“ผมว่าเดือนหนึ่งเอาจริงๆ แล้วน่าจะได้หยุดไม่เกิน 3 วัน ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็นอนพัก 15-20 นาทีก็เคลิ้มหลับแล้ว” คือประโยคหนึ่งที่ช่วยยืนยันคิวงานอันแน่นเอี๊ยดของหนุ่ม ‘บลู-พงศ์ทิวัตถ์ ตั้งวันเจริญ‘ นักแสดง นายแบบ และพิธีกรอิสระวัย 22 ปี ที่เริ่มเป็นที่รู้จักจากบทบาทเน็ตไอดอลแห่งเว็บดังของเหล่าวัยเรียน เขาต่อยอดเข้าสู่วงการบันเทิง
โดยผ่านงานโฆษณา ถ่ายแบบ และมีผลงานละครอย่าง กรงกรรม, จังหวะหัวใจนายสะอาด, ขมิ้นกับปูน, วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2 หรือซิตคอมเรื่อง วิน 21 เด็ดใจเธอ รวมถึงผลงานภาพยนตร์ มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง และ แฮปปี้นิวยู แสบสนั่นยันหว่าง อีกทั้งงานพิธีกรที่เจ้าตัวก็คว้าโอกาสไว้และทำได้ดี
มาถึงวันนี้เขาได้อยู่บนปกนิตยสาร ELLE MEN Thailand พร้อมกับพูดคุยเรื่องชีวิตในวัยเด็กความรู้สึกต่อครอบครัว ความสัมพันธ์ในฐานะคนรัก มุมมองต่อการทำงานในวงการ แบรนด์แฟชั่นที่เขาหลงใหล และอีกมากมายหลายประเด็น จากเด็กหนุ่มวัยใสกลายมาเป็นนักแสดง นายแบบ และพิธีกรที่ได้รับการจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ

ช่วยเล่าไทม์ไลน์ให้ฟังหน่อย ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการจนถึงปัจจุบัน “ก่อนเข้าวงการก็เรียนอยู่ที่โรงเรียน อุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานีครับ ช่วงมัธยมต้นก็มีเว็บไซต์ Dek-D.com ซึ่งตอนนั้นดังมาก ติดต่อเข้ามาชวนผมไปถ่ายแบบ ถ่ายโปรไฟล์ แล้วก็เอาไปลงในเว็บไซต์ แล้วคนก็แชร์กันเยอะเลยทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น”
“หลังจากนั้นก็จะเป็นการติดต่อชวนไปแคสติ้งละคร โฆษณา ถ่ายแบบ ก็เป็นโอกาสที่ทำให้ได้ลองทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่ตอนนั้น พอขึ้น ม.4 เทอม 2 ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพฯ ก็ยิ่งทำให้เรามีโอกาสในการแคสติ้งมากขึ้น ไม่อย่างนั้นผมก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป-กลับจากอุดรฯ มากรุงเทพฯ”
“แล้วก็ได้มาเล่นละครเรื่องแรก ‘รหัสปริศนา Code Hunter’ ของช่อง 7 สีครับ ส่วนตอนนี้ก็เป็นนักแสดงอิสระ มีผลงานที่ถ่ายจบไปแล้วเรื่อง ‘Intern In My Heart เด็กฝึกหน้าใสเติมหัวใจนายหญิง’ แสดงกับพี่คริส-หอวัง ทางแอปพลิเคชั่น WeTV รอออนแอร์อยู่ แล้วก็กำลังถ่ายละคร 2 เรื่อง ‘วงศาคณาญาติ’ เล่นกับพี่โม-มนชนก มีพี่ฉอด-สายทิพย์ จากค่าย Change เป็นผู้จัด ฉายทางอมรินทร์ทีวีครับ ส่วนอีกเรื่องยังเล่าอะไรให้ฟังไม่ได้เลยครับ เป็นโปรเจ็กต์ลับมากๆ”
