‘FISH SAUCE’ เดบิวต์ซิงเกิลที่ทำให้โลกได้กลิ่นความเป็นบอยกรุ๊ป ‘A:SIDE’

Photographer: Manosit Boonnon

ในโลกที่ดนตรีไม่ใช่แค่สิ่งที่ฟัง แต่คือสิ่งที่ รู้สึก ได้ “FISH SAUCE” ซิงเกิลเดบิวต์ของ A:SIDE บอยแบนด์หน้าใหม่สายเลือดเอเชีย ประกอบด้วย MINLEE, WINNIE, RUKA และ U.JAY กลายเป็นมากกว่าบทเพลง หากแต่คือ “กลิ่น” ที่ปลุกให้คนฟังตื่นจากความจำเจ

FISH SAUCE ไม่ได้มาเพื่อกลมกล่อม แต่มาเพื่อกล้า กล้าที่จะกลิ่นแรงแบบไม่แคร์สายตา กล้าที่จะพูดภาษาของตัวเองในโลกที่เสียงดังมักกลืนเสียงเล็ก ซาวด์ของพวกเขาผสมผสานแนวป็อปเข้ากับ Old School Hip-Hop ไว้ในหม้อเดียวกันอย่างไม่ลังเล พร้อมเท statement ลงมาราดว่า “นี่แหละ เราเอง”

ในยุคที่ subculture ไม่ใช่ fringe อีกต่อไป A:SIDE กำลังทลายเส้นแบ่งระหว่าง mainstream กับ margin ด้วยท่าทีที่ทั้งดิบ กล้า และจริงใจ ในแบบที่ไม่ต้องขอโทษใคร

และเพราะพวกเขาอยากให้คุณรู้จักมากกว่าแค่ “เสียง” เราเลยชวนสมาชิก A:SIDE มานั่งลง ตอบ 10 คำถามที่ไม่ใช่แค่เรื่องเพลง แต่เป็นเรื่อง คน เรื่องจังหวะชีวิต และเรื่องราวเบื้องหลังFISH SAUCE ที่ทำให้พวกเขากล้าจะกลิ่นแรงอย่างไม่ขอโทษใคร


ด้าน A ของคุณคืออะไร?

WINNIE: สำหรับผม ด้าน A คือสิ่งที่เราใช้แสดงออกบนเวทีครับ เป็นด้านที่ดีที่สุดของตัวเรา ไม่ว่าจะร้องหรือเต้น ผมรู้สึกว่านั่นคือช่วงเวลาที่ได้โชว์จุดเด่นและส่งพลังให้แฟน ๆ ได้เห็นความตั้งใจของพวกเราจริง ๆ

MINLEE: เห็นด้วยกับพี่วินนี่เลยครับ เวลาขึ้นเวทีผมอยากโชว์ให้เห็นทุกสิ่งที่เราฝึกมา อยากให้คนดูรู้สึกมีความสุขไปกับเรา ส่วนด้าน B ก็คืออีกมุมหนึ่ง อาจจะดูอ๊อง ๆ น่ารัก เป็นตัวเองแบบไม่ปรุงแต่ง ซึ่งผมก็อยากให้แฟน ๆ ได้เห็นทั้งสองด้านเลยครับ

U.JAY: ด้าน A ของผมน่าจะเป็นจิตใจที่ยังสดใหม่เสมอครับ ผมตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ได้เจอ เหมือนได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา และผมก็อยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้ให้เป็นเสน่ห์คู่กับวง A:SIDE ไปนาน ๆ

RUKA: ภายนอกอาจจะดูเรียบร้อย แต่จริง ๆ แล้วผมเป็นคนเฮฮา สนุกสนานมากครับ ถ้าได้สนิทกันแล้วจะรู้เลยว่า ผมชอบทำให้คนรอบข้างยิ้ม หัวเราะ และรู้สึกดีไปด้วยกันครับ

