นั่งคุยกับ ‘เจมส์-ธีรดนย์’ เพื่อซึมซับ วิธีคิด จิตวิญญาณ การเปลี่ยนแปลง และการเติบโตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

เราจะไม่นั่ง Time Machine เพื่อทำความรู้จักเจมมี่เจมส์ย้อนไปจนถึงตอนเด็ก แต่เราขอนั่งฟังรสชาติชีวิตของเขาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็แล้วกัน…เปลี่ยนแปลงอย่างไร เติบโตขึ้นอย่างไร เชฟทำอาหาร แฟชั่นไอคอน เจ้าของธุรกิจ สามส่วนผสมนี้เมื่อมาปรุงรวมกันแล้ว จะเป็นมื้ออาหารแสนอร่อยที่เขาอยากกินมันทุกมื้อไหม

ชีวิต 2 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนนั่งอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์เลยหรือเปล่า 

: ก็ไม่เชิงวุ่นวายนะครับ มันเหมือนแบบเป็นช่วงที่ออกไปใช้ชีวิตแบบตามหาอะไรบางอย่าง Settle Down ตัวเอง แล้วก็ค้นหาตัวเองที่แท้จริง พูดจาดูแก่แดดจังเลยเนอะ (ขำเบาๆ) สองปีที่ผ่านมาเหมือนผมได้ลองอะไรหลายๆ อย่าง ได้ผ่านอะไรมาหลายๆ อย่าง ความคิดเรามันค่อยๆ เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ก็คงคล้ายกับทุกคนแหละครับ พอเราได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ พอทำงานมาได้ระยะนึง มันจะค่อยๆ ตกตะกอนว่าเราอยากอยู่ตรงไหนและใช้ชีวิตแบบไหน ซึ่งอีก 5 ปีข้างหน้าก็คงตกตะกอนอีกแบบนึง เราเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเจอปัจจัยอะไรที่เข้ามาแล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนบ้าง ผมรู้สึกว่าช่วงนี้เป็นวัยที่ตกตะกอนหนักที่สุดแล้ว คือผมอยู่ในวงการมานานแล้วด้วย ตอนช่วงโควิดได้อยู่กับตัวเองเยอะเลยเริ่มคิดถึงอนาคต ทำให้เริ่มจัดการชีวิตตัวเอง วางแผนเรื่องการลงทุนต่างๆ และมองให้ไกลกว่าเดิม ซึ่งสองปีที่ผ่านมาทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมๆ กันหมดเลยครับ ผมเลยมีวัตถุดิบในมือและหยิบมันมา Cook สะเลย

ช่วงปลายปี พฤศจิกายน 2564 เจมส์ได้เข้าร่วมแข่งขันทำอาหารสุดหินชิงไหวชิงพริบในรายการ MasterChef Celebrity Thailand Season 2 เล่าบรรยากาศให้ฟังหน่อย 

: พี่ตู่-ภพธร ไปบอกทางรายการว่าผมทำอาหารเก่ง แต่ที่จริงแล้วผมงูๆ ปลาๆ เลยครับ แต่รายการเขาก็โทรมาชวน ผมก็คิดว่าเออมันคงง่ายๆ แหละ เลยตกลงเข้าร่วม แต่ปรากฏว่า โหดสุดๆ แล้วทุกคนจริงจังมาก คือพอเราได้ลงสนามแล้วถ้าเลือกได้ไม่มีใครอยากแพ้หรอกครับ มันเลยเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องผลักตัวเองขึ้นไปอีกขั้น ก็เลยไปเริ่มเทรน จนรู้สึกสนุกกับมัน ผมเลยติดต่อเชฟพลอย-ณัฐณิชา บุญเลิศเชฟ ผู้เข้าแข่งขัน Masterchef Thailand Season 1 มาเทรนด์ให้ครับ ผมก็เริ่มหัดตั้งแต่การจับมีด การหั่นปลา การหั่นไก่ การแล่ลิ้นวัว ไปจนถึงการทำเนื้อให้สุกในอุณหภูมิกี่องศาและกี่นาที เรียกได้ว่าเรียนทุกอย่างเลยครับ 

