ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี มาถึงสตูดิโอด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมยกมือไหว้ทีมงานทุกคนด้วยความสุภาพซ่อนคม เขาสวมเสื้อโอเวอร์ไซต์สไตล์สปอร์ตสีเขียวมินต์แถบแขนสีขาว จากแบรนด์เสื้อผ้าของเขาเอง ‘ASTRO Stuffs’ / @astrostuffs “ผมชอบใส่เสื้อผ้ามีทรง แต่ขอทรง loose หน่อย ชอบใส่อะไรที่สบายๆ แบบฟิตตัว มันคล่องตัวดีครับ” เขาบอกกับเราแบบนั้น
ด้วยความที่ไบร์ทคลุกคลีกับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก จะเรียกว่าเติบโตในครอบครัวดนตรีก็คงไม่ผิด (เพราะครอบครัวเขาเปิดโรงเรียนสอนดนตรี) ส่งผลให้เขามีรสนิยมจัดจ้านเรื่องความสุทรีย์ไม่น้อยไปกว่าใคร เห็นได้จากผลงานเพลงสากล Lost&Found ที่ไบร์ทได้วาดฝีไม้ลายมือทางด้านดนตรีไว้อย่างไม่ธรรมดา และล่าสุดเขากำลังจะมีผลงานใหม่เอี่ยมมาฝาก “ผมจะมีปล่อยเพลงเป็นซิงเกิล ชื่อว่า My Ecstasy ฟีทเจอริ่งกับพี่ D Gerrard แล้วก็จะมีมินิอัลบั้มด้วย คิดว่าทุกคนน่าจะได้ฟังทุกเพลงประมาณปลายเดือน ก.พ. หรือช่วงต้น มี.ค. ครับ” เป็นเพลงแนวไหน? เราถามต่อ “ผมว่าแต่ละเพลงมันมีเส้นทางของมัน คือผมไม่ได้จำกัดตัวเองว่าอยากจะทำเพลงแนวไหนเป็นพิเศษ เหมือนเรามี vibe ที่อยากจะเล่า คือมันเป็นเราในทุกๆ แบบ จากเพลงที่เราฟัง แล้วมันก็กลั่นกรองออกมาเป็นตัวผม แต่ผมก็กำลังหาคำจำกัดความของมันอยู่ครับ”
วันนั้นถือว่าโชคดี เราเลยได้ฟังเพลย์ลิสต์ส่วนตัวของไบรท์ระหว่างการถ่ายแฟชั่นเซ็ทปกในสตูดิโอที่ดำเนินไปเกือบค่อนวัน เพราะเขาเดินมาจิ้มไอแพดที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ของช่างภาพแล้วเลือกเพลงเพื่อบิ้วท์มู้ดตัวเองให้การทำงานหน้ากล้องราบรื่นไปตามตัวโน้ตที่ตัวเขาเองรู้สึกเป็นมิตร เพลงที่ไบร์ทเปิดในสตูดิโอส่วนใหญ่จะเป็นแนว Soul หรือ R&B แนวเพลงที่เน้นที่เนื้อร้องความรักซึ้งๆ เมโลดี้ที่ฟังแล้วเคลิ้มสบายพาให้ร่างกายขยับแขนขาโยกไปกับจังหวะบีตปานกลางแนวสดใส จนเราอดที่จะเปิดแอปฯ Shazam เพื่อแอบจุ๊บจากเพลย์ลิสต์เขาไปฟังบ้าง อย่าง Tadow by FKJ & Masego, Ylang Ylang by FKJ & ((( O ))), Serene//Rewind by Demxntia & Dion Dugas, We Might Even Be Falling in Love (Interlude) by Victoria Monét “ตอนนี้ผมฟังเพลงเยอะมาก ๆ ครับ ไม่ได้จำแนกว่าชอบแนวไหน แต่ถ้าได้เลือกจิ้มเอง ผมมักจะเลือกออกไปทางแนว R&B, Soul, Neo-Soul หรือไม่ก็ Jazz อะไรแบบนั้น” แล้วชอบไปมิวสิคเฟสติวัลไหม? เราถามต่อ “ชอบครับ ถ้ามีเวลานะ (หัวเราะ) ยิ่งถ้ามีไลน์อัพที่ชอบก็จะยิ่งอยากไป ผมหาเวลาไปตลอดนะอันที่จริง แต่ยังไม่เคยไปมิวสิคเฟสติวัลของเมืองนอกเลยครับ อยากลองไปอยู่เหมือนกัน น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดี” หลังจากที่คุยกันเรื่องเพลงอย่างเข้าขา เราก็ชี้เป้าให้เขาลองไปลิ้มรสเทศกาลดนตรีขนานแท้อย่าง Primavera Sound ที่บาร์เซโลนาดู ซึ่งในระหว่างการสัมภาษณ์นั้น เราเห็น บก. บห. ทำตัวเป็นนักดอดแอบย่องไปจิ้มพลง Highway to hell ของวงร็อคอังกฤษรุ่นเก๋าอย่าง AC/DC ที่ดูเหมือนว่าจะมีไม่มีใครโยกหัวตามเลยนอกจากทีมช่างภาพ