WINNIE

‘หนึ่งคำ’ เพื่อบอกเล่าตัวตนในฐานะศิลปิน สมาชิก A:SIDE

W: “ก้อนพลังบวก” คือคำที่ผมเลือกครับ เพราะสำหรับผม การเป็นศิลปินไม่ใช่แค่การร้องหรือเต้นให้ดี แต่คือการส่งต่อความรู้สึกดี ๆ ให้คนดู ถ้าแฟน ๆ รู้สึกยิ้มได้เพราะพวกเรา ผมก็ถือว่าทำหน้าที่ตัวเองได้แล้วครับ

M: ของผมต้องเป็นคำว่า “วิตามิน” ครับ เพราะมาจากชื่อ มิน ด้วย แล้วผมก็อยากเป็นเหมือนวิตามินรวมที่ทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้นเวลามีเราอยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่าจะเจอวันเหนื่อยแค่ไหน ก็อยากเป็นพลังเล็ก ๆ ให้กับคนที่รักเราครับ

UJ: ขอใช้คำสองคำครับ “冷 (เย็นชา)” กับ “暖 (อบอุ่น)” หลายคนเจอผมครั้งแรกอาจคิดว่าผมหยิ่งหรือดูนิ่ง ๆ แต่จริง ๆ แล้วข้างในผมขี้เล่น ขี้แกล้ง เป็นคนอบอุ่นมากนะครับ แค่ต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะได้เห็นด้านนั้น

R: ของผมคือ “โชคชะตา (運命)” ครับ ผมเชื่อว่าการที่ผมได้มาเป็นหนึ่งในสมาชิก A:SIDE ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือจังหวะและโชคชะตาที่ทำให้เรา 4 คนได้มาเจอกัน ได้เดินทางในเส้นทางนี้ด้วยกันครับ

MINLEE

จุดเริ่มต้นของความฝันในการเป็นศิลปิน

W: เส้นทางของผมเริ่มตั้งแต่ ป.6 ตอนที่เพลง Gee ของ Girls’ Generation กับ Sorry Sorry ของ Super Junior ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง นั่นคือครั้งแรกที่ผมรู้จัก K-POP และตกหลุมรักเข้าเต็มเปา พอพี่ ๆ EXO เดบิวต์ ผมถึงกับคิดในใจว่า “อยากยืนอยู่ตรงนั้นบ้าง” จากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 10 ปีแล้วที่ความฝันไม่เคยจางไปเลย (เสริม) ไอดอลของผม? ถ้าเป็นสายร้องต้องยกให้ จองกุก BTS ส่วนด้านการเต้นผมชอบ ยอนจุน TXT ครับ

M: ผมเริ่มจากการเป็นเด็กที่แค่อยากเต้นครับ ความฝันดั้งเดิมคืออยากเป็นแดนเซอร์ด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดเรื่องการเป็นไอดอลเลย จนมีโอกาสได้ไปออดิชั่นที่เกาหลี แล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย มันสนุก มันท้าทาย” หลังจากนั้นผมก็เดินหน้าลุยเต็มที่ ออดิชั่นกว่า 100 ที่ ใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีถึง 7 ปี ผ่านรายการ Under19 แล้วก็ BOYS PLANET ที่ได้เจอพี่วินนี่ จนในที่สุดเราได้กลับมาเริ่มต้นบทใหม่ด้วยกันในนาม A:SIDE

UJ: สำหรับผม จุดสตาร์ทอยู่ที่รายการ CHUANG 2021 ครับ วันหนึ่งผมบังเอิญเจอคลิป VLOG และห้องซ้อมของ ยอนจุน TXT แล้วรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นแบบจริงจังของเขา มันจุดประกายให้ผมถามตัวเองว่า “ถ้าพยายามขนาดนั้น เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน” ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มเดินบนเส้นทางนี้อย่างตั้งใจครับ

R: ของผมเริ่มที่คอนเสิร์ตของ BIGBANG สมัยมัธยมต้น ตอนนั้นคืออ้าปากค้างกับพลังการแสดงของพวกเขา แล้วผมก็บอกตัวเองว่า “อยากเป็นคนแบบนั้นให้ได้” อยากเป็นศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนดูทั่วโลกได้เหมือนที่ผมเคยรู้สึกตอนนั้นครับ

U.JAY

ถ้าไม่ใช่ศิลปิน ตอนนี้คิดว่าตัวเองจะกำลังทำอะไรอยู่?