ย้อนกลับไปสัก 10 ปี จากเด็กชายบลูตอน 12 ขวบ กับนายบลูวัย 22 ปี ต่างกันอย่างไร ชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหน “คือมันก็ทำให้เราโตขึ้นนะ เมื่อก่อนพ่อแม่ทำให้ทุกอย่าง พอโตขึ้นเราก็ได้ไปลุยงานข้างนอก ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เจอเรื่องอะไรใหม่ๆ ทำให้เราโตขึ้น และทำอะไรเป็นมากขึ้น ตอนอายุ 12 ขวบ บลูก็เป็นเด็กน้อย เรียนอยู่ที่อุดรฯ ตื่นเช้ามาไปโรงเรียน เจอเพื่อน พักกลางวัน กินข้าว เลิกเรียนกลับบ้านมาก็เล่นเกม นอน ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะคุณพ่อคุณแม่จัดการให้ทุกอย่าง เราไม่ต้องทำอะไรเลย”
“แต่พอเป็นบลูในวัย 22 ปี เรียนจบแล้ว ต้องทำงานจริงจังแล้ว รับผิดชอบมากขึ้น ทั้งตัวเอง ทั้งงานที่เราทำ ก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่ดูแลอย่างดีเหมือนเดิม แต่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นพ่อแม่ตามใจเรา ตอนนี้เราก็พยายามตามใจพ่อแม่มากขึ้น ‘เขาอยากได้อะไรหรือเปล่า?’ ซึ่งเขาจะบอกว่า ‘ไม่อยากได้อะไร เก็บเงินไว้เถอะ’ ผมก็เลยใช้วิธีโอนเงินให้เลย อย่างปีใหม่ ตรุษจีน วันเกิดเขา ผมก็จะโอนเงินให้พ่อแม่ทุกครั้ง”


นอกจากเรื่องภาระหน้าที่ที่แปรเปลี่ยนไปตามวัย อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือตัวตน ที่เชื่อว่าหลายคนคงมีหลายร่างไว้สลับตอนอยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับครอบครัวตามความเหมาะสมและสบายใจ “ผมว่านิสัยใจคออาจจะเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือ อย่างเวลาผมอยู่กับเพื่อนทั่วๆ ไป ก็เป็นตัวเองนะ แต่ไม่ได้เปิดทุกอย่างเหมือนอยู่กับพ่อแม่ หรืออย่างถ้าให้เทียบ ระหว่างไปไหนกับเพื่อน หรือไปไหนกับพ่อแม่และครอบครัว ผมชอบไปกับพ่อแม่มากกว่า ผมสบายใจ รู้สึกปลอดภัยมากกว่า” “แต่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจจริงๆ ก็จะฟรี เฮฮา คุยเล่น มีอะไรก็ปรึกษากัน ผมไม่ใช่คนตลก แต่ผมเป็นคนเส้นตื้นมากกว่า ตลกกับเรื่องอะไรง่ายๆ แต่อีกมุมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเซนซิทีฟดูซีรีส์ก็ร้องไห้นะ”
ฟังจากที่เล่ามาแล้วเขาดูเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น จึงนำมาสู่การชวนคุยถึงเรื่องที่ประทับใจในชีวิตวัยเด็ก “มันอาจจะไม่ใช่วัยเด็กขนาดนั้น แต่เป็นช่วงที่ผมย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ตอน ม.4 เทอม 2 คือเป็นช่วงที่พ่อแม่กังวลและเป็นห่วงผมมากๆ ทั้งปรับตัวเรื่องการเรียน ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต แต่สรุปเทอมนั้นผมสอบได้ที่ 2 ของห้อง แม่ก็เล่าให้ฟังว่า พอพ่อรู้เขาน้ำตาซึมเลย ทั้งดีใจและสบายใจ เราก็รู้สึกภูมิใจ (ยิ้มกว้าง)”