เมนูแรกที่ทำคือ ปาเอญ่า หรือที่เรียกกันติดปากว่าข้าวผัดสเปน คือตอนแรกที่ลงมือเลย ผมว่ามันยากจังแฮะ แต่ว่าพอทำไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มเข้ามือ เหมือน Muscle Memory เหมือนที่เขาบอกกันว่า ‘รสมือ’ ผมว่ามันคือความเคยชินนะครับ ตอนเราทำผัดกะเพราวันแรกเราไม่รู้เลยว่าจะเหยาะน้ำปลาเท่าไหร่ ใส่น้ำมันหอยกี่ช้อน ทำรอบแรกไม่มีทางเพอร์เฟกต์หรอกครับ แต่พอเราฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์มากพอมันก็จะออโต้ไปเอง 

การลงสนามที่ MasterChef Celebrity Thailand Season 2 จุดประกายให้เจมส์ทำรายการอาหารหรือเปล่า

: ใช่ครับ มันกลายเป็นงานอดิเรกเราที่เรารู้สึกชอบ ไม่ใช่แค่ทำแล้วผ่านไป เหมือนได้เจออีกจุดสำคัญในชีวิต ที่แบบ เฮ้ย เราชอบทำอาหารนี่หว่า อยู่ในครัวมันทำให้เรามีวินัยมากๆ และได้ฝึก Manage ด้วย คือทุกๆ อย่างมันมีการจัดระบบ อาหารก็เช่นกัน แม้กระทั่งหั่นหอม ถ้าใช้ครึ่งลูก แล้วอีกครึ่งลูกล่ะจะเก็บยังไง มันมีวิธีการเก็บรักษาเพื่อให้หอมอยู่ได้นานขึ้น การทำอาหารสอนให้ผมได้รู้จักเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ มากขึ้นครับ เห็นคุณค่าของสัตว์ตัวหนึ่งที่ตายไปแล้วจะใช้ทุกส่วนอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด การอยู่ในครัวสอนผมหลายๆ อย่าง ตอนนี้ผมเลยมีวินัยกับตัวเองมากขึ้นครับ 

คิดว่าหาตัวเองเจอหรือยัง เคยมีช่วงเป๋ๆ และสับสนไหม ประมาณว่าไม่เป็นตัวเอง อยากเป็นเหมือนคนอื่น จนตัวตนเราบิดเบี้ยว

: ถามว่าตัวเอง 100% เลยไหม ผมว่าสุดท้ายเวลาเราต้องใช้ชีวิตต่อเดี๋ยวมันก็ต้องเจออย่างอื่นอีก ต่อให้อีกสัก 5 ปี 10 ปี อาจจะเจอกีฬานึงแล้วชอบมากก็ได้ครับ มันแค่ยังไม่ได้ลอง ซึ่งผมว่าคนเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องรอทุกอย่างก็ได้นะครับ Timing ของคนเราก็มีจำกัดเหมือนกัน บางทีมันอยู่ที่จังหวะชีวิต 

ส่วนใหญ่ทุกคนจะมี Role Model สัก 1 คน ที่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากเก่งแบบคนนี้ ถ้าเป็นคนเล่นหุ้นผมคงอยากเก่งเหมือน Warren Buffett เป็นเทรดเดอร์ที่เก่งมากๆ 

แต่พอมันมาในช่วง Timing ของโลกที่ตอนนี้ทุกอย่างมาเร็วไปเร็วมาก ด้วยอินเทอร์เน็ตที่เราสามารถเข้าถึง ข้อมูลต่างๆ ได้ตลอดเวลา เราเห็นคน Success ผ่านตาตลอด ซึ่งเป็นคนที่ Success ตั้งแต่อายุน้อยๆ เลยนะครับ อายุแค่ 20 ก็เป็นคนดังและ Success กันแล้ว กลายเป็นว่าก่อนที่คนจะ Success เนี่ยว่า Work Hard มากๆ ตลอดชีวิต Work Work Work Work กว่าจะได้ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ มันต้องค่อยเป็นค่อยไปกว่าจะไปถึงจุดหมาย 