W: ก่อนตัดสินใจย้ายไปเกาหลี ผมเคยสอบติดคณะจิตวิทยาที่ไทยครับ ถ้าไม่ได้เลือกเส้นทางศิลปิน ผมคงเป็นนักจิตวิทยาที่กำลังฟังเรื่องราวของผู้คน และใช้พลังบวกของตัวเองช่วยเยียวยาใจใครสักคนอยู่ตอนนี้ก็ได้

M: ผมว่า…ยังไงก็คงไม่ทิ้งการเต้นครับ ถ้าไม่ได้เป็นไอดอล ผมน่าจะกลายเป็นครูสอนเต้นไปแล้ว เริ่มจากสตูดิโอเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ถ่ายทอดสิ่งที่รักให้กับคนอื่น เหมือนที่วันหนึ่งเคยมีคนถ่ายทอดแรงบันดาลใจให้ผม

UJ: ผมคงอยู่ในกองถ่ายครับ ไม่ก็เป็นตัวประกอบในซีรีส์หรือภาพยนตร์ อาจจะเดินผ่านกล้องแค่สองวิ…แต่มีความสุขมากนะครับ หรือบางทีอาจเป็นแดนเซอร์ให้ศิลปินอยู่เบื้องหลังเวที เพราะผมชอบบรรยากาศของการทำงานสร้างสรรค์ที่เต็มไปด้วยพลัง

(เคยมีโอกาสแสดงละครเวทีด้วยนะครับ เป็นอีกโลกที่น่าหลงใหลมาก)

R: แฟชั่นกับเกมคือสองอย่างที่ผมหลงใหลพอ ๆ กับดนตรี ถ้าไม่เป็นไอดอล ผมน่าจะอยู่ในสายแฟชั่น—ไม่ใช่ดีไซเนอร์หรอกครับ ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เคยทำงานร้านเสื้อผ้าที่ญี่ปุ่นมาก่อน เลยคิดว่าตัวเองน่าจะทำอะไรแบบนั้น อาจจะเปิดร้านเล็ก ๆ หรือเป็นสไตลิสต์เงียบ ๆ ที่แอบอยู่หลังราวแขวนเสื้อในช็อปเท่ ๆ สักแห่งในต่างประเทศ

RUKA

มีอะไรที่ต้องทำทุกครั้งก่อนขึ้นเวทีไหม? พิธีเล็ก ๆ หรือ “ritual” ส่วนตัวที่ทำให้รู้สึกพร้อม?

W: หนึ่งในธรรมเนียมประจำวงของเราคือการ “บูม” สไตล์ญี่ปุ่นครับ ต้องขอบคุณ Ruka ที่เป็นคนสอน! เราจะเริ่มด้วยการพูด “3 4” แล้วลากเสียง “A~~~~~” ยาว ๆ ก่อนจะตบท้ายพร้อมกันด้วยคำว่า “3 4 A:SIDE!” พร้อมเสียงกระทืบเท้า เป็นพลังงานก่อนขึ้นเวทีที่เราห้ามขาดเลย

M: ของผมไม่มีเครื่องรางอะไรนะครับ มีแค่เตรียม “ใจ” ขึ้นไปล้วน ๆ (หัวเราะ) ผิดพลาดก็แค่ทำต่อ อย่าให้คนดูรู้ เดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไปเองครับ

W: ส่วนตัวผม ก่อนขึ้นเวทีจะผูกเชือกรองเท้าใหม่ทั้งสองข้างทุกครั้ง เหมือนเป็นสัญญาณว่า “ถึงเวลาแล้ว” แล้วผมจะขออยู่คนเดียวสักพัก บางทีก็เดินไปห้องน้ำแล้วพูดกับตัวเองในกระจกว่า “วันนี้เราจะเป็นพลังบวกให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะทำให้ดีที่สุด” มันช่วยให้ผมโฟกัสมากครับ

UJ: ของผมเหรอครับ… ผมว่าต้อง “พกสมอง” ขึ้นเวที (หัวเราะ) เพราะบางทีก็หลุดง่ายมากครับ ไม่มีสติเลยก็มีนะ

M: (หัวเราะ) สรุปคือ “ใจ & สมอง & สติ” ครบเซ็ต!

