ชวนรู้จักเอส-ศุภ สง่าวรวงค์ นักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ที่กำลังโชว์ฝีมือด้านการแสดงไปพร้อมกับทำลายสถิติทางกีฬาอย่างยอดเยี่ยม เผยเรื่องราวการเลิกกดดันตัวเอง แล้วกลับประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
ELLE MEN: จุดเริ่มต้นที่เล่นกีฬานี้?
Est: ตอนแรกก็ยังไม่รู้เลยว่าเราชอบเล่นกีฬาอะไร แต่ว่าจุดเริ่มต้นของการว่ายน้ำคือตอนอายุประมาณ 4-5 ขวบ แม่มาบอกผมว่าเดี๋ยวจะพาไปเที่ยว แต่ก่อนจะไปเที่ยวต้องว่ายน้ำให้เป็นก่อน ก็เลยยอมไปเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่ตอนที่ได้เริ่มเรียนตอนอนุบาลเราก็ไม่ได้หยุดเลย เหมือนมันพัฒนามาเรื่อย ๆ จากการเรียนมาเป็นความจริงจังมากขึ้น ไปถึงขั้นซ้อมว่ายน้ำ ตอนนั้นเราเป็นคนเหงื่อออกง่าย ขี้ร้อน แล้วแฮปปี้ที่ได้ลงน้ำ ก็แค่นั้นเลย แต่พอมาเรื่อย ๆ พอเราซ้อมหนักขึ้น เราเริ่มว่ายดีขึ้น ก็รู้สึกว่าเราทำมันได้ดี เราก็อยากทำมันต่อไปเรื่อย ๆ
ELLE MEN: ถ้าเปรียบเอสเป็นปลาชนิดหนึ่ง คิดว่าตัวเองจะเป็นปลาอะไร?
Est: ไม่รู้ว่าเราเหมือนปลาอะไร แต่คนชอบเรียกเราว่าเป็นฉลาม ฉลามเอส เราก็อนุมานไปเลยว่าเราเป็นฉลาม จริง ๆ ผมก็คิดว่าเป็นฉลามมาตลอด ด้วยความที่คนอื่นเรียกเราด้วย แล้วเราก็คิดว่ามันเท่ดี แล้วมันก็อยู่ในขั้นสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร เราไม่ใช่ปลาที่ถูกล่า ประมาณนี้ครับ
ELLE MEN: การแข่งขันครั้งไหนที่ประทับใจที่สุด?
Est: มีหลายอันอยู่ครับ แต่คิดว่าแมตช์ที่ประทับใจที่สุดเลยน่าจะเป็นการแข่งขัน World Cup มันเป็น FINA World Cup ครับตอนนั้น มันจะย่อมาจาก Federation International อะไรสักอย่าง แต่คนไทยเรียกว่าสหพันธ์ว่ายน้ำโลก เหมือนตอนนี้เขารีแบรนด์จาก FINA มาเป็น World Aquatics ซึ่งมันก็เป็นเหมือน World Cup ของว่ายน้ำ แข่งที่สิงคโปร์ปี 2019 ครั้งนั้นเราได้ไปร่วมในฐานะทีมชาติไทย แล้วก็ได้มีโอกาสไปแข่งในแมตช์ระดับโลกครั้งแรก ได้เจอนักว่ายน้ำที่เราเห็นในไอจีและในทีวี แล้วก็ได้ไปว่ายพร้อมเขา แล้วก็มีโอกาสได้ติดรอบชิงในรอบ 8 คนไปด้วย แล้วแมตช์นั้นก็เป็นแมตช์ที่ผมทำผลงานได้ดี ทำลายสถิติประเทศไทยกลุ่มสองรายการ ปีนั้นผมว่ายฟรี 50 100 200 แต่ว่าที่ทำสถิติใหม่ของกลุ่มคือ ฟรี 50 กับฟรี 100 ก็คือ 23.39 กับ 51.33 จำได้เลย เพราะว่ามันเป็นสถิติที่ทำไว้ เราเลยประทับใจแมตช์นี้ เพราะเป็นแมตช์ที่เราเพอร์ฟอร์มได้ดี แล้วก็เป็นแมตช์ใหญ่ระดับโลกครั้งแรกที่ได้ไปด้วย
ELLE MEN: คิดว่าประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้แล้วหรือยัง?