จิวเวลรี่คืออะไรสำหรับไบร์ท? เราเปิดคำถามแรกเพื่อยึดโยงกับเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่แบรนด์ Bulgari (บุลการี) ผู้สนับสนุนปก ELLE MEN Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2566 “ยากเลย (หัวเราะ) จริงๆ ผมไม่ค่อยใส่จิวเวลรี่ ฉะนั้นสำหรับผมมันคือส่วน add on เป็นอะไรที่เพิ่มความมั่นใจให้เรามากขึ้นในวันที่เราต้องการเพิ่มเลเยอร์ให้ลุคนั้นมากขึ้น โดยปกติในชีวิตประจำวันผมไม่ได้ใส่เลยครับ ส่วนใหญ่สวมแต่นาฬิกา แต่จะใส่เวลาขึ้นคอนเสิร์ตหรือไปงานสำคัญๆ ที่อยากแต่งตัวมากกว่าที่เราเคยแต่ง จิวเวลรี่ก็จะเป็นตัวเสริมลุคขึ้นมาในวันที่ต้องการความ formal มากขึ้น”
แล้วสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวเองมากที่สุด? อืม…ผมว่าจริงๆ ผมเป็นคนค่อนข้างมินิมัล หรืออาจใช้คำว่า effortless ก็ได้ครับ โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบอะไรเยอะๆ หรือถ้าเป็นเรื่องการแต่งตัว ผมไม่ได้ชอบอะไรที่เป็น silhouette ใหม่ๆ ชอบอะไรที่คลาสสิกมากกว่า แต่เราช่างเลือกนะ เลือกแพทเทิร์นที่ดี ดูดีไซน์ ฟิลลิ่งการใส่ วัสดุ เพราะเราก็ทำแบรนด์ด้วย ผมเลยชอบใส่เสื้อผ้าคุณภาพดีๆ และไม่ชอบใส่อะไรที่มันระโยงระยาง เป็นคนไม่แต่งตัวจัด แต่แต่งตัวตามกาลเทศะมากกว่าครับ” ในการแต่งตัวทุกๆ ครั้ง ไบร์ทมักจะเอากาลเทศะมาตั้งโจทย์ และแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานนั้นๆ แต่ถ้าไม่ได้ออกไปไหนเป็นวาระพิเศษ อะไรที่อยู่ใกล้ไม้ใกล้มือที่สุดก็จะถูกหยิบมาใส่ก่อน
ผ่านมาหลายบทบาท ทั้งนักแสดง ศิลปิน พิธีกร นายแบบ ชอบบทบาทไหนมากที่สุด? “อืม…ผมชอบคำว่าศิลปิน ช่วงที่ผ่านมาผมได้มาทำงานเบื้องหลังมากขึ้น เป็นงานของตัวเองนี่แหละ เลยพบว่าเราชอบที่จะทำอาร์ตด้วยตัวเอง อย่างเพลงที่เพิ่งปล่อยไป เราก็คิดเพลงที่จะเล่า แนวดนตรี สตอรี่บอร์ด คอนเซ็ปต์ทุกอย่างมันมาจากเรา แล้วเราก็ร้องเอง เอาไปเล่นเอง รู้สึกว่าเราได้ใช้สกิลทั้งหมดที่เรามีในการร้องเพลง การแสดง และครีเอทีฟ มันคือการเสิร์ฟงานอาร์ตชิ้นหนึ่งให้ผู้คน คือไม่ใช่แค่ผมได้เพลงมาแล้วก็เอาไปร้อง หรือเขาบอกให้ผมไปเล่นก็ต้องเล่น แต่ทั้งหมดมันกลั่นกรองจากสิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอจริงๆ รู้สึกว่าสนุกมากๆ ก็เลยรู้สึกว่าชอบพาร์ทของศิลปินครับ” ส่วนพาร์ทที่ยากที่สุดสำหรับไบร์ทในการทำงานในวงการบันเทิง ก็คงเป็นสิ่งอยากทำงานให้มันดีขึ้น อยากโตขึ้น จนบางทีกดดันตัวเองเกินไป ความเครียดก็ถามหา “เรื่องที่ยากสำหรับผมก็คือการทะเลาะกับตัวเอง (หัวเราะ) คือผมมักจะพูดกับตัวเองว่า คนรอบข้างไม่ต้องมีใครกดดันผมหรอก เพราะไม่มีใครกดดันตัวผมเท่าตัวผมเองแล้ว ผมไม่ชอบฟิลลิ่งของการปล่อยงานออกไปแล้วผมไม่รักงานนั้น ไม่อยากให้ใครดูเลย ผมไม่ชอบอารมณ์แบบนั้น ก็เลยพยายามจะทำงานให้มันได้ดั่งใจที่สุด ซึ่งมันคือความเครียดมากๆ ครับ”
ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นศิลปินหรือทำงานในในวงการบันเทิง คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่? “คือจริงๆ ผมเรียนวิศวะฯ อยู่ครับ แล้วก็ดร็อปออกมาทำงานตรงนี้ ถ้าไม่ได้อยู่วงการบันเทิงก็คิดว่าคงจะเป็นวิศวะฯ ตั้งใจทำงานเก็บเงินสักก้อนนึง พออายุสัก 35-40 ก็อาจจะอยากไปทำธุรกิจส่วนตัว ไปอยู่เงียบๆ ที่นครปฐม อยากกลับไปอยู่แถวบ้าน เป็นวิถีชีวิตที่เบาสบายดี ไม่เร่งรีบ สโลไลฟ์ ผมชอบกิจวัตรลุงตัวเองมาก ตื่นมาวิ่งเช้าตรู่ พอสัก 10 โมง ก็สอนดนตรีนักเรียน กลางวันกินข้าว สัก 4 โมงเย็นก็ออกไปเตะบอลที่สนามโรงเรียน ตอนมืดกลับมาสอนดนตรีต่อ จากนั้นดูละครหลังข่าวแล้วก็นอน วนไปแบบนี้ ผมว่ามันชิลดี (หัวเราะ) คือ ณ ตอนนี้เรายังสนุกกับความหวือหวาแหละครับ แต่สุดท้ายแล้วเราจะอยากกลับไปอยู่กับอะไรเรียบง่ายแบบนั้น แต่ถ้าถามว่าอีก 10 ปีข้างหน้า คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่ ผมว่า ณ วันนั้น น่าจะทำงานน้อยลง อาจจะทำแค่งานที่เรารู้สึกมีความสุขจริงๆ น่าจะอยู่บ้านเยอะ ได้ท่องเที่ยวเยอะ ผมคิดไว้ว่าอายุสัก 35 อยากจะมีลูกแล้ว อยากอยู่นิ่งๆ มีเวลาให้ลูกให้ตัวเองและครอบครัวเยอะๆ หวังว่าวันนั้นจะมีชีวิตที่สมดุลลงตัว ดูแลตัวเองและครอบครัวได้อย่างไม่เครียดครับ”
วงการนี้ให้อะไรกับไบร์ท? “โอ้ เยอะแยะครับ…ผมรักงานนี้มากเลยนะ ไอเลิฟมายไลฟ์ ไอเลิฟมายจ็อบ โคตรๆ เลย ผมไม่รู้จะไปทำอะไรที่มีความสุข หรือไม่น่าจะมีงานไหนที่ทำให้ผม ทำงานแบบไม่มีวันหยุดได้เป็นเดือนสองเดือนนอกจากงานนี้ และให้ความมั่นคงกับผมและครอบครัวด้วย ให้โอกาสผมได้เจอคนเยอะแยะ ให้โอกาสผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหลายอย่างมากกว่าที่คิดไว้ตอนเด็กๆ ด้วยซ้ำ แล้วก็ให้โอกาสผมได้เจอคนที่รักผมเยอะแยะทั่วโลกเลย มันดีมากเลยครับ มันเพียวมาก อยู่ห่างกันเป็นพันๆ กิโลเมตร แต่เราสัมผัสได้เลยว่าเขารักเรา” เขายิ้มอิ่มใจ
มุมมองต่อความสัมพันธ์ในแง่ความรักในปัจจุบันเป็นแบบไหน? “ณ ตอนนี้รู้สึกว่าความรัก เป็นเรื่องยากขึ้นเยอะเลย จากตอนเด็กๆ เราไม่ต้องคิดอะไรเยอะในการเลือกใครสักคนมาอยู่ข้างๆ เด็กๆ มันอาจจะ ‘ชอบ น่ารัก’ หรือ ‘อยู่ด้วยแล้วมีความสุข’ แต่พอโตมา เราเริ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราได้เห็นชีวิตจริงๆ เลยได้รู้ว่าองค์ประกอบของใครสักคนหนึ่งที่จะมาอยู่กับเราไปทั้งชีวิต ต้องดูอะไรมากมายเลย เขาต้องเป็นเพื่อนเราได้ เป็นแม่ของลูกที่ดีได้ เป็นภรรยาที่ดี เข้ากับเพื่อนเราได้ มันเยอะไปหมด แล้วผมรักอาชีพผมมากๆ รักกิจวัตรทุกวันนี้มากๆ ถ้าจะมีใครสักคนเข้ามาแล้วทำให้กิจวัตรของผมเปลี่ยนแปลงไป เขาคนนั้นต้อง deserve จริงๆ มันยากขึ้นจริงๆ แต่ผมเชื่อว่ามันมี แค่รู้ว่ามันไม่ง่ายเหมือนตอนเด็กครับ”