UJ: ใช่เลยครับ และวิธีเรียกสติของผมง่ายมาก แค่ต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนขึ้นโชว์ ถ้าไม่ได้กิน คือเตรียมตัวสติหลุดได้เลยครับ แล้วถ้าไม่ได้กินจริง ๆ ล่ะ? ก็…หยิกตัวเองครับ ปลุกตัวเองให้ตื่น (หัวเราะ)

M: งั้นเดี๋ยวรอบหน้าช่วยหยิกให้เลยละกัน!

R: ผมเป็นคนขี้ตื่นครับ ขึ้นเวทีทีไร ใจสั่นทุกครั้ง ถึงจะผ่านมากี่รอบก็ยังไม่ชิน แต่โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีเคล็ดลับคลายความกังวลแบบง่าย ๆ คือเขียนคำว่า “人” (คน) ลงบนมือ แล้วทำท่ากินมันเข้าไป 10 ครั้ง จะช่วยให้รู้สึกสงบขึ้น… แล้วผมก็ทำแบบนั้นทุกครั้งก่อนขึ้นเวทีเลยครับ

ช่วงเวลาที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่เดบิวต์จนถึงตอนนี้

W: ถึงเราจะเพิ่งเดบิวต์กันมาไม่นาน ยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับผม ทุกโมเมนต์นับจากวันนั้นคือความประทับใจครับ เพราะชีวิตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน การที่เราสี่คนได้มาเจอกัน ได้เดินทางร่วมกันในนาม A:SIDE มันเหมือนเราไม่ได้แค่ทำงานร่วมกัน แต่เราเป็น “คนคนเดียวกัน” ไปแล้ว ถ้าไม่มีพวกเขา A:SIDE ก็คงไม่มีผมอยู่ตรงนี้

M: สำหรับผม…ไม่มีวันไหนจะลืมได้เท่ากับวันเดบิวต์ 10 พฤษภาคม วันนั้นฝนตกหนัก น้ำท่วมสยาม แต่แฟนคลับ ทีมงาน เพื่อน พ่อแม่ ทุกคนยังอยู่ตรงนั้นเพื่อเรา เดิมทีจะต้องยกเลิกโชว์เพราะทุกอย่างเป็นกลางแจ้ง ทั้งไฟ ลำโพง ไมค์ ใช้งานไม่ได้เลย จนเขาบอกว่าจะรอถึง 2 ทุ่มครึ่ง ถ้ายังไม่ได้ก็ต้องยุติ

แต่เราคิดว่าไม่ได้…พวกเขามาแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่าง เลยกางร่มเดินออกไปคุยกับแฟนคลับ ให้เขาเห็นหน้าเรา จนตอนประมาณ 3 ทุ่ม ข่าวดีมา เขาบอกว่าแสดงได้แล้ว! พวกเราวิ่งกลับไปเปียกฝนกันทั้งตัว มีทั้งทีมงานที่ช่วยทุกอย่างแม้แต่จับงู (ใช่ครับ วันนั้นมีงูเหลือมโผล่มาหลังเต็นท์!)

