาที่คล้องอยู่บนข้อมือยังได้รับการออกแบบและผลิตอย่างพิถีพิถันโดยแผนกนาฬิกาชั้นสูง La Fabrique du Temps Louis Vuitton (ลา ฟาบรีค ดู ตองส์ หลุยส์ วิตตอง)

“ในการเปิดตัวนาฬิกาคอลเล็กชั่นล่าสุดนี้ เรามุ่งหวังถึงการเปิดอีกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของเมซงผ่านการสร้างสรรค์เรือนเวลาซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาชั้นสูง และเอกลักษณ์แห่งสไตล์ของวิตตองไปพร้อมกัน” Jean Arnault กล่าวเสริม
นาฬิกาตองบูร์รุ่นใหม่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสื่อถึงความเป็นไปได้ในการผลิตเรือนเวลาโดยแผนกนาฬิกาชั้นสูง La Fabrique du Temps Louis Vuitton ซึ่งมีอาเตลิเย่ร์ตั้งอยู่ในเมืองเจนีวา ก่อตั้งขึ้นโดยมาสเตอร์วอทช์เมเกอร์ Enrico Barbasini (เอริโก บาร์บาซินี) และ Michel Navas (มิเชล นาบาส) ผู้สร้างสรรค์นาฬิการะดับตำนานที่นำรางวัลมาสู่หน้าประวัติศาสตร์ของเมซง
กลไกรุ่นใหม่ caliber LFT023 เป็นมากกว่าจักรกลการเคลื่อนไหว ทว่ามีวิวัฒนาการไปพร้อมกับนาฬิกาตองบูร์ และนับเป็นครั้งแรกในการผลิตกลไกอัตโนมัติระบบสามเข็มเอกสิทธิ์เฉพาะของวิตตอง พัฒนาร่วมกับผู้ผลิตกลไกนาฬิการะดับสูง Le Cercle des Horlogers (เลอ เซอร์เคิล เดส์ ออร์โลแฌร์ส) นำเสนอสัญลักษณ์ที่เป็นดังรหัสของเมซงตั้งแต่ฟันเฟืองประดับด้วยสัญลักษณ์ดอกไม้โมโนแกรมไปจนถึงชิ้นส่วนไมโครโรเตอร์ตกแต่งลวดลายอักษรย่อ LV

การออกแบบเน้นย้ำถึงความร่วมสมัย แม้แต่องค์ประกอบขนาดเล็กของเรือนเวลาอย่างสะพานกลไกแต่งพื้นผิวแบบทราย ส่วนขอบขัดเงาและมุมตัดเว้าคือรูปแบบที่ปรากฏซ้ำไปมาราวถ้อยคำสื่อสารถึงสุนทรียศาสตร์ของเรือนเวลา พื้นผิวลายจุดขนาดเล็กถูกแต่งบนชิ้นส่วนหลักเพื่อสื่อถึงเทคนิคการตกแต่งแบบดั้งเดิม ทว่าอัญมณีใสไร้สีแบบเก่าถูกแทนที่ด้วยเม็ดทับทิมสีมาเจนต้า มอบรูปลักษณ์อันล้ำสมัยให้แก่กลไกคาลิเบอร์ LFT023 ชิ้นส่วนไมโครโรเตอร์ผลิตด้วยทองคำ 22 กะรัต จับคู่กับกลไกไขลานที่สามารถสำรองพลังงานได้สูงสุดถึง 50 ชั่วโมง ในรอบความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมงด้วยอัตรา 4 ครั้งต่อวินาที
ด้านมาตราฐานระดับความเที่ยงตรง (Chronometer) นั้นได้รับการรับรองมาตรฐานเดียวกับนาฬิกาชั้นสูงในแวดวงนาฬิกา กลไกคาลิเบอร์ LFT023 มีระยะความคลาดเคลื่อนของช่วงเวลาราว -4 ถึง +6 วินาทีต่อวัน ได้การรับรองมาตรฐานจาก Geneva Chronometric Observatory (เจนีวา โครโรเมตริก ออฟเสิร์ฟวาทอรี) ภายใต้การอุปถัมภ์ของมูลนิธิ TIMELAB (ไทม์แลป) เพื่อตอกย้ำถึงประสิทธิภาพของกลไกคาลิเบอร์ LFT023 ที่ทำงานได้อย่างเที่ยงตรงตามมาตรฐาน ISO 3159

และมีความแม่นยำสูงสุดในการจับเวลา Louis Vuitton ยังถือเป็น ‘ผู้ผลิตนาฬิการายแรก’ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานชิ้นส่วนจาก Geneva Chronometric Observator เพื่อแสดงถึงคำมั่นสัญญาในการสร้างสรรค์เรือนเวลาสมัยใหม่ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและความยอดเยี่ยม รูปแบบทันสมัย สง่างาม และสะท้อนคุณค่างานฝีมือ
กลไกคาลิเบอร์ LFT023 ที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกสำหรับการผลิตนาฬิกาตองบูร์รุ่นล่ายังมาพร้อมกับกลไกใหม่อีก 3 รูปแบบที่ได้รับการนำเสนอพร้อมเรือนเวลาทั้งสองรุ่นกับตัวเรือนสแตนเลสสตีล ในฐานะหมุดหมายแรกที่เปิดหน้าประวัติศาสตร์ของการเดินทางเข้าสู่ยุคสมัยของนาฬิกาตองม์บูร์ … เรียกได้ว่าไม่ได้งามเพียงแค่รูปร่างหน้าตา เพราะยังเปี่ยมด้วยคุณค่าในเชิงงานดีไซน์และนวัตกรรมล้ำหน้าสำหรับการผลิตเรือนเวลาอย่างแท้จริง