แต่พอทุกอย่างมันไว มันก็ เฮ้ย ทำไมคนนี้รวยคริปโตแล้ว ลงเล่นคริปโตบ้างดีกว่า อยากเป็นแบบคนนี้บ้าง อยู่ดีๆ ก็ เฮ้ย คนนี้เล่นซีรีส์แค่เรื่องเดียว ดังข้ามคืนเลย อะ เราก็อยากดังแบบนั้นบ้าง อยู่ดีๆ คนนี้ก็ เฮ้ย ทำเสื้อผ้า แบรนด์ติดแล้ว รวยเลย ทำบ้างดีกว่า ไม่ก็ เฮ้ย คนนั้นเป็นยูทูบเบอร์ คลิปมีคนดูร้อยล้านเลย คือ ณ ปัจจุบันมีหลากหลายอาชีพมากเลยเลยนะครับที่เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ Success ได้

มันเป็นเรื่องธรรมดานะที่คนเราจะเป๋ แน่นอนว่ามันเป็นช่วงวัยที่เราโหยหาความ Success เวลาเราเห็นคน Success เราก็อยากไปถึงจุดนั้นได้บ้าง กลายเป็นว่ามันมีทั้งข้อดี และข้อเสีย ข้อดีคือไว้ Push เรา  เป็นเหมือนแรงผลักให้เราไปต่อให้ได้ เราอาจจะหยิบความสำเร็จจากเขามา Analyze ได้สัก 1 2 3 4 ข้อ แต่ถ้าเราไม่แข็งแรงพอ ก็จะกลายเป็นว่าต้อง Turn เป็นอย่างอื่นแทน ประมาณว่าเราตื่นขึ้นมาก็หวังลมๆ แล้งๆ หวังว่าจะ Success แบบเขาบ้าง

ซึ่งมันไม่มีทางเอาต้นไม้เมล็ดพันธุ์ดีมาปลูก รดน้ำหนึ่งวันแล้วโตเลยหรอกครับ ระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมายมันมีปัจจัยและอุปสรรคต่างๆ มากมายที่จะเข้ามาเพื่อพิสูจน์เรา จะเอาไงต่อดี จะเลิกหรือจะไปต่อ ต้องอดทนและมีสติกับมันมากๆ ซึ่งมันโคตรยากเลย ซึ่งมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีเรื่องของจังหวะและโอกาสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สุดท้ายมันก็มีช่วงเป๋ ต่อมาก็เกิดคำถามว่า ทำไมมันไม่ถึงตาเราซักทีละ สำหรับผมแล้วอาจจะมีแฉลบไปบ้าง เดินไม่ตรงทาง เพราะเราต้องลองผิดลองถูก แต่ก็คงไม่ถึงขนาดหลงทางจนกลายเป็นคนอื่น 100% ส่ิงสำคัญสำหรับผมเลย ต้องอยู่กับอะไรแล้วไม่ฝืน ฝืนแล้วมัน Burn Out เลยครับ

เคยเห็นแผนผังอิคิไก 4 ช่องไหมครับ ช่องแรกคือสิ่งที่เรารักและมี Passion กับมัน, ช่องที่สอง สิ่งที่ Make Money, ช่องที่สาม 3 สิ่งที่โลกนี้และตลาดต้องการ, ช่องที่สี่ สิ่งที่เราถนัดและทำได้ดี ถ้าทำได้ตรงกลางนะชีวิตสบายเลยครับ ซึ่งมันยากมาก ไม่ใช่บอกว่าทุกคนต้องได้ 4 มุมเป๊ะเลยนะ ชีวิตมันคือการผสมผสานอะครับ ไม่มีใครได้ทุกอย่างตามที่ต้องการอยู่แล้ว สมมติคนเราอยากได้ 1 2 3 4 5 ไม่มีทางได้ทั้งหมดหรอก ต้องหาบาลานซ์ของมัน