มันคือวันที่ทุกคน “เชื่อในกันและกัน” อย่างแท้จริง

UJ: สำหรับผม มันคือตอนที่เราทั้งสี่คนได้แนะนำตัวพร้อมกันว่า “พวกเราคือ A:SIDE” — ประโยคนั้นมันไม่ใช่แค่การเปิดตัว แต่มันเป็นการประกาศว่า “นี่แหละคือทีมของผม” เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยมี safe zone หรือที่ที่รู้สึกปลอดภัยนัก แต่วันนั้น…ทั้งทีม ทั้งแฟนคลับ มันอบอุ่นจนผมรู้สึกว่า ผมมีบ้านอีกหลังที่ชื่อว่า A:SIDE

M: (ยื่นแขนออกไป) อยากให้กอดก็บอกครับ

R: ผมก็รู้สึกเหมือนกันครับ วันเดบิวต์โชว์เคสนั่นแหละคือหนึ่งในวันที่ไม่มีวันลืม ฝนตกหนักจนทุกอย่างต้องเลื่อน ตอนนั้นแม้แต่พิธีกรก็ต้องกลับก่อนแล้ว แต่เหมือนฟ้ายังอยากให้เราได้แสดง เพราะคุณแม้กจากดูมันดิที่มาร่วมงานวันนั้น ก้าวขึ้นเวทีเป็นพิธีกรให้แทนโดยไม่ลังเลเลย เขาช่วยให้เราได้โชว์ต่อจนจบ ถึงแม้ไฟจะไม่ครบ เสียงจะไม่เต็ม แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมคิดว่า…ครั้งหน้าผมจะทำให้ดีกว่านี้ ผมจะมั่นใจให้มากกว่านี้ครับ

ใครในวงที่คุณรู้สึกว่า “ต่าง” จากตัวเองที่สุด — แต่กลับทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง?

W: สำหรับผม…น่าจะเป็น “น้องมิน” ครับ เพราะเราต่างกันสุดขั้วเลย ผมมักจะบอกเสมอว่า มินเหมือนไฟ ส่วนผมเป็นเหมือนน้ำ — มินเขาจะลุกโชน มีพลัง มีความมุ่งมั่นแบบ “ฉันจะไปให้สุด!” ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ส่วนผมจะนิ่ง ใจเย็น แต่การได้อยู่กับมินมันเหมือนได้แรงผลัก เขาทำให้ผมรู้ว่า…บางสถานการณ์มันต้องการ “ไฟ” มาจุดประกายบ้าง แล้วน้ำอย่างผมก็เริ่มเดือดกลายเป็นจากุซซี่ไปเลยครับ (หัวเราะ)

M: ของผมต้องยกให้ “U.JAY” เลยครับ เพราะเราต่างกันสุด ๆ ผมเป็นคนไฮเปอร์ ตื่นเต้นกับทุกเรื่องเหมือนกระต่าย ส่วนเขาเป็นคนสงบมาก ขรึม ๆ นิ่ง ๆ เหมือนเสือ มักเน่ที่ใครเห็นก็คงไม่คิดว่าอายุน้อยที่สุด (หัวเราะ) อยู่ด้วยแล้วทำให้ผมเรียนรู้เรื่อง “สติ” ว่าในบางจังหวะเราก็ต้องหยุด ต้องนิ่งบ้าง มันช่วยบาลานซ์ผมมาก ๆ เลยครับ

UJ: ผมว่า…คนที่ต่างจากผมแบบสุดขั้วเลยคือ “RUKA” ครับ (หัวเราะ) เขาเป็นคนที่ embody ความ slow life ได้อย่างแท้จริง กินข้าวก็ชอบอมข้าว ตอบอะไรก็ช้า ๆ เย็น ๆ อยู่กับเขาแล้วรู้สึกเหมือนโลกหมุนช้าลง ผมเลยได้เรียนรู้ว่าบางทีเราก็ไม่ต้องรีบร้อนเสมอไป อย่างเวลาผมป่วย เขาจะถามแบบ “จริงเหรอ? ไม่เป็นไรนะ” ซึ่งบางทีก็ไม่แน่ใจว่าเป็นห่วง หรือแค่สงสัยว่าผมโกหก (หัวเราะ) แต่เขาก็ห่วงจริงนั่นแหละ — แค่นิสัยเขาดูไม่ออกเฉย ๆ