ไบร์ทเล่าให้เราฟังเรื่องประทับใจตอนเด็ก ว่าเขาอัศจรรย์ใจกับแม่ตัวเองมาก รักที่แม่ให้เขาไม่มีอะไรเทียบได้ ให้โดยไม่มีเงื่อนไข “แม่รักเราแบบว่าไม่รู้จะรักยังไงแล้ว คือที่บ้านผมมองว่าการศึกษาคือสิ่งที่ดีที่สุดและมั่นคง แม่เลยพยายามส่งเสียเราให้ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ให้ในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ได้ มีเหตุการณ์หนึ่งที่พูดแล้วจะร้องไห้เลยครับ คือผมต้องเรียนพิเศษ ต้องต้องสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ให้ได้ เพื่อที่จะไปในจุดที่มันสบายและมีอาชีพที่มั่นคง แม่ผมต้องขายรถเก๋งเพื่อให้ผมได้เรียนพิเศษแล้วตัวเองก็นั่งรถเมย์ไปทำงานทุกวัน แม่ทำเพื่อเราเยอะมาก ซึ่งผมพึ่งมาเข้าใจจริงๆ ว่าแม่ทำเพื่อผมแค่ไหนก็ตอนนี้แหละครับ” เขาน้ำตาคลอ และไม่พยายามกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่กังวลที่จะแสดงออกถึงความรักและรู้สำนึกในบุญว่าแม่ทำเพื่อเขาแค่ไหน เรื่องที่ไบร์ทเล่าและอารมณ์ที่เขาส่งมาทำเราหวั่นไหวจนฉุกให้นึกถึงแม่ตัวเองเช่นกัน มารู้ตัวอีกทีน้ำตาของผู้เขียนก็หยดแหมะลงบนตักไปแล้ว
พอมนุษย์เราดำเนินชีวิตมาได้ครึ่งทาง ก็มักจะถึงบางอ้อว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบตามที่ใจคาดหวัง เมื่ออะไรที่มากไปหรือน้อยไปธรรมชาติมักจะมาสะกิดเราให้ถ่วงสมดุลเสมอ และหาจุดที่พอดีให้กับจังหวะชีวิตช่วงนั้น “ตอนนี้ผมยอมรับตรงๆ ครับว่าผมโฟกัสงานมากกว่าเรื่องอื่น งานที่ผมรู้สึกว่าเราทำแล้วออกมามีผลตอบรับที่ดี ผมก็อยากทำให้มันดี ทำให้มันสนุกยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม แต่พอมาโฟกัสอยู่กับงานทั้งหมด แล้วมานั่งถามตัวเองว่าตอนนี้ผมสนใจอะไรหรือต้องการอะไรเป็นพิเศษ ผมตอบได้แบบไม่ต้องใช้เวลาคิดนานเลยครับ นั่นคือเรื่องของการพยายามจะหาเวลาว่างให้ตัวเองมากขึ้น อยากมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น อยากมีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น ผมกำลังพยายามหาบาลานซ์อยู่ เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ผมให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างนี้มาโดยตลอด แต่เรื่องของการจัดการเวลาต่างๆ ในชีวิตที่หลักๆ พักหลังมานี้ก็คือเรื่องงาน มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้อยู่กับครอบครัวน้อยไป ปีหน้าถ้าเป็นไปได้ ผมตั้งใจที่จะแบ่งเวลาชีวิตให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา อาจจะลดเปอร์เซนต์งานลงสักหน่อย แล้วไปเพิ่มเปอร์เซ็นต์การอยู่กับตัวเองและครอบครัวให้มากขึ้นครับ”