Est: สำหรับผมคิดว่าประสบความสำเร็จมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ว่าถามว่าประสบความสำเร็จสูงสุดที่ตั้งไว้ไหมคือยัง เพราะว่าตอนแรกความฝันที่ฝันมาตลอดตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ คือเราต้องได้ไปโอลิมปิก เราถึงจะแบบชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่ถามว่าตอนนี้ต่อให้ยังไม่ได้ไป มองกลับไปก็รู้สึกว่ามาไกลมากแล้ว เราก็ติดทีมชาติมา เราก็ได้ไปซีเกมส์ ชิงแชมป์โลก แล้วก็เนี่ย เดี๋ยวกำลังจะได้ไปเอเชียนเกมส์ ก็รู้สึกว่าเราเก็บหมดแล้วแหละ เหลือแค่โอลิมปิก เราก็รู้สึกว่าความฝันมันจะเป็นจริงหรือจะไม่เป็นจริงก็ได้ เพราะเส้นทางที่ไปสู่ความฝันนั้น ที่ไล่ล่าความฝันนั้น เราก็ได้อะไรหลาย ๆ อย่างในเส้นทางนั้นอยู่ดี ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ทำได้ดีแล้วก็ภูมิใจในตัวเองแล้ว ต่อให้สุดท้ายแล้วเราจะไปถึงความฝันหรือไม่ก็ตาม
ELLE MEN: อาชีพนักว่ายน้ำให้อะไรกับเราบ้าง?
Est: หลาย ๆ อย่างครับ จริง ๆ แล้วก็จะเป็นในเรื่องของระเบียบวินัย การฝึกซ้อม แล้วก็ร่างกาย เราได้ออกกำลังกายทุกส่วน ทุกวันครับ แล้วก็ให้โอกาสในการดำรงชีวิต อย่างผมเนี่ยพ่อแม่ก็ไม่ต้องออกเงินค่าเทอมให้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ได้ทุนเรียนมาตลอดจนจบมหา’ลัย แล้วก็ได้โอกาสได้มาถ่ายแฟชั่นด้วย จริง ๆ มาถ่าย ELLE MEN ครั้งแรกเนี่ยก็หลังซีเกมส์ปีแรก ปี 2020 จากนั้นมาคนก็เริ่มรู้จักเรา และได้เข้ามาในวงการบันเทิงด้วยครับ
ELLE MEN: โค้ชหรือนักกีฬาที่คุณคิดว่าเป็นแบบอย่าง?
Est: ผมชอบนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติสหรัฐอเมริกาคนหนึ่งที่ชื่อว่า Caeleb Dressel เขาเป็นแชมป์โลกที่เป็นเจ้าของสถิติโลกหลายรายการ แล้วก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่ได้เหรียญทองมากที่สุดในโอลิมปิกปี 2021 ที่โตเกียวครับ จริง ๆ เนี่ยผมชอบเขา ชื่นชมเขามาตั้งแต่ปี 2016 ที่ริโอแล้ว ตอนนั้น Michael Phelps ก็ยังอยู่ Caeleb Dressel ก็ยังไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดนั้น แต่พอติดตามมาเรื่อย ๆ แล้วเห็นเขาพัฒนาตัวเอง พอปี 2021 คือพีกเลย ได้ 5 เหรียญทองที่โอลิมปิก แล้วเขาก็รักษาลำดับตัวเองมาได้เรื่อย ๆ จนเหมือนทุกวันนี้ก็ยังมีสถิติโลกอยู่ ไปแข่งก็ยังได้เหรียญทอง แล้วว่ายท่าเดียวกันกับผมด้วยคือฟรีสไตล์กับผีเสื้อระยะสั้น ผมก็เลยมีเขาเป็นไอดอล ก็เลยชื่นชมเขา เท่ด้วย เก่งด้วย เหมือนนิสัยเขาก็เป็นคนน่ายกย่องครับ ตอนเขาแข่งฟรี 100 เสร็จ ร้องไห้บนโพเดียม คือผมเข้าใจเขาในจุดนั้นเลยครับ ว่าเป็นนักกีฬาต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ELLE MEN: เวลาแข่งกดดันไหม แล้วจัดการกับมันอย่างไร?
Est: เมื่อก่อนกดดันครับ เหมือนเราทุ่มเทกับการว่ายน้ำ 100% ตอนนั้นคือทั้งชีวิตเรามีแค่ว่ายน้ำ พอเราทุ่มเทกับอะไรไปสักอย่างหนึ่ง เราคาดหวังผลลัพธ์ พอเราคาดหวังมากมันก็ยิ่งกดดันมาก มันก็มีหลายครั้งที่เราแตะขอบสระมาแล้วมันเฟล เราเห็นเวลาที่มันไม่เร็วเท่าที่เราคาดไว้ แต่มันก็มีครั้งที่แตะเข้ามาแล้วเราดีใจ ว่าเราทำได้ตามที่หวังไว้หรือดีกว่าที่หวังไว้อีก แต่หลัง ๆ มาเนี่ยพอเหมือนเราเลือกโฟกัสไปทางอื่นด้วย ว่ายน้ำอาจจะเหลือแค่ 60% เป็นอย่างอื่นที่เหลือ 40% เรารู้สึกว่าเราว่ายน้ำด้วยความสบายใจมากขึ้น ทั้งชีวิตเรามันไม่ได้มีแค่ว่ายน้ำแล้วนะ ถ้าเราทำได้ไม่ดี มันอาจจะไม่เป็นอะไรมากนะ พอเราคิดแบบนั้น ความกดดันมันน้อยลง กลับกลายเป็นว่าเราว่ายน้ำได้ดีขึ้นครับ
ELLE MEN: ต่อจากนี้จะ Push Limit ตัวเองไปในสายกีฬาอย่างไรบ้าง?