R: ต้องเล่าก่อนว่าครั้งหนึ่ง U.JAY ร้องไห้ แล้วผมเข้าไปถามว่าเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ เขาก็บอกว่าใช่ ผมก็ตกใจ เป็นห่วงมาก แต่สุดท้ายเขามาบอกทีหลังว่า… “จริง ๆ หยอดน้ำตาเทียมเล่นเฉย ๆ” คือฝังใจเลยครับ! (หัวเราะ) แต่ผมก็ชอบในความแสดงเก่งของเขานะ

ส่วนคนที่ผมรู้สึกว่าแตกต่างแต่ได้เรียนรู้เยอะคือ “พี่วินนี่” ครับ เพราะผมยังอายุแค่ 22 บางทีความคิดยังเด็กอยู่ แต่พี่วินนี่จะมีวิธีคิดที่โตมาก ๆ อย่างเวลาเราไม่พอใจอะไร พี่เขาจะบอกว่า “ลองทำไปก่อน ถ้าไม่เวิร์กค่อยมาว่ากันใหม่” ซึ่งมันเป็น mindset ที่ positive มาก แล้วพอลองจริง ๆ มันก็เวิร์กจริงครับ อยากคิดแบบนั้นได้บ้างเลย เหมือนพี่เขาอยู่ ม.ปลาย ส่วนผมยังอยู่ ม.ต้น

W: (หัวเราะ) ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกเด็กลงนะครับ

ถ้าให้เลือก 1 สิ่งจากประเทศตัวเอง ที่อยากชวนเมมเบอร์คนอื่น ๆ ไปลองสัมผัสด้วยกัน จะเลือกอะไร?

W: ถ้าให้เลือกสิ่งหนึ่งจากไทย ผมอยากพาทุกคน รวมถึง “มิน” ที่เป็นคนไทยเหมือนกัน ไปลอง “ต่อยมวยไทย” ครับ! เพราะมันเป็นกีฬาที่เป็นรากของวัฒนธรรมเรา ชื่อก็บอกอยู่ “มวยไทย” คือผมก็ไม่เคยจริงจังกับมันนะครับ แต่อยากลอง แล้วก็อยากให้พวกเขาได้สัมผัสด้วยกัน เป็นกิจกรรมปลุกใจแบบหมัด ๆ หน่อย เผื่อใครมาสาย…จะได้ต่อย (หัวเราะ)

M: ผมอยากพาไป “เชียงใหม่” ครับ! อยากให้ทุกคนได้ลองกิจกรรมเกี่ยวกับช้างไทย — ไม่ว่าจะเป็นขี่ช้าง อาบน้ำช้าง หรือแม้แต่ทำกระดาษจากมูลช้าง! ฟังดูแปลกแต่สนุกนะ ผมเคยไปมาแล้วแล้วมันน่ารักมาก ช้างไทยน่ารักมากจริง ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้สัมผัสแบบที่ผมเคยรู้สึก

UJ: ของผมขอเบา ๆ น่ารัก ๆ ครับ อยากพาพี่ ๆ ไปดู “หมีแพนด้า” ด้วยกัน! เพราะผมว่าหมีแพนด้ามันน่ารักมาก เวลาเหนื่อย ๆ ถ้าได้ไปเจออะไรที่นุ่มฟูแบบนั้น มันช่วยเยียวยาหัวใจจริง ๆ อยากไปให้อาหารแพนด้าด้วยกัน เหมือนไปพักใจให้หายเหนื่อยจากงานครับ

W: ไปเลยครับ พร้อม (หัวเราะ)

R: ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น… ผมอยากพาทุกคนไป “ปีนภูเขาไฟฟูจิ” ครับ มันเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นด้วย ผมว่าการได้ปีนด้วยกันถึงยอดเขา มันจะเป็นความทรงจำที่พิเศษมาก — ไม่ใช่แค่เพราะวิวสวยนะ แต่เพราะเราจะได้ก้าวผ่านความเหนื่อยไปพร้อมกัน

เวลาอยู่คนเดียว… แต่ละคนชอบทำอะไร? แล้วมีมุมไหนที่คนอาจยังไม่รู้ว่าคุณเป็นแบบนี้?