เวลาคืออะไรสำหรับเจมส์

: เวลาคือชีวิตเพราะชีวิตเรามันเดินไปคู่กับเวลา อายุขัยเรามี Timing สมมติในปัจจุบันอายุเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 70 ปี สุดท้ายเวลามันก็คือชีวิตนี้แหละครับขึ้นอยู่กับเราจะจัดสรรชีวิตยังไง สิ่งที่เราต้องทำ สิ่งที่เราอยากทำ พักผ่อนบ้าง แต่ละคนมีการใช้ชีวิตแตกต่างกันอยู่แล้ว 

อะไรคือจุดขายของ JMJ

: ความเป็นนักสู้มั้งครับ ผมค่อนข้างสู้ในสิ่งที่เรายังรักและยังเชื่อกับมัน สู้เพื่ออยากให้ชนะ อยากให้มันไปต่อได้ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องรู้ในจุดที่เราต้องยอมแพ้ เพราะถ้าเราไม่รู้จุดที่เราจะยอมแพ้ก็ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเด็กหัวดื้อที่ส่งผลระยะยาวหรือเปล่า บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่าเราแม่งห่วยจริงๆ ยอมรับข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดของตัวเอง มันถึงจะพัฒนาต่อ แล้วชีวิตเราจะแฮปปี้ขึ้นเยอะครับ

วางแผนอนาคตไว้ไงบ้าง?

: เป็นสิ่งที่ตอบยากมาก ขอไม่ตอบกลางๆ แล้วกันครับ ถ้าตอบกลางๆ ทุกคนก็จะพูดว่าสุดท้ายแล้วก็จะอยากมีอิสรภาพทางการเงินและออกไปทำสิ่งที่เรารัก แต่แน่นอนครับ ทุกคนอยากมีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งอิสรภาพทางการเงินแต่ละคนก็ต่างกัน บางคนบอกอยากมี 10 ล้าน บางคนบอกอยากมี 1,000 ล้าน แต่ผมว่าสิ่งสำคัญมากกว่าคือการที่เราได้ทิ้งอะไรที่มันดีไว้ให้กับโลกใบนี้ สำหรับผมก็ เราเป็นนักแสดง เราอยากทิ้งการแสดงที่ดีไว้บนโลกใบนี้ มันมีคำพูดจากเรื่อง Babylon แล้วผมชอบมาก “สุดท้ายแล้วต่อให้คุณจะเคยมีชื่อเสียงมากแค่ไหน คุณก็จะตกยุคในวันหนึ่ง เมื่อตัวคุณตายไปแต่หนังไม่ได้ตายไปกับคุณ สุดท้ายในวันหนึ่งที่ทุกคนเขาหยิบหนังคุณมาดู เขารู้สึก Connect กับคุณ เขาได้อะไรจากหนังเรื่องนี้” ผมเลยรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผม ผมจะทำหน้าที่ของนักแสดงให้ดีที่สุด ถ้าผมตายไปแล้วผมได้ถูกจดจำครับ 

การเป็นนักแสดงให้อะไรกับเจมส์

: อย่างแรกคือ ให้งาน ให้อาชีพ อย่างที่สอง ให้ความสุข ความสุขในการที่เราได้ทำสิ่งที่เรารัก เพราะเราชอบ เรารู้สึกอยากทำมันไปเรื่อยๆ อย่างที่ 3 มันคงสอนผมหลายๆ อย่าง สอนผมให้เข้าใจมนุษย์มากขึ้นในหลายมิติ เพราะเราเล่นเป็นหลายตัวละคร เราได้เข้าไปสำรวจชีวิตคนหลายคน แล้วมันสอนวินัยผมด้วย สมมติผมต้องเล่นคาแร็กเตอร์ที่ต้องผอมมากๆ ผมก็ต้องลดน้ำหนักลง หรือถ้าเป็นคาแร็กเตอร์ที่ต้องมีเนื้อมีหนังหน่อย ผมก็ต้องบิ้วหุ่นตัวเองให้อ้วนขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมต้องมีวินัยในเรื่องการกินอาหารและดูแลร่างกายให้ดีมากๆ ครับ ผมโชคดีและขอบคุณที่ทำให้ผมได้มาอยู่ตรงนี้

