Words: Panicha Imsomboon
จากที่ถูกจับตามองว่าเป็นซีรีส์รักวัยรุ่นแห่งปี จนถึงตอนนี้สถานะที่ชัดเจนของซีรีส์เรื่อง Gelboys สถานะกั๊กใจ จาก LOOKE ที่กำกับโดย บอส-นฤเบศ กูโน ได้กลายเป็นซีรีส์รักวัยรุ่นแห่งยุคไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยความน่าสนใจของเนื้อหาและการถ่ายทำที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็น ‘อะไรใหม่ๆ’ ของยุคนี้ และยังทำให้ชื่อของนักแสดงนำทั้งสี่คนอย่าง นิว-ชยภัค ตันประยูร, ไป๊ป-มนธภูมิ สุมนวรางกูร, พีเจ-มหิดล พิบูลสงคราม และเลออน เซ็ค กลายเป็นที่รู้จักจากบทโฟร์มด, เชียร, บ้าบิ่น และบัวตามลำดับ หรือที่แฟนๆ รู้จักในชื่อ ‘แก๊งเจลบอย’
ELLE MEN Thailand จึงชวนมาทำความรู้จักพวกเขามากไปกว่าบทบาทที่เราเห็น มาดูกันว่าภายใต้เล็บเจลนั้นจะมีเรื่องเล่าอะไรจากเจลบอยทั้งสี่คนนี้บ้าง
สิ่งที่ดึงดูดให้แต่ละคนตัดสินใจมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้
ไป๊ป: ผมเคยเจอพี่บอสกับทีมงานมาก่อนแล้ว และรู้สึกว่าอยากร่วมงานกับพี่ๆ มาก เรื่อง Gelboys เองก็มีความซับซ้อน ตอนแรกที่อ่านบทจะรู้สึกว่าไกลตัวผม แต่จริงๆ เนื้อหามันดีมากสำหรับคนรุ่นใหม่ รุ่นผม หรือโตกว่าผม มันทำให้เข้าใจความอิสระของวัยรุ่น ความกล้าคิดกล้าทำ กล้านำเสนอคัลเจอร์ต่างๆ ที่มันเป็นปัจจุบันมากๆ ที่เราควรตามให้ทันและพัฒนาไปเรื่อยๆ
นิว: ของผมคือพี่บอส ผู้กำกับครับ เพราะรู้จักกับพี่บอสมานานมาก ตั้งแต่เข้าวงการวันแรกแล้ว ได้ดูผลงานเขา ได้ร่วมงานกับเขาบ้าง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แล้วผมเรียนเบื้องหลังมาด้วย เลยมีผู้กำกับหลายคนที่เราติดตามผลงานเขาและอยากร่วมงานด้วย พี่บอสเป็นหนึ่งในนั้น ทั้งสไตล์การกำกับ วิธีการเล่าเรื่อง และความจัดจ้านในตัวเรื่องเองก็เป็นอะไรที่ดึงดูดผม
พีเจ: อยากร่วมงานกับพี่บอสอยู่แล้วครับ ตามผลงานเขาตั้งแต่ตอนเขากำกับ Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ แล้วก็มาเรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ พอไปแคสต์และมีโอกาสได้เล่น ก็เลือกที่จะเล่นและอยู่ในค่ายพี่บอส 100% เลย
เลออน: คำตอบสั้นๆ คือ โอกาส ก่อนหน้านั้นผมปฏิเสธงานมาเยอะมากเพราะผมไม่อยากทิ้งการเรียน ผมได้มากรุงเทพฯ บ่อยขึ้นตอนช่วง ม.6 เพราะพี่ก้อง Hive Salon ติดต่อให้ไปอยู่ในโปรเจ็กต์ไอดอลของเขา พอย้ายมานี่ก็มีคนติดต่อให้เล่นซีรีส์ ผมก็คิดว่าลองดูเพราะก่อนหน้าเราเป็นนายแบบมาตลอด ซึ่งการเป็นนายแบบที่ไทยอาจจะยังไม่ได้เป็นอาชีพที่สามารถให้ความมั่นคงได้ขนาดนั้น ก็เลยคิดว่ามาลองเป็นไอดอล มาแคสต์ซีรีส์

