ออกเดินทางสู่ Mykonos ดินแดนในฝันท่ามกลางน้ำทะเลสีฟ้าใส ท้องฟ้าสีคราม และอารยธรรมอันเก่าแก่

วันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จภารกิจแฟชั่นวีคสุภาพบุรุษฤดูร้อนที่ปารีสเมื่อปีกลาย ผู้เขียนนั่งรถไฟไปสนามบิน Orly (ออร์ลี่) เพื่อบินตรงจากปารีสไปเกาะมิโคโนส เกาะในฝันที่เคยเดินทางไปเมื่อห้าปีที่แล้ว มารอบนี้ก็ได้เลือกสายการบินเดิมคือ Transavia ซึ่งมีเที่ยวบิน ทุกวัน และจองล่วงหน้ามาตั้งแต่เดือนธันวาคม ค่าตั๋วจึงราคาดีอย่างไม่น่าเชื่อ เครื่องออกแต่เช้าตรู่ถึงเกาะมิโคโนสก็ราวเที่ยงกว่า มีเวลาเหลือเฟือเพราะหน้าร้อนแบบนี้กว่าพระอาทิตย์จะตกก็สี่ทุ่ม ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีแสงถ่ายรูปลงอินสตาแกรม

การเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองในเกาะมิโคโนสก็แสนสะดวกสบาย เพราะได้ทำการจองรถแท็กซี่ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ที่ปารีส เมื่อเดินออกจากสายพานรับกระเป๋าก็จะเจอโชเฟอร์ถือป้ายชื่อเรายืนรอรับอยู่ตรงโถงคนเข้าเมือง และทันทีที่รถแล่นออกจากสนามบินก็มีความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเหมือนภาพตัดที่ช่างต่างกับเมื่อวานที่เรากำลังทำงานอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวายของแฟชั่นวีค แสงแดดจัดจ้า สองข้างทางที่โล่งโปร่งสบายตา ตึกรามบ้านช่องที่ล้วนเป็นเอกลักษณ์ด้วยลักษณะกล่องสีขาวเรียงรายไปตามเส้นทางเข้าสู่ตัวเมือง ตรงนั้นตรงนี้ดูสวยงามไปหมดอยากแวะไปเสียทุกที่ แต่ด้วยเวลาของโชเฟอร์ที่มีจำกัด เอาเป็นว่าเดี๋ยวบ่ายนี้เราเข้าโรงแรมก่อนแล้วค่อยออกมาสำรวจเกาะอีกทีนึง จะด้วยรถเช่าหรือมอเตอร์ไซค์หรือยานพาหนะอะไรก็ตามแต่ คือทุกอย่างมันดูน่าค้นพบค้นหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ริมทางหรือร้านเหล้าสไตล์กรีก

ลืมบอกไปว่าคราวที่แล้วที่มีโอกาสได้มาเกาะมิโคโนสแห่งนี้เมื่อห้าปีก่อน รอบนั้นมานอนพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งริมชายหาด Elia อันเลื่องชื่อ แต่ครั้งนั้นเป็นการพักผ่อนในรีสอร์ตอย่างเดียวไม่ได้ออกมาชมเมืองเก่ามิโคโนสหรือที่อื่นใดบนเกาะนี้เลย มารอบนี้จึงถือโอกาสจองโรงแรมไว้สามแห่ง เพื่อที่จะสำรวจเกาะได้อย่างเต็มที่ภายในเวลาศุกร์เสาร์อาทิตย์ โรงแรมแห่งแรกที่จองอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Mykonos Old Town ใกล้กับถนนรอบนอกของเมืองเก่า ซึ่งก็ค้นพบว่าโชคดีมากที่จองโรงแรมนี้ เพราะเป็นบริเวณที่รถสามารถเข้าถึงได้

ถ้าไปพักอยู่ในตรอกซอกซอยของตัวเมืองซึ่งเล็กมากก็ต้องเดินลากกระเป๋าออกมารอรถรับส่งเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล หลังจากเก็บข้าวของสัมภาระเข้าที่ก็ได้เวลาสำรวจย่านเมืองเก่าของเกาะมิโคโนส อุณหภูมิในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจะอยู่ที่ 28 องศาขึ้นไป แดดแรงแต่ลมเย็นโดยที่ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด ส่วนเสื้อผ้าที่เตรียมไปก็เป็นจำพวกเสื้อผ้าลินิน กางเกงขาสั้น และรองเท้าแซนดัล เตรียมหมวกปีกอีกสักใบก็เดินสบายๆ ได้รอบเมือง