เราได้ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่น้อยว่า ความสัมพันธ์ของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสำคัญและสวยงามเสมอ ซึ่งหนุ่มบลูก็ยืนยันอีกครั้งจากกิจกรรมที่เขาชอบทำเมื่อมีเวลาส่วนตัว หรือได้หยุดพักจากทำงาน “ถ้าได้หยุดยาวๆ จะกลับบ้านที่อุดรฯ ไปหาอากง อาม่า อยู่กับครอบครัวสบายๆ พากันไปไหว้พระ แต่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ แล้วเป็นเสาร์-อาทิตย์ก็จะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกับพ่อแม่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นวันเดย์ทริป ไปไหว้พระที่อยุธยา แล้วก็เสิร์ชหาดูว่ามีอะไรน่ากินบ้าง ตระเวนกินแถวนั้น แล้วก็กลับ”
ส่วนเวลาพักผ่อนในแบบชีวิตส่วนตัว เขาก็มีงานอดิเรกที่ช่วยพัฒนาตัวเองไปในที “ถ้าเวลาผมพักผ่อนก็จะดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ส่วนมากจะเป็นดูหนัง เพราะได้ทั้งความบันเทิง และนำสิ่งที่ดูไปปรับใช้ในการแสดงได้ อย่างซีรีส์ที่ผมชอบก็ Vincenzo (วินเซนโซ่ ทนายมาเฟีย)”


เราคุยถึงชีวิตส่วนตัวจนได้เห็นมุมมอง ความรู้สึกของหนุ่มบลูพอสมควร จึงขอชวนคุยเรื่องการแต่งกายที่เริ่มจากสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวเองได้มากที่สุด “ผมชอบอะไรเรียบๆ แต่งตัวแบบเรียบง่าย อย่างแต่งตัวมาวันนี้ก็จะค่อนข้างคุมโทน ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหลายสีในชุดเดียว แต่ถ้าผมจะเพิ่มอะไรเข้าไปในลุค จะเลือกเพิ่มแอ็กเซสเซอรี่ จิวเวลรี่ ข้อมือ สร้อย หรือ Belt Bag (กระเป๋าคาดเอว) ให้ดูไม่เรียบจนเกินไป มีเลเยอร์หน่อย” แล้วในการแต่งตัวทุกๆ ครั้ง เอาอะไรตั้งโจทย์? “ส่วนมากจะตั้งโจทย์จากเสื้อ แล้วเราจะแมตช์กับเสื้อตัวนี้ยังไงให้ใส่แล้วมั่นใจ ต้องใส่กางเกงอะไร แล้วก็ค่อยๆ ไล่ไปทีละสเต็ป”
เขามีสไตล์และโจทย์ในการแต่งตัวอย่างชัดเจนเราจึงถามต่อไปว่าแฟชั่นสำหรับบลูคืออะไร “เป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวเรา แล้วก็สามารถสร้างเสน่ห์ ความน่าดึงดูด น่ามองให้เราได้ คือเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่แฟชั่นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนครับ”
ในฐานะที่ได้มาขึ้นปก ELLE MEN กับแบรนด์ Celine คิดว่าบลูและแบรนด์ Celine มีความเหมือนหรือเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร “ผมรู้สึกว่า เสื้อผ้า Celine ถ้ามองผิวเผินอาจจะดูเรียบ แต่ถ้าสังเกตดีๆ ทางแบรนด์จะมีดีเทลพิเศษที่ไม่มีสิ่งไหนมาเหมือนเขาได้ มันมีความเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์อันพิเศษอยู่ ก็อาจจะเหมือนกับผมที่ดูเป็นหนุ่มขาวตี๋คนหนึ่ง ดูเฉยๆ แต่งตัวเรียบๆ ง่ายๆ แต่ถ้าได้รู้จักกัน ผมอาจจะน่าค้นหา และมีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ‘อาจจะดูเรียบๆ แต่หาที่อื่นไม่ได้นะครับ’ แบบนี้ (ยิ้ม)”