ตอนแรกที่อ่านบทรู้สึกอย่างไรกัน
เลออน: ตอนแรกผมรู้สึกว่า เฮ้ย! ต้องพูดคำเหล่านี้จริงเหรอ ต้องเป็นตัวนี้จริงเหรอ มันไม่เข้ากับผมเลย แต่พอได้เล่นจริงมันกลายเป็นว่า ผมค้นพบหลายอย่างในตัวเองมากและค้นพบว่ามันมีความเป็นผม 80% เลยด้วยซ้ำ เพราะพอแคสต์ผ่าน เขาจะเรียกสัมภาษณ์และให้เราเล่าชีวิตเราให้ฟัง จากนั้นเขาก็เอาไปเขียนบทด้วย มีโมเมนต์ชีวิตของผมหลายโมเมนต์อยู่ในนั้น คาแร็กเตอร์นี้มันก็เลยเป็นผมนั่นละ แต่เป็นผมแบบที่คูณสิบเข้าไป
ไป๊ป: โดยพื้นฐานผมไม่ได้เป็นคนตามเทรนด์ขนาดนั้น อาจจะตกหล่นบางเรื่องบ้าง อย่างสยามก็ไม่ได้เข้าไปลึกขนาดนั้น พออ่านบทก็เลยรู้สึกว่า โลกนี้มันก็มีความสวยงามของมัน มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว

การเล่นเรื่องนี้มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้าง
พีเจ: ใหม่ทุกอย่างเลย เหมือนได้เรียนการแสดงใหม่ เพราะเข้าใจการแสดงมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเวิร์กช็อปที่ค่อนข้างจะนานและหนักกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยเจอมา หรือแม้แต่การเล่นแต่ละซีน พี่บอสเป็นคนที่ไม่ปล่อยผ่าน ปั้นทุกซีน ทำให้เราเจออารมณ์ใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยเจอตลอด

ซีรีส์เรื่องนี้มีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน แต่ละคนคิดว่าประเด็นนี้สะท้อนอะไรในสังคมปัจจุบันและเปิดมุมมองเราอย่างไร
พีเจ: ผมมองว่าเรื่องความสัมพันธ์มันเป็นเรื่องที่ปกติขึ้น เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้เราเจอคนได้เยอะ ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ทำให้เรามีชอยส์ มีตัวเลือกที่เยอะขึ้น ทำให้เป็นปกติที่สมัยนี้คนจะหาสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง จะคุยกับใครได้มากกว่า 1 คน หรือศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นส่วนตัวผมเองจะมองว่าไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ผมชอบความชัดเจนมากกว่า รู้สึกว่าถ้าเราสามารถให้สถานะกันได้ มันก็น่าจะดีกว่า แต่ก็แล้วแต่คนว่าสะดวกแบบไหนครับ
ไป๊ป: ผมว่าสื่อมันกว้างขึ้น ทางเลือกของคนก็มากขึ้นเหมือนกัน เหมือนจากสมัยก่อนคนอาจจะรู้สึกว่าคบกันต้องเป็นแฟน สมัยนี้อาจจะเป็นแบบเราต้องการแค่นี้ ต้องการความสัมพันธ์ไม่เกินนี้ เหมือนชัดเจนกับตัวเองมากขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะพูด กล้าที่จะลองมากขึ้น มันเป็นผลพวงมาจากการพัฒนาของคนอยู่แล้วที่เรากล้าคิดอะไร แต่มันก็จะมีข้อเสียบางอย่าง เพราะบางคนที่อยู่ในความสัมพันธ์อาจจะรู้สึกว่าไม่ชัดเจน แต่ถ้าเกิดเขายินดีหรือยอม มันก็เป็นทางเลือกในการเรียนรู้ของเขา เอาจริงเมื่อก่อนก็คงมีอยู่แล้ว แต่มันอาจจะใช้คำพูดเบี่ยงประเด็น ไม่ได้ตรงไปตรงมาเท่าในปัจจุบัน