เราไปส่องใน IG สไตล์การแต่งตัวของเจมส์ดูเป็นแบบ Inclusion ไม่ถูกตีกรอบ ไร้ขอบเขต กล้าใส่เสื้อผ้าที่เป็นดีเทลของผู้หญิง เช่น ลูกไม้ โบว์ โดยไม่ประดักประเดิด ทำไมถึงเลือกที่จะนำเสนอตัวเองออกมาในภาพลักษณ์แบบนี้ 

: ย้อนไปเมื่อ 5-6 ที่แล้ว เป็นช่วงที่ Enjoy กับการใส่เสื้อผ้ามากๆ ตอนนั้นผอมบางก็เลยหยิบเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เราอยากนำเสนอตัวตนของเราผ่านเสื้อผ้า มันเป็นความสุขของเราที่ได้แต่งตัวแบบนี้โดยที่เราไม่ได้ไปกระทบกระทั่งใคร ก็ถ้าใส่แล้วแฮปปี้ ใส่แล้วมั่นใจ แล้วทำไมถึงจะไม่ใส่ล่ะ เพราะสุดท้ายแฟชั่นไม่มีผิดมีถูก เราไม่ได้แต่งแบบนี้เพื่อไปทำข้อสอบครับ

คิดว่าแฟชั่นคืออะไรสำหรับเจมส์

: แฟชั่นคือความสนุก ผมว่ามันคือ Culture ที่แสดงให้เห็นว่าโลกเราตอนนั้นเป็นแบบไหน อยู่ดีๆ Y2K ก็มา อยู่ดีๆ ก็ Back to 80s อยู่ดีๆ ก็ Back to 60s แฟชั่นมีอิทธิพลหมดเลยนะ คือ เพลง ศิลปะ แฟชั่น ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจาก Culture หมดเลย มันเลยพรีเซนต์อะไรได้หลายๆ อย่าง กระทั่งอาหารเองก็มี Culture ที่แฝงอยู่ ขนาดจัดจานยังมีแฟชั่นเลย อย่างการทำอาหารสไตล์ Molecular Gastronomy ที่ทำให้ของเหลวเปลี่ยนมวลสารจากของเหลวให้เป็นรูปทรงคงรูปจับตัวเป็นก้อนได้ เมื่อกัดหรือขบเปลือกนอก ของเหลวภายในจะแตกทะลักหรือระเบิดออกมาในปากพร้อมกับรสชาติหลักของของเหลวที่นำมาทำ sphere ครับ

Everyday Carry ของเรา

: ผมชอบพกน้ำหอมเวลาออกจากบ้าน ถ้าวันไหนลืมฉีดน้ำหอมนะจะเซ็งมาก แต่ไม่ถึงขนาดที่ขาดความมั่นใจไปเลยนะ ถ้าเกิดได้ฉีดน้ำหอมมันก็คือเป็นการเพิ่มความมั่นใจไปอีกขั้นครับ

อะไรที่กินแล้วหยุดไม่ได้

: แอลกอฮอล์…(หัวเราะลั่น ทำทีเล่นทีจริงหยอกเรา) ซีฟู้ดครับ ผมเป็นคนชอบกินซีฟู้ดมากๆ มากถึงมากที่สุด ถ้าเกิดให้เลือกหนึ่งอย่างที่ต้องกินไปตลอดชีวิต ผมคงเลือกกินซีฟู้ด กินให้พุงแตกตายไปเลย

อยากเติบโตไปเปิดผู้ใหญ่แบบไหน

: ผู้ใหญ่ที่ตัวเองจะไม่เกลียดในตอนนี้

Similar Articles

More