W: ถึงจะดูจริงจังบนเวที แต่ความลับของผมคือ…ผมเป็น “เกมเมอร์ตัวพ่อ” ครับ! เครื่องคอมพ์ของผมมีเกมเกิน 1,000 เกม จริงจังมาตั้งแต่อนุบาล 3 ยันตอนนี้ (หัวเราะ) ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ผมก็ต้องหาเวลาสักนิดให้ได้เล่น มันเหมือนเป็นพื้นที่พักใจที่ไม่มีใครมายุ่งได้เลย

M: ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าผมคลุกคลีอยู่กับแฟชั่น แต่ที่น่าจะยังไม่รู้คือ…ผมชอบ “หนังผี” มากกก! ไม่ใช่แค่หนังผีนะครับ — อะไรที่เป็นแนวระทึกขวัญ, จิตวิทยา, หรือสยองขวัญทั้งหมดนี่คือของโปรด ดู Conjuring มาแล้วทุกรอบ และรอภาคใหม่อยู่แบบนับวันเลย ผมว่ามันทั้งลุ้น ทั้งได้ท้าทายความกลัวตัวเองไปด้วย สนุกมากครับ

W: ภาคใหม่จะเข้าแล้วนะ เตรียมไว้เลย

M: แน่นอนครับ เตรียมผ้าห่มไว้ด้วย (หัวเราะ)

UJ: ผมเป็นสาย “D.I.Y.” ครับ — อยู่บ้านว่าง ๆ คือจะหยิบของมาประกอบต่อ ไม่ว่าจะจิ๊กซอว์, เลโก้, หรือพวกของจุกจิกที่ต้องใช้มือเยอะ ๆ มันทำให้สมองโล่งดีครับ…แต่บางทีก็โล่งเกินไปจนหงุดหงิด เพราะต่อไม่ได้! (หัวเราะ) แบบ เอ๊ะ ทำไมยากขนาดนี้วะ ทำไมต่อเลโก้ยังไม่เสร็จ แต่ก็ชอบนะครับ มันสงบดี

R: ใครจะคิดว่าผมเป็นสาย “มู” ครับ (ยิ้ม) — ผมชอบเรื่องดูดวงมาก โดยเฉพาะเรื่องตัวเลข อย่างเวลาหันไปเห็นนาฬิกาเป็น 3:33 หรือ 4:44 ผมจะรีบไปหาเลยว่ามันหมายถึงอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ความหมายจะดี แล้วผมก็รู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจจากตัวเลขพวกนี้นะครับ

แล้วเชื่อเรื่องผีไหม?

R: ไม่ครับ แต่เชื่อเรื่อง “UFO กับเอเลี่ยน” มากกว่า!

W: นี่มันมูเวย์สไตล์ไซไฟแล้วล่ะครับ (หัวเราะ)

ถ้าให้เลือกเมมเบอร์คนหนึ่งที่คุณอยากขอบคุณที่สุด… คุณจะขอบคุณใคร และเพราะอะไร?

W: จะให้เลือกแค่คนเดียวมันยากจริง ๆ ครับ เพราะสำหรับผมแล้ว ทุกคนในวงคือคนที่ทำให้ “A:SIDE” เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ในชื่อ แต่คือในความรู้สึก ถ้าไม่มีพวกเขา ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ยืนในฐานะ “วินนี่จาก A:SIDE” แบบทุกวันนี้ ทุกก้าวที่เดินมาด้วยกัน ผมเลยอยากขอบคุณทุกคนจากใจ เพราะพวกเขาคือครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่งของผมครับ