เมื่องานหลักกินเวลาส่วนตัวไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ การงานหลักจึงกลายมาเป็นงานอดิเรก “พอเราทำงานเยอะๆ งานอดิเรกมันกลายเป็นการทำงานไปหมดเลยครับ (หัวเราะ) ผมชอบเล่นกีฬา เตะฟุตบอล ต่อยมวย แล้วก็ถ่ายรูป ช่วงหลังๆ ก็จะถ่ายกล้องฟิล์มเยอะ เพราะไม่ค่อยมีเวลาถ่ายกล้องดิจิทัลเท่าไหร่ กล้องฟิล์มมันกดชัตเตอร์ครั้งเดียวแล้วก็ไป ได้ไม่ได้ ก็ค่อยมาดูกัน ลุ้นดีครับ” ยิ่งถ้าเป็นวันที่ได้หยุดจริงๆ เขาขอหมดตัวตัวเองอยู่ที่บ้าน “ผมเป็นมนุษย์ติดบ้านครับ” แต่ถ้าพอมีแรงเหลือไบร์ทก็จะออกไปกินข้าวสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง กลับไปกินข้าวกับครอบครัวที่บ้านบ้าง ให้คุ้มกับเวลาที่ได้พัก “ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีเวลาเลย ปีหน้าแพลนไว้ว่าอยากจะกันเวลาสำหรับไปเที่ยว ไปทะเลไป ภูเขา หรือต่างประเทศ” ตั้งแต่มาเป็นขวัญใจประชาชน การรับผัสสะจากการทำในสิ่งที่ชอบของไบร์ทก็เริ่มเจือจาง แต่เราเชื่อว่าเขาไม่ยอมห่างเหินกับสิ่งที่เขารักแน่นอน
ชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับไบร์ท? “…โคตรยากเลย ผมนึกถึงคำว่า ‘สงบสุข’ คือรู้สึกว่าเราอยู่มาหลายเฟสในชีวิต รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความหวือหวา ความรวยหรืออะไร แต่ถ้าข้างในเรามันสงบ มันมีความสุขกับสิ่งที่เรามีได้ พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาสามารถมีความสุขอยู่ได้ด้วยตัวเอง คนนั้นคือคนที่มีความสุขมากที่สุด เพราะมันจะไม่มีปัจจัยอะไรเลยมาทำให้เขาไม่มีความสุข แต่ผมก็ยังทำไม่ได้นะ (หัวเราะ) แต่นั่นน่าจะเป็นชีวิตที่ดีที่สุด เหมือนมีความสุขได้แม้จะมีเรื่องบ้าบออะไรในชีวิต (หัวเราะ) แต่ข้างในมันต้องนิ่งและสงบก่อน มีชีวิตแบบไม่ยึดติดน่ะครับ”
แล้วตัวตนของไบร์ทล่ะ เป็นแบบไหน? เราซักไซ้ก่อนจบการสัมภาษณ์ “อันนี้ผมก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) อืม… เหมือนเราเจออะไรค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา แล้วก็รู้สึกว่าเรากำลังเรียนรู้ไปกับมัน แล้วเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันกำลังค่อยๆ โตขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ว่าถ้าแก่นของมันคืออะไร? ผมก็พยายามจะเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน อันนี้คือสิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไป”
วันนี้ที่เราได้พูดคุยกับไบร์ท สัมผัสได้เลยว่าเขาเริ่มตกตะตอนทางความคิด และพร้อมที่จะยกระดับจิตใจตัวเองไปเรื่อยๆ ELLE MEN ขออวยพรให้ไบร์ทได้ค้นพบวิถีที่ใช่ ได้อยู่กับ vibes ที่ปรารถนา มีชีวิตที่สดใสสมชื่อ ‘Bright’