ทุกวันนี้อุตสาหกรรมความงามกำลังเติบโตขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่โดยเฉพาะตลาดสกินแคร์ที่อัตราการเติบโตพุ่งสูงมาก เนื่องจาก ‘สกินแคร์’ หรือ ‘ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว’ ได้กลายมาเป็นไอเท็มสามัญประจำบ้านที่ทุกคนต้องมีติดบ้านเอาไว้ เนื่องจากในปัจจุบันค่านิยมการดูแลตัวเองได้ผลักให้การดูแลผิวได้กลายเป็นอีกหนึ่งกิจวัตรประจำวันที่ ‘ทุกคน’ ต้องทำจนกลายเป็นนิสัย
สาเหตุที่เราเน้นคำว่าทุกคนก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นใครคุณก็สามารถเริ่มดูแลผิวของตัวเองได้ โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเราๆ ที่ได้เข้ามาใกล้โลกสุดแฟนตาซีนี้กันมากขึ้นในยุคแห่งความหลากหลายนี้ที่ได้ทลายข้อจำกัดทางเพศต่างๆ ลง ทำให้เป็นเรื่องปกติมากที่พวกเราจะลุกขึ้นมาบำรุงผิวหรือกรูมมิ่งตัวเองเพื่อทำให้ตัวเราเองนั้นดูดีอยู่เสมอ เนื่องจากเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่พวกเราควรใส่ใจไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลย
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เราจะเห็นแบรนด์สกินแคร์หลายๆ แบรนด์ได้ออกผลิตภัณฑ์สกินแคร์สำหรับผู้ชายมาโดยเฉพาะและมีจำนวนมากขึ้นจนสังเกตได้ สะท้อนการเติบโตของกลุ่มลูกค้าผู้ชายที่หันมาบริโภคสกินแคร์กันมากขึ้นกว่าในอดีต ดังนั้นสำหรับใครที่ยังไม่เคยแม้แต่ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าหรือปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดด วันนี้เพื่อต้อนรับปีใหม่เราจะมาแนะนำขั้นตอนการดูแลผิวขั้นพื้นฐานและหลักการในการเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับผิวหน้าของตัวเองกัน
Know Your Skin Type
รู้จักสภาพผิวของตัวเอง
ก่อนที่เราจะเริ่มขั้นตอนดูแลผิวของตัวเองกันมีสิ่งหนึ่งที่เราควรรู้เอาไว้เพื่อเป็นพื้นฐานในการดูแลผิวของเราสิ่งนั้นก็คือ ‘สภาพผิว’ หรือ ‘Skin Type’ ของตัวเรานั่นเอง หากใครเคยได้ยินวลี “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” วลียอดฮิตจากวรรณกรรมเรื่อง ‘สามก๊ก’ นั้นก็คงจะเปรียบเทียบได้กับการรู้ถึงสภาพผิวของตัวเอง เพราะสภาพผิวเป็นหัวใจหลักในการกำหนดสกินแคร์ไปจนถึงส่วนผสมต่างๆ ที่เราควรใช้เพื่อปกป้องและฟื้นฟูผิวของเราให้มีสุขภาพดีขั้นสุด นอกจากนั้นยังสามารถป้องกันปัญหาผิวต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
นอกจากนั้นสภาพผิวของเรายังสามารถกำหนดและบอกถึงทางเลือกต่างๆ นอกเหนือจากเรื่องของสกินแคร์ได้ด้วย เช่น ประเภทของอาหารที่ควรบริโภคเพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก หรือจะเป็นเรื่องของเมคกอัพต่างๆ ที่เราสามารถเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เรื่องของสภาพผิวนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อนแต่เป็นข้อสำคัญสำหรับการเริ่มต้นดูแลผิวเลย และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรรู้ไว้ก็คือสภาพผิวของเรานั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลาและปัจจัยแวดล้อม ซึ่งสภาพผิวส่วนใหญ่ที่เรามักจะพบเจอมีดังต่อไปนี้
ผิวธรรมดา: สภาพผิวที่มีความสมดุลไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป โดยปกติแล้วผิวชนิดนี้จะไม่ค่อยพบปัญหาผิวมากเท่าไหร่และไม่ค่อยไวต่อปัจจัยภายนอกต่างๆ
ผิวมัน: สภาพผิวที่ผลิตน้ำมันออกมาเยอะเกินไปจนทำให้เกิดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณ T-Zone และผิวประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะมีรูขุมขนกว้างและมีโอกาสเกิดสิวมากกว่าผิวประเภทอื่นๆ
ผิวแห้ง: สภาพผิวที่ผลิตน้ำมันใต้ผิวมาน้อยเกินไปจนทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ ผิวประเภทนี้จะมีรูขุมขนเล็ก ผิวแดง และมีความยืดหยุ่นน้อย จนอาจเกิดริ้วรอยเล็กๆ รวมไปถึงปัญหาผิวแห้ง แตก ลอก หรือผิวหมองคล้ำตามมาได้
ผิวผสม: สภาพผิวนี้เป็นผิวชนิดที่อาจจะมีอาการแห้งหรือปกติเกิดขึ้นในบางพื้นที่ และอาจมีความมันเกินขึ้นในบางพื้นที่ เช่น บริเวณ T-Zone ทำให้ผิวชนิดนี้ต้องมีการดูแลผิวที่แตกต่างกันในพื้นที่ต่างๆ
ผิวบอบบาง: ผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่ายคือผิวที่มีอาการแดง คัน หรือแห้งเกิดขึ้นเนื่องจาก ‘ปราการผิว’ ของคุณอ่อนแอเนื่องจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้หาสาเหตุของอาการและแก้ไขอย่างตรงจุด
Read The Label
อย่าลืม! พลิกหลังกล่อง