UJ: ผมเป็นคนที่ดื้อนะครับ (หัวเราะ) บางทีก็ไม่ค่อยฟังใคร แต่ตั้งแต่ได้อยู่กับพี่ ๆ ทั้ง 3 คน ผมได้เรียนรู้เยอะมาก พวกเขาทำให้ผมมองเห็นว่าตัวเองยังต้องปรับตรงไหน ต้องเติมตรงไหนบ้าง เหมือนได้รู้ว่าแก้วยังไม่เต็ม — แล้วก็อยากขอบคุณพี่วินนี่เป็นพิเศษครับ เพราะตอนที่ยังไม่มีล่าม พี่เขาก็พยายามแปลทุกอย่างให้ผมเข้าใจ แม้จะเหนื่อยก็ยังเต็มที่ตลอด เป็นคนที่คอยซัพพอร์ตผมมาก ๆ ครับ

M: ผมเป็นคนที่บ่นเก่งครับ (หัวเราะ) แล้วทุกคนในวงก็เป็นคนที่รับฟังผมเสมอ ไม่ใช่แค่ฟังเฉย ๆ นะ แต่ช่วยกันเก็บรายละเอียดงาน ซ้อม เต้น ทุกอย่าง ทุกคนโฟกัสและใส่ใจ ผมเลยอยากขอบคุณเมมเบอร์ทุกคนที่ไม่เคยมองข้ามความพยายามเล็ก ๆ ของกันและกัน งานของเราถึงออกมาดีได้เพราะ “ใจ” ที่ทุกคนให้กันครับ

R: ผมมีหลายเหตุผลที่อยากขอบคุณทุกคน เริ่มจาก U.JAY ก่อนเลยครับ เราสองคนเป็นต่างชาติที่มาอยู่ไทยเหมือนกัน เลยเข้าใจกันดีในเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม มีอะไรก็พูดคุยกันได้ตลอด เขาเป็นเหมือนเพื่อนที่พร้อมอยู่ข้าง ๆ เสมอ

พี่มินคือคนที่พยายามใช้เวลากับผมมากที่สุดเลยครับ ไปกินข้าว ไปฟิตเนส อยู่ด้วยกันตลอดเวลา รู้สึกว่าเขาพยายามรู้จักและเข้าใจผมให้มากขึ้นจริง ๆ

สุดท้ายคือพี่วินนี่ เขาเป็นคนที่มีวิธีคิดดีมาก ๆ ครับ ผมได้เรียนรู้จากพี่เขาเยอะมากในเรื่องการมองโลก แล้วก็ยังเป็นเพื่อนเล่นเกมที่ดีอีกด้วย (ยิ้ม) อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกเหมือนมีพี่ชายที่ไว้ใจได้อยู่ข้าง ๆ ครับ

สุดท้าย ถ้าให้เลือกนิยามตัวเอง A:SIDE คือ T-POP หรือ A-POP กันแน่?

W: ขอเป็น ลูกครึ่ง ได้ไหมครับ (หัวเราะ) คือพวกเราอาจจะไม่ได้เป็น T-POP แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเพลงของเราจะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษผสมกัน แล้วพอมีเมมเบอร์ต่างชาติอีกสองคน มันก็ยิ่งทำให้เพลงของเราก้าวข้ามขอบเขตของแค่ภาษาไทยไปอีกระดับ

M: ใช่ครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะเรียก A:SIDE ว่าเป็น A-POP ก็ไม่ผิดเลย เราอยากทำเพลงที่แฟน ๆ ทั่วเอเชีย or even the world ฟังแล้วรู้สึกเชื่อมโยงได้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือพลังของเพลงครับ

W: สุดท้ายนี้ พวกเราขอฝากผลงานเดบิวต์ซิงเกิลของ A:SIDE เพลง “FISH SAUCE” ด้วยนะครับ! สามารถรับชม MV ได้แล้ววันนี้ทาง YouTube: A:SIDE OFFICIAL และฟังเพลงได้ทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั่วโลกเลยครับ

M: อย่าลืมเข้าไปฟังกันเยอะ ๆ นะครับ แล้วมาบอกเราด้วยว่า “รสน้ำปลาของคุณ” เป็นแบบไหน 😉 ขอบคุณมากครับ!

Similar Articles

More