นิว: ผมว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนมันมีมานานแล้ว ในความสัมพันธ์ของความเป็นมนุษย์มันมีอยู่ทุกสมัย ทั้งเรื่องความไม่ชัดเจนและการเผื่อเลือก แต่แค่ในยุคสมัยนี้มันถูกหยิบขึ้นมาบนพรมมากขึ้น ถูกพูดถึงมากขึ้น กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ซึ่งผมว่ามันมองได้หลายมุมมองมากๆ ในฐานะคนโดนกั๊กก็รู้สึกว่าเราอยากมีใครสักคนที่เราอยากจะชัดเจน แต่ในฐานะคนที่มองจากอีกมุมหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้ มันเป็นเรื่องของแต่ละมุมมอง ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูเรื่องนี้จะสะท้อนได้ว่าเราเคยเป็นคนไหน เคยทำอะไรกับใครบ้าง บางครั้งเราอาจจะทำโดยไม่รู้ตัวก็ได้ แล้วผมว่ามันเป็นเรื่องของความรักด้วย ความรักมันมหัศจรรย์ มันทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้
เลออน: เปิดมุมมองว่าอะไรแบบนี้มีอยู่จริง การที่คนหนึ่งต้องการสถานะที่ไม่ได้มีสถานะ หรือว่าไม่อยากยึดติดอะไรกับใคร มันมีอยู่จริง เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้จริง มันไม่ใช่ fiction มันคือ reality เพราะว่ากับตัวผมเองก็เคยเกิดมาแล้ว


บรรยากาศการทำงานในกองถ่ายเป็นอย่างไร มีเรื่องประทับใจอะไรที่อยากเล่าให้ฟังบ้าง
ไป๊ป: ผมว่าบรรยากาศในกองมีหลายมวลมากเลย เพราะว่าอย่างผมเองเวลาอยู่ในกอง ผมจะนิ่งๆ เพราะในหัวมีแต่บท ผมไม่อยากหลุดออกจากมันมาก แต่ว่าความสนุกมันก็มีตลอด พี่ๆ ทีมงานเขาก็ค่อนข้างสนิทกันเหมือนครอบครัว เหมือนเพื่อนมากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ในกองมันก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรขนาดนั้น แต่ถ้ากดดันคงเป็นเรื่องงานที่เรากดดันตัวเอง ส่วนทีมงานน่ารักทุกคน น้องๆ ก็น่ารักมากครับ
นิว: ในกองมีความท้าทายสูงมาก เพราะเราถ่ายกันที่สยาม ใช้กล้องโทรศัพท์ถ่าย และเป็นการถ่ายทำซีรีส์แบบใหม่มากๆ หมายถึงทั้งวิธีเล่นและอะไรต่างๆ ทั้งทีมงานและนักแสดงเองจะบอกว่า มีความท้าทายในความใหม่สูง ก็เลยมีความกดดันจากตรงนั้นอยู่บ้าง แล้วก็ความที่เราควบคุมสภาวะต่างๆ ไม่ได้ แต่ว่าความกดดันนั้นคือความสนุกด้วยนะ เพราะเราทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ
เลออน: ความประทับใจหลักๆ คือพี่บอสเลยกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นนักแสดงหลักด้วยกัน ผมว่ากองนี้มันพิเศษตรงที่ทุกคนไม่ได้อายุห่างกันมาก มันเลยเหมือนเราทำงานกับครอบครัว เหมือนไป outing มันเลยกลายเป็นกองถ่ายที่เราสบายใจมาก เพราะเราสามารถคุยกับใครก็ได้ ส่วนที่ประทับใจมากๆ เลยคือพี่บอส ผมไม่เคยทำงานสายนี้มาก่อนและเป็นครั้งแรกที่ทำงานแสดง ก็ได้เจอพี่บอสเลย พี่บอสเป็นคนที่ผมว่าเขาพิเศษมากตรงที่เขาเข้าใจมนุษย์ เข้าใจนักแสดงของเขา เก่งเรื่องอารมณ์ เข้าใจอารมณ์ รู้ที่มาของการกระทำ เวลาเขาบรีฟอะไร เวลาแสดงแล้วผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ของตัวละคร เขาจะเป็นคนที่ตอบได้ชัดเจนมาก ทั้งที่บางครั้งเป็นคำพูดแค่ประโยคเดียว
พีเจ: สนุกทุกวันเลยครับ เพราะพอคนในกองอายุไม่ได้ห่างกันเยอะมาก มันจะเป็นเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องกันมากกว่า ด้วยความเป็นเพื่อนกัน เคมีก็เลยเข้ากันได้ สนิทกัน เหตุการณ์ที่ประทับใจก็มี อย่างเวลาที่คนใดคนหนึ่งเล่นไม่ได้ เราก็จะช่วยกันส่งอารมณ์ไปจนคนนั้นเล่นได้ ทั้งที่บางทีกล้องก็ไม่ได้รับหน้าเราด้วย เป็นสี่คนที่ช่วยกันมากในเรื่องของการแสดง ณ ตอนนั้น

ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ นักแสดงอย่างที่เล่ามาเกิดมาจากอะไร
พีเจ: จากเวิร์กช็อปต่อเนื่องมาถึงได้ถ่ายซีรีส์ด้วยกัน ทำให้ได้อยู่ด้วยกันเยอะ เกือบจะทุกวันเลย ตอนนี้สนิทจนเริ่มไม่คุยกันแล้ว (หัวเราะ) เพราะมันไม่รู้จะคุยอะไร แค่มองหน้าก็รู้กันแล้ว ไม่ต้องพูดกันก็ได้

พอต้องมาทำเล็บเจลในเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกัน
เลออน: ผมรู้สึกว้าว! ตรงที่มันเป็นการแสดงถึงคาแร็กเตอร์ของคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้
ไป๊ป: แรกๆ ผมไม่ค่อยเก็ตมันเท่าไหร่ ตอนแรกที่พี่ๆ ทีมงานลองให้ไปทำเล็บดูแล้วถ่ายรูปกัน มันเป็นเล็บนูน ผมค่อนข้างใช้ชีวิตไม่ค่อยเป็น คือล้วงกระเป๋าหยิบของแล้วกลัวมันหลุด แต่ความจริงมันอยู่ได้นานมาก ทนมาก พอทำงานมาเรื่อยๆ ได้ลองเปลี่ยนเล็บไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าแต่งตัวสนุกดีแฮะ เพราะตอนแรกผมคิดว่ามันจะจำกัดคอสตูมไปด้วย แต่ความจริงคือมันส่งคอสตูมขึ้นไปอีก
นิว: ผมทำเล็บเจลมาตั้งแต่ตอน 3 ปีที่แล้ว เหตุผลตอนนั้นอาจจะไม่ได้เหมือนคนอื่นที่ทำเพราะสวย แต่ผมทำเพื่อกันไม่ให้กัดเล็บ แล้วก็จะมีติดเล็บแต่จะเลือกที่มันเรียบๆ อาจจะแฟชั่นนิดหน่อย แต่เดี๋ยวนี้มันคือการแสดงตัวตนของผมไปแล้ว อย่างแต่ก่อนอาจจะมีความรู้สึกที่ติดเล็บแบบนี้แล้วเขินจังเลย แต่ตอนนี้ไม่ละ มันกลายเป็นแฟชั่น เป็นไอคอนิกบางอย่าง เป็นการเล่าเรื่องของตัวเองว่าช่วงนั้นอินกับอะไร ชอบสีสันแบบไหน ชอบสไตล์ไหน ผมว่ามันสะท้อนถึงยุคสมัยได้ แล้วก็ไม่มีเรื่องเพศด้วย มันคือตัวตนของค