อีกหนึ่งพื้นฐานสำคัญในการเริ่มใช้สกินแคร์นั่นก็คือ ‘การอ่านฉลาก’ ที่ติดมาบนแพ็กเกจจิ้งของสกินแคร์ของเรา เชื่อว่าหลายๆ คนนั้นอาจละเลยขั้นตอนสำคัญนี้ไป แต่รู้หรือไม่ว่าการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์สกินแคร์นั้นส่งผลกับผิวของเราโดยตรง การที่เรารู้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นควรใช้อย่างไร ใช้ในขั้นตอนไหน และส่งผลอะไรกับผิวของเราบ้าง? นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะผลิตภัณฑ์บางตัวอาจจะมีข้อจำกัดในการใช้งานแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม ‘Vitamin A’ นั้นควรใช้ในเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะ Vitamin A อาจจะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดได้ นอกจากนั้นฉลากยังบอกอายุการใช้งานสกินแคร์ของเราได้อีกด้วย ซึ่งถ้าหากเรามองข้ามเรื่องนี้ไปแล้วยังใช้สกินแคร์ที่หมดอายุอาจจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อผิวเราได้
อีกทั้งบนฉลากของสกินแคร์ยังบอกถึง ‘Active Ingredient’ หรือ ‘ส่วนผสมสำคัญ’ ในสกินแคร์ของเราได้อีกด้วย ซึ่งจุดนี้เองเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่เราสามารถมองหาส่วนผสมหลักในสกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวของเราได้อีกด้วย หากคุณกำลังงงเราขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากคุณปวดหัวคุณก็ต้องเลือกยาพาราเซตามอลเพื่อคลายอาการปวดหัวของคุณลง
ซึ่งการบำรุงผิวก็เช่นเดียวกันหากคุณต้องการให้ผิวคุณกระจ่างใสและแข็งแรงก็มองหาสารจำพวก Antioxidant อย่างเช่น Vitamin C, Vitamin E หรือ Niacinamide (Vitamin B3) เพื่อสร้างผลลัพธ์เหล่านั้นให้เกิดขึ้นกับผิวของคุณ เรารู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้ดูแฟนตาซีและไกลตัวพวกเรา แต่การมีความรู้เรื่องส่วนผสมในสกินแคร์ไว้จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพผิวที่ดี และป้องกันการเกิดปัญหาผิวเนื่องจากใช้สกินแคร์ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว
Basic Routine for All Skin Types
ขั้นตอนการบำรุงพื้นฐานสำหรับทุกสภาพผิว
Step 1: Cleanser
เมื่อเราติวเข้มในหลักการพื้นฐานกันเสร็จเรียบร้อยแล้วในขั้นนี้เราได้รวบรวมขั้นตอนการบำรุงผิวที่สามารถใช้ได้สำหรับทุกคน โดยคุณสามารถเลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณได้ในแต่ละขั้นตอน อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนสกินแคร์ให้เหมาะสมกับผิวคุณได้ในแต่ละฤดูกาล เพื่อสร้างขั้นตอนการดูและผิวที่เหมาะกับความต้องการและสภาพผิวของคุณ
ขั้นตอนการล้างหน้าเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกให้ผิวของคุณสะอาดหมดจดและกระจ่างใส สำหรับใครที่ใช้กันแดดประเภทกันน้ำหรือแต่งหน้าควรใช้ Cleansing Water, Cleansing Oil หรือ Cleansing Balm ในการทำความสะอาดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก่อนล้างหน้าเพื่อป้องกันการอุดตันบนผิวหน้าของคุณ
Step 2: Exfoliator
ขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วด้วยสกินแคร์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวชนิดต่างๆ เช่น AHA, BHA และ PHA สำหรับมือใหม่ขั้นตอนนี้ควรเริ่มใช้ 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์เท่านั้น!
Step 3: Toner
ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมผิวด้วย ‘โทนเนอร์’ เพื่อปรับสมดุลค่า pH ของผิวหน้า เติมความชุ่มชื้นแบบบางเบา และยังเป็นการรีเช็คสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิวหน้าของเราอีกด้วย
Step 4: Serum
ขั้นตอนการบำรุงผิวอย่างตรงจุดและล้ำลึกด้วย ‘เซรั่ม’ ขั้นตอนนี้จะเป็นการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงและแก้ไขตามสภาพผิวของเรา เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ และสิว
Step 5: Moisturizer
ขั้นตอนกักเก็บและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวของคุณด้วย ‘มอยเจอร์ไรเซอร์’ ที่มีเนื้อสัมผัสเหมาะกับสภาพผิวของคุณ โดยขั้นตอนนี้เราสามารถเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบาสำหรับตอนกลางวัน และมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเข้มข้นสำหรับตอนกลางคืนได้
Step 6: Sunscreen
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นหัวใจสำคัญของการบำรุงเลยอย่าง ‘ครีมกันแดด’ ขั้นตอนนี้เราควรทาในตอนเช้าทุกๆ วันเพื่อปกป้องแสงแดดศัตรูตัวฉกาจของผิวเรา โดยเราสามารถเลือกค่า SPF ในครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจวัตรประจำวันของเราได้ เช่น ใครที่ออกแดดจัดควรเลือกกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป และควรดูค่า PA ให้มีสามบวกเป็นอย่างต่ำ