เราจึงถามต่อไปว่าแล้วเสน่ห์ของบลูคืออะไร “ก็อาจจะเป็นรอยยิ้ม เพราะผมชอบยิ้ม แล้วก็อีกอย่างหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องความมือไม้อ่อน ผมชอบสวัสดีทุกคน ก็เลยรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นข้อดีครับ” ด้วยวาระที่ธีมเล่มของฉบับนี้คือ Relationship (ความสัมพันธ์) เราจึงถามบลูถึงมุมมองต่อความสัมพันธ์ในแง่ความรัก ว่าปัจจุบันเขามองอย่างไร “ถ้าผมจะรักใครหรือจะมีแฟน ความรักนั้นจะเป็นความรักที่ยืนยาว เพราะผมไม่ได้ตั้งใจรักเขาแค่แป๊บเดียว ถ้าจะคบใคร ขอคบแบบยาวๆ ไปเลย คิดไปถึงขั้นแต่งงานเลย ถ้าคบใครจะจริงจัง ไม่คบเล่นๆ”
เมื่อเข้าเรื่องความรักแล้วเราจึงชวนคุยต่อว่ายังจำ First Love ได้ไหม เล่าความรู้สึกตอนนั้นให้ฟังหน่อย “คือมันอาจจะไม่ใช่ First Love ขนาดนั้น ก็เป็นแบบ เราคุยกับสาวตอนเด็กๆ คุยกันแค่ในแชต MSN แล้วรู้สึกดีมากๆ มีความสุข แต่พอเจอหน้ากันก็เขิน ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุย คุยกันแค่ในแชต มันเป็นแบบนั้นไป ยังไม่เคยคบกับใครจริงจังเป็น First Love จริงๆ” แล้วผู้ชายอบอุ่น รักครอบครัวอย่างบลู ถ้าจะมีคนรักสักคน อยากให้เขาเป็นคนแบบไหน? “เข้าใจเรา นิสัยเข้ากับเราได้ เข้ากับครอบครัวเราได้ แค่นี้ก็โอเคแล้วครับ ถามว่า ‘ต้องสวยไหม?’ ไม่จำเป็น แต่ถ้าสวยได้ก็ดี (หัวเราะ)”


ในวัย 22 ย่างเข้า 23 ปี หนุ่มบลูผ่านผลงานมาแล้วหลากหลาย ชอบบทบาทไหนของตัวเองมากที่สุด ไม่ว่าจะนักแสดง นายแบบ หรือพิธีกร “ถ้าชอบที่สุดก็คงจะเป็นนายแบบกับนักแสดงนี่แหละ เพราะว่าทำงานแล้วเรารู้สึกสนุก เหมือนได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา อย่างมาถ่ายแบบกับ ELLE MEN วันนี้ ก็ได้ถ่ายในลุคที่ไม่เคยลองมาก่อน ถอดเสื้อ ใส่เสื้อเอวลอย รู้สึกว่างานแบบนี้ทำให้เราได้ท้าทายตัวเอง ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ มันสนุก ตื่นเต้นดี”
“ส่วนงานพิธีกรก็ชอบนะ มันก็เป็นโอกาสที่ดีให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ทำให้เก่งขึ้น แต่เรายังรู้สึกกดดัน เพราะค่อนข้างใหม่ แล้วเนื้องานมันต้องมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ ต้องรู้จักพูด เอาคนดูให้อยู่ หรือถ้าเป็นรายการสดมันไม่สามารถ Take หรือ Cut ได้ ก็เลยรู้สึกว่ามันยาก แต่เราก็เคยทำมาแล้วนะ อย่างรายการ ‘Seven Stars’ ที่เฟ้นหาไอดอลไทยไปร่วมงานกับไอดอลของเกาหลี มีช่วงที่เป็นรายการสด มีผู้ชมมาดู ผมต้องสัมภาษณ์พี่ยองแจ วง GOT7”