Est: ตอนแรกผมรู้สึกว่าว่ายน้ำเป็นกีฬาที่ไม่ใช่กีฬาอาชีพ ก็รู้สึกว่า โอเค เราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะว่ายถึงซีเกมส์นะ ซีเกมส์นี้เราจะแบบพอแล้ว แต่ว่าที่ซีเกมส์ปีนี้ ผมว่ายทำเวลาได้ดีพอที่จะผ่านเข้ามาในเอเชียนเกมส์ ซึ่งผมก็กำลังจะไปแข่งเอเชียนเกมส์ปลายเดือนกันยายนนี้ ผมไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะตัวเองจะติดเอเชียนเกมส์ คือเรารู้ว่าเราโฟกัสกับอะไร แล้วศักยภาพเราอาจจะไม่ได้เต็มที่ 100% เท่าคนอื่นแล้ว ซึ่งการได้ไปเอเชียนเกมส์เป็นเหมือนอีกเหตุการณ์สำคัญหนึ่งของชีวิตว่ายน้ำผม ซึ่งมันก็บียอนด์ไปอีกระดับหนึ่งแล้ว หลังจากเอเชียนเกมส์ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าเราจะ push ไปได้อีกมั้ย
ELLE MEN: Accessory ที่ขาดไม่ได้?
Est: นาฬิกาข้อมือ จริง ๆ ตั้งแต่เด็กเลย เวลาไปโรงเรียนก็ใส่นาฬิกาทุกวัน แล้วพอมันใส่อะไรตั้งแต่เด็ก ๆ วันที่เราไม่ได้ใส่ไปเราจะเขย่าข้อมือตลอด บางทีหลัง ๆ ไม่ได้ดูเวลาที่นาฬิกาแล้วแต่ก็ต้องใส่นาฬิกาอยู่ดี ถ้าข้อมือโล่ง ๆ มันแปลก ๆ มันไม่ชินเลยครับ
ELLE MEN: อยากบอกอะไรกับคนที่เห็นคุณเป็นไอดอล?
Est: อยากบอกกับทุกคนว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากขนาดไหนจนกระทั่งเราได้เริ่มทำ ได้ลองตั้งใจฝึกฝนแล้วก็ใช้เวลาไปกับมันในการพัฒนาตัวเองครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราอาจจะประสบความสำเร็จมาก ๆ จนเรากลายเป็นคนที่เราเคยวาดฝันไว้ก็ได้ เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากจะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง หรือคนที่กำลังคิดริเริ่มทำอะไรบางอย่างในชีวิตครับ
ELLE MEN: คิดอย่างไรกับการได้รับเลือกให้มาเป็นหนึ่งใน #TeamProspex กับ SEIKO?
Est: ดีใจครับ แล้วก็รู้สึกเป็นเกียรติที่เราได้มาแชร์เรื่องราว ได้มาแชร์สตอรีของเราร่วมไปกับคนอื่นในทีม Prospex แล้วก็ร่วมกับแบรนด์ SEIKO ครับ เพราะว่าเราทุกคนในทีม Prospex ผมก็ไปอ่านผมก็ไปดูคลิปมานะ ทุกคนก็มีเรื่องราวที่ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ความตั้งใจ มัน take something to be here แล้วเราก็ได้มาแชร์ร่วมกัน รู้สึกยินดีมาก ๆ
ELLE MEN: ข้อดีของการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปเจอเส้นทางใหม่ ๆ คืออะไร?
Est: ผมรู้สึกว่ามันเป็นการให้โอกาสตัวเองได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เพราะหมายถึงการที่เราไม่ตั้งกรอบในชีวิตตัวเอง เป็นการก้าวข้ามต่อไปเรื่อย ๆ ให้เราไม่ได้เก่งทางด้านเดียว เพราะเราก็สามารถทำอะไรได้อีกไปเรื่อย ๆ เราไม่มีทางรู้เลยจนกว่าเราจะได้ลองทำมัน เพราะฉะนั้นข้อดีมันคือตรงนี้แหละครับ