มองตัวละครที่เราเล่นกับเรื่องการทำเล็บเป็นแบบไหน
เลออน: ผมไม่เคยมานั่งคิดเพราะผมรู้สึกว่าตัวละครนี้ทำเล็บก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย ในเรื่องนี้ไม่แปลกเลยที่แต่ละคนจะทำเล็บเพราะมีที่มาที่ไป อย่างตัวละครผมก็ทำเล็บเวอร์อยู่ แต่ก็เข้าใจที่เป็นคนแบบนั้น เป็นคนแฟชั่น เป็นคนทำอะไรก็ทำ ไม่ได้คิดถึงคนรอบข้างขนาดนั้น จริงๆ ก็มีความแคร์ความรู้สึกคนอื่นนะ แต่อย่างเรื่องทำเล็บก็ไม่ได้กลัวใครจะมองว่าแปลก
ไป๊ป: ผมว่าเล็บเจลมันบอกบุคลิกของคนได้และได้ดีมากด้วย เพราะทุกคนที่ไปทำเล็บก็จะทำลายที่เราชอบ สีที่เราอยากทำ แพตเทิร์นที่เราสนใจ ซึ่งมันก็จะบ่งบอกว่าเราเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร ผมเลยคิดว่าเล็บมันค่อนข้างบอกคนได้เหมือนกัน อย่างเชียรเป็นคนชอบทำอะไรที่ดูสดใสหรือเท่บ้าง เพราะพื้นฐานเขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาเท่ขนาดนั้น แต่เขาทำเพราะคิดว่าเท่ดี ส่วนความสดใสก็เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เชียรมีอยู่ข้างใน แต่ว่าไม่ค่อยแสดงออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง
พีเจ: ผมว่าคนที่ออกแบบเขาเก่งมากที่วิเคราะห์คาแร็กเตอร์ตัวละครแต่ละตัวออกมาได้ แบบเห็นเล็บแล้วเชื่อว่า ถ้าเป็นตัวละครนี้จะทำสี ทำแบบนี้ได้ ผมก็ชอบนะ ถ้าจบเจลบอยแล้วได้พักก็คงน่าจะไปทำเล็บจริงๆ เลย เพราะตอนนี้ใช้แบบแปะอยู่
นิว: อย่างโฟร์มด ลายเล็บเขาจะขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นเขารู้สึกอะไร เขาอยากเป็นคนแบบไหน หรือว่าติดตามอะไรอยู่ มันจะแสดงถึงสิ่งนั้น หรือว่าถ้าเขาอยากทำเล็บนานๆ เขาก็จะเลือกลายยากๆ


การแสดงบทนำในเรื่องนี้เป็นอย่างไร ต้องเจอกับความกดดันหรือความท้าทายแบบไหน
นิว: กดดันเพราะมันเป็นเรื่องแรกที่ผมรับบทนำ เป็นตัวเล่าเรื่องเต็มๆ พี่บอสก็จะเน้นเป็นพิเศษว่า คนดูจะต้องติดตามตัวเราผ่านมุมมองเรา เข้าใจในทุกข้อความที่พี่บอสอยากจะเล่าหรือตัวละครเป็น เพราะฉะนั้นเขาจะเน้นทุกบทเลย ไม่มีแบบที่อยากเล่นไรก็เล่น มันจะต้องอยู่ในกรอบบางอย่าง ซึ่งในช่วงแรกๆ กดดันมาก เพราะถ้าเราทำไม่ได้ มันเหมือนเรื่องเปลี่ยน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับอยากเล่า แต่หลังๆ ก็เริ่มท้าทายมากขึ้น เปลี่ยนจากความกดดันเป็นความท้าทาย แล้วก็ได้พี่ๆ ได้เพื่อนๆ นักแสดงช่วยด้วย ทำให้เราเห็นถึงความสนุกตรงนี้ เราเริ่มเจอความสนุกของมัน แล้วก็มีบางอย่างในตัวโฟร์มดที่ติดตัวมาถึงตัวนิวเองด้วย อย่างนิวจะมีความอ่อมแก่ประมาณหนึ่งในชีวิตประจำวัน ใช้พลังงานน้อยๆ แต่พอเล่นเป็นโฟร์มดแล้วมันเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ กราฟเปลี่ยนทุกตอน มีความเฟมินีนขึ้น มีความ alert ขึ้น จนส่งมาถึงนิว ยิ่งเล่น นิวกับโฟร์มดก็เริ่มหลอมกลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว

อยากรู้เกี่ยวกับเคมีระหว่างเพื่อนนักแสดงด้วยกัน ต้องทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากันได้ไหม
ไป๊ป: อย่างผมกับนิวถ้าเคมีชีวิตจริงไม่ยากมาก เพราะเรียนคณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน แล้วอายุก็ไม่ได้ห่างกันมาก ไลฟ์สไตล์บางอย่างก็คล้ายๆ กัน เลยเข้ากันได้ไม่ยาก แต่พอในบทที่มีความรักความเข้าใจสูง หรือมีอีกมิติก็จะยากหน่อยในช่วงแรก เพราะมีความแข็งกร้าวเหมือนกันด้วยมั้ง เลยหาจุดตรงกลางกันนานอยู่ เล่นผิดเล่นถูกบ้าง แต่พอนานๆ ไปมันเริ่มซึมเนื้อ เริ่มเข้าใจ เลยสนิทกันได้ไม่ยาก ส่วนเลออนเหมือนจะยาก แต่รู้สึกง่าย แรกๆ อาจจะไม่ค่อยคุยกันเท่าไหร่ เพราะอายุห่างกันเยอะ เราก็เลยไม่รู้จะคุยแบบไหน แต่เลออนเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว การคุยกับเขาเลยไม่ใช่เรื่องยากเลย หรือเรื่องความสนิทก็มีความเป็นพี่น้องกันสูงมาก ในบทก็อายุห่างกันนิด บทกับตัวจริงเลยไม่ได้ยากเท่าไหร่ ส่วนพีเจก็ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าเป็นคนนิ่งๆ ง่ายๆ ทั้งคู่ แล้วผมมองทุกคนเป็นน้องมากๆ อยู่แล้ว แค่แต่ละคนต่างกัน อย่างนิวเองเป็นน้องชายที่กล้าสุด คุยตรง พูดแข็งใส่กันได้ มีความเป็นน้องที่เป็นเพื่อนได้ พีเจเหมือนน้องชายชิลๆ น้องคนกลาง ปล่อยๆ ได้ ส่วนเลออนผมมองเหมือนน้องสาวก็จะสปอยล์เป็นพิเศษ

อยากฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ติดตามเรื่องนี้บ้าง
เลออน: สำหรับคนที่ติดตามผลงานพี่บอส เรื่องนี้ก็มีลายเซ็นพี่บอสใหญ่มาก น่าจะชอบอยู่แล้ว ส่วนคนที่เคยอยู่ในสถานะที่ไม่ค่อยชัดเจน ผมว่ายังไงก็ต้องอินกับเรื่องนี้ เพราะผมไม่เคยเห็นเรื่องไหนที่มีพล็อตแบบนี้มาก่อน หรือถ้ากับคนที่ชอบแฟชั่น หรือเป็นเด็กเจนนี้ มันก็มีหลายเรื่องที่เชื่อมโยงได้เยอะอยู่ ทั้งกิจกรรมที่สยามกับวิธีการพูด ภาษาที่ตัวละครใช้ เรื่องที่ทำ ทุกอย่างมันเรียลมาก และสำหรับผู้ใหญ่ ผมว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งที่จะเข้าใจเด็กเจนนี้ได้ เข้าใจว่าทำไมต้องถ่ายคอนเทนต์ตลอดเวลา ถ้าเป็นคนอีกเจนมาดู เขาก็จะเข้าใจว่าทำไมเจนนี้ใช้ชีวิตแบบนี้ และได้เห็นว่าไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นนี้เป็นแบบนี้จริงๆ