“แล้วก็มีรายการ ‘Food Truck Battle’ ซีซั่น 2 ผมเป็นพิธีกรคู่กับพี่เจนิส-เจณิสตา ก็มีพาร์ตที่เป็นแฟนมีตคอนเสิร์ตจริงๆ คนดูเป็นพันคน พิธีกรก็ต้องเอาคนดูให้อยู่ ซึ่งผมเพิ่งทำงานพิธีกรมาได้ 3-4 ครั้งเอง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี” กลับกันกับบทบาทหลายๆ อย่างในวงการที่เล่ามา ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดง นายแบบ และไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะมีเส้นทางเป็นอย่างไร “ผมน่าจะทำธุรกิจส่วนตัวสักอย่าง อาจจะขายของหรือเปิดร้านอาหารก็ได้ หรือไม่ก็เรียนเกี่ยวกับบริหารไปเลย เพื่อมาทำธุรกิจของตัวเอง”
แต่เมื่อชะตาฟ้าลิขิตและขีดความสามารถ (ที่ยังพัฒนาได้อีก) พาให้เข้ามาอยู่ใต้แสงสี วงการนี้ให้อะไรกับคุณ ในระยะเวลา 4-5 ปีที่เริ่มเข้ามาคลุกคลี “ให้โอกาสเราได้ลองอะไรใหม่ๆ ได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ ให้อาชีพเราด้วย เพราะถ้าไม่ได้ลองมาทำงานตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่าเราชอบอะไร จะไปอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ ทำให้รู้จักรับผิดชอบตัวเอง และได้เรียนรู้คนหลากหลายรูปแบบ” ส่วนเวลาเห็นคอมเมนต์ที่ไม่สร้างสรรค์ เขาก็มีวิธีการรับมือ “ถ้าเป็นคำติที่ไม่มีเหตุผล ไม่เป็นความจริงก็พยายามจะปล่อยผ่าน ไม่เอามาคิด แต่ถ้ามันเป็นความจริงแล้วเราสามารถนำมาแก้ไขพัฒนาตัวเองได้ ผมก็จะหยิบมาปรับใช้”


ทุกชีวิตย่อมต้องจัดเรียงความสำคัญ เราจึงถามเขาต่อไปว่า ตอนนี้ให้ความสำคัญกับอะไรมากที่สุดในชีวิต “ให้ความสำคัญกับงานและครอบครัว” เขาตอบมาอย่างกระชับและจริงใจ แล้วในเมื่อทุกคนอยากมีชีวิตที่ดีที่สุด ชีวิตที่ดีสำหรับบลูคืออะไร “ผมว่าคือการที่เรามีความสุขในชีวิต ซึ่งความสุขนั้นมันมาจากการยอมรับตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่เรามี ก็พยายามมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างได้กินแซลมอนที่เราชอบ มันอร่อยมาก แค่นี้เราก็มีความสุขได้แล้ว เราอาจจะไม่ต้องรอมีความสุขกับเฉพาะเป้าหมายใหญ่ๆ แล้วถ้าเราไม่ได้ไปถึงเป้าหมายใหญ่สักที เราก็จะเป็นคนที่ไม่มีความสุขเลยเหรอ?”
สมมติว่ามีเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนโลกจะแตก ในสองชั่วโมงนี้บลูอยากทำอะไรมากที่สุด “ผมชอบคุยกับพ่อแม่บ่อยๆ ว่า ถ้าต้องจากกัน ก็ขอให้ได้เกิดมาเจอกันอีก ผมก็จะพาที่บ้านไปไหว้พระ ขอพร ‘ถ้าโลกแตกนะ โลกหน้าเราต้องกลับมาเจอกันอีก เราต้องกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน’ คือผมจะนับถือพระอาจารย์ตุ๋ย วัดนิมิตโพธิญาณ ที่จังหวัดอุดรฯ แล้วก็ชอบไปไหว้คำชะโนด เกี่ยวกับพญานาค ท้าวเวสสุวรรณ ถ้ำนาคี ถ้ำนาคาก็ไปขึ้นมาแล้ว”
คำถามสุดท้ายคือ ความรู้สึกที่ได้มาขึ้นปกกับ ELLE MEN ครั้งแรก “ดีใจครับ จริงๆ เคยถ่ายแบบในคอลัมน์กับ ELLE Thailand แล้วครั้งหนึ่ง (ไม่ใช่ ELLE MEN) แต่ครั้งนี้ได้ขึ้นปกเลย ก็ทั้งดีใจแล้วก็สนุกมากๆ ครับ”