เมืองหลวงที่งดงามของมิโคโนสคือ โครา (หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘Mykonos Town’ หรือ ‘โฮรา’) ซึ่งเป็นเมืองที่มีตรอกซอกซอยเล็กๆ แวดล้อมด้วยอาคารสีขาวทรงสี่เหลี่ยมไปตามทางเดินที่เหมือนจะวนเป็นเขาวงกต เมืองนี้เป็นหมู่บ้านไซคลาดิกมาแต่ดั้งเดิม มีดอกเฟื่องฟ้า โบสถ์สีขาวเล็กๆ หน้าต่าง ประตู และระเบียงสีสันสดใส ถนนสายหลักคือ Matogianni ซึ่งเรียงรายไปด้วยร้าน บูติก ร้านอาหาร และบาร์ ที่สามารถเดินเล่นได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน และวกกลับมาที่เดิมได้อย่างไม่มีเบื่อ

ผู้เขียนเองเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ก็พบทางออกไปยังริมฝั่งน้ำ พบร้านอาหารกึ่งคาเฟ่บาร์ที่น่ารัก ตั้งอยู่ริมโบสถ์เล็กๆ ใกล้ทะเล บรรยากาศโรแมนติกแบบสุดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ส่วนในช่วงเช้าจะสังเกตได้ว่าที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบในตอนกลางวัน ถามไถ่คนแถวนั้นได้ความว่า ที่นี่เป็นสวรรค์ของนักท่องราตรีซึ่งส่วนใหญ่จะมาปาร์ตี้กว่าจะกลับถึงที่พักก็ช่วงเช้า ดังนั้นพอช่วงบ่ายๆ ถึงจะเริ่มคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว บริเวณกังหันลมอันเลื่องชื่อของที่นี่เป็นจุดถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้ ผู้คนจะเดินมาชมพระอาทิตย์ตกดินในบรรยากาศสุดโรแมนติก และในช่วงค่ำที่ผู้เขียนเดินไปเดินมา ก็ได้ค้นพบกับหมู่บ้านชาวประมงเก่าในย่านเล็กๆ ที่เรียกว่า Little Venice เต็มไปด้วยร้านอาหารและบาร์ที่เปิดให้บริการจนถึงเช้า น่าสนุกใช่ไหมล่ะ

ใช้เวลาย่านมิโคโนสทาวน์นี้หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ วันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาย้ายที่พักไปยังรีสอร์ตอันงดงามที่อยู่อีกด้านของเกาะในยามบ่ายวันอาทิตย์กับแสงแดดจัดจ้า ด้วยบรรยากาศรายรอบที่ช่างมีชีวิตชีวา เรามานั่งพักกันที่ริมระเบียงสีขาวสะอาดตาที่เบื้องหน้าคือทะเล Aegean อันกว้างไกล สายลมเย็นค่อนข้างแรงปะทะกับดอกยี่โถสีชมพูและต้นสน มองไกลออกไปคือเขาหินสีทรายบนเนินที่ลดหลั่นด้วยบ้านเรือนสีขาวกระจัดกระจายอย่างสวยงาม ส่วนเบื้องล่างนั้นคือหาด Elia ที่เราตั้งใจว่าจะกลับไปเล่นน้ำทะเลสีเขียวใสให้ได้อีกครั้ง เป็นทางเลือกที่เพอร์เฟ็กต์สุดๆ ที่ได้จองห้องพักไว้ตั้งแต่เมื่อต้นปีเพราะถ้าช้าไปกว่านั้นอาจไม่ได้ห้องที่ต้องการในวันรุ่งขึ้นก่อนย้ายที่พักไปยังย่านท่าเรือเก่า เราก็ได้ค้นพบว่าลมที่นี่แรงจริงสมกับชื่อ ‘เกาะแห่งสายลม’

ใช้เวลากับประกายแดด ชื่นชมความงามในตำนานของทะเลเอเจียน เสน่ห์ของผู้คน ความร่ำรวยทางวัฒนธรรม และซับคัลเจอร์อันโด่งดัง เราต้องกลับมาเยือนที่นี่อีกอย่างแน่นอน

Similar Articles

More