ก่อนหน้านี้ทางแอลเมนได้พาคนรักคาร์เทียร์ได้ทำความรู้จัก CARTIER เผยโฉมเรือนเวลา TANK และ SANTOS-DUMONT รุ่นใหม่สำหรับสุภาพบุรุษผู้รักเวลา เป็นคอลเล็กชั่นเรือนเวลาที่จัดแสดงในงานระดับโลกอย่าง Watches and Wonders 2023 ภายใต้ธีม ‘Time Unlimited’ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ผ่านมา ล่าสุดเราได้รับเชิญไปชมเรือนเวลาชิ้นไฮไลท์ อาทิ รุ่น Tank Française, Tank Américaine, Santos-Dumont, Baignoire, Clash [Un]Limited, Pasha De Cartier, และ Ballon Bleu De Cartier ที่มีดีไซน์หรูหราน่าตื่นตามาให้รับชมกันอย่างใกล้ชิด (ซึ่งบางเรือนก็มีจำนวนจำกัด)
วันนี้เราจึงหยิบดีเทลความพิเศษมาเล่าเพื่อเรียกน้ำย่อยชาวแอลเมนกันก่อนล็อกวันไปชมคอลเล็กชั่นใหม่ของคาร์เทียร์ ที่บอกได้เลยว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผ่านเรือนเวลาที่มาพร้อมการดีไซน์รูปทรงอันแปลกใหม่และนวัตกรรมอันทรงคุณค่า
รักทรงรถถังยังไงก็ยังรัก Tank Française และ Tank Américaine
เรือนเวลาคาร์เทียร์รุ่น Tank ถือเป็นเรือนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จตามคำทำนายของ Louis Cartier (หลุยส์ คาร์เทียร์) เพราะในปี 2023 นี้คาร์เทียร์ได้เผยโฉม Tank Française รูปโฉมใหม่พร้อมกับ Tank Américaine อันภูมิฐาน สองเอกลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาที่สาวกคาร์เทียร์ต้องถูกใจอีกครั้ง (และตลอดไป)
TANK FRANÇAISE พลิกโฉมได้อย่างภูมิฐาน
โฉมใหม่ของ Tank Française ได้รับการปรับปรุงพลิกโฉมใหม่ทั้งหมดนับตั้งแต่มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1996 โดยรูปแบบใหม่นี้ถูกนำเสนอผ่านความเรียบง่ายแต่ภูมิฐาน ความมีเสน่ห์สุดคลาสสิกที่สร้างความแตกต่าง และความสง่างามไร้กาลเวลา ผสมผสานกับความทันสมัยตามแบบฉบับของคาร์เทียร์อย่างลงตัว เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นในเชิงสร้างสรรค์ เฉกเช่นการกลับมาค้นพบเนื้อแท้ที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาของพลอยที่เจียระไนแล้วอีกครั้ง โดยเป็นการจับรูปทรงที่แหวกขนบของนาฬิกามาปรับเส้นสายหลักให้เรียบง่ายขึ้น ตัดทอนรายละเอียดการออกแบบที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อกลับคืนสู่จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน โดยรูปลักษณ์ใหม่นี้มาพร้อมกับตัวเรือนสตีลประดับเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์ สร้างความระยิบระยับเล่นแสงไฟ และสร้างคุณค่าให้กับเรือนเวลามากยิ่งขึ้น
TANK AMÉRICAINE ได้แรงบันดาลใจจาก Tank Cintrée
Tank Américaine ออกแบบในปี 1987 และเปิดตัวเมื่อปี 1989 โดยได้แรงบันดาลใจตลอดจนตัวเรือนทรงโค้งมนมาจาก Tank Cintrée แต่ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเป็นเรือนเวลารุ่นแรกที่มาพร้อมสายแบบปรับความยาวได้ ที่สอดรับกับหัวบัคเกิลแบบพับได้อันโด่งดังซึ่งคาร์เทียร์ที่ได้ยื่นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 1910 และในปี 2023 เมซงได้เน้นย้ำดีไซน์ต้นฉบับและรูปทรงโค้งมนของ Tank Cintrée ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ด้วยการสลักเส้นสายที่ละเอียดยิ่งกว่าเดิมและดูปราดเปรียวดุจนักกายกรรม ความบริสุทธิ์ของรูปทรงได้รับการเน้นให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วยสไตล์ของหน้าปัด และการเชื่อมกรอบข้างตัวเรือนให้เข้ากับสายนาฬิกาอย่างไร้ที่ติ กลไกภายในคือรุ่น 1899 MC ที่ปรับขนาดให้สอดคล้องกับตัวเรือนที่บางลง Tank Américaine 2023 มีให้เลือกในแบบตัวเรือนและสายทองคำ (all gold) แบบตัวเรือนสตีลสายหนัง ตัวเรือนโรสโกลด์ฝังเพชรสายหนัง และตัวเรือนไวท์โกลด์และโรสโกลด์ฝังเพชร บนสายโลหะที่ออกแบบมาสำหรับ Tank Américaine โดยเฉพาะ ข้อสายขัดเงาทุกด้าน เมื่อแสงตกกระทบจึงเปล่งประกายแวววาว
ยกระดับรูปทรงเฉียบบางเป็นเอกลักษณ์ของ Santos-Dumont
ดีเทลนี้นับเป็นความท้าทายครั้งใหม่สำหรับคาร์เทียร์ซึ่งนำกลไกจักรกลอัตโนมัติ 9629 MC แบบสเกเลตันที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษออกเปิดตัวในปี 2023 ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงคอลเล็กชั่นที่ตอบโจทย์ผู้คลั่งไคล้รูปลักษณ์ที่เรียบบางและงามสง่า แต่เป็นคอลเล็กชั่นที่ถูกพัฒนาออกมาให้มีองค์ประกอบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงต้นแบบของเรือนเวลารุ่นนี้ ในปี 2023 Santos-Dumont นำเสนอ 5 รูปแบบใหม่ยกระดับความภูมิฐานขึ้นอีกขั้นให้กับคอลเล็กชั่น โดยมีการเพิ่มเติม 3 เรือนเวลาตัวเรือนแพลทินัม โรสโกลด์ และเยลโลว์โกลด์ พร้อมตัวเลือกหน้าปัดแกะสลักตัวเลขอักษรโรมันลงบนแจสเปอร์ (jasper) หยก และดูมอร์เทอไรต์ (dumortierite) ที่ได้ถูกรังสรรค์อย่างประณีต โดยตัวเลขโรมันเหล่านี้ถูกขยายให้เห็นชัดเจนด้วยเทคนิคพิเศษในการแกะสลักสร้างเส้นสายแบบสามมิติที่เล่นกับแสงบนหน้าปัด เป็นการแสดงถึงความพิเศษเฉพาะของรุ่นลิมิเต็ดนี้
Notes:
นอกจากนั้น Santos-Dumont คอลเล็กชั่นใหม่ยังได้นำเสนอ 2 รูปแบบ ทั้งตัวเรือนสีเทา และสี navy blue โดดเด่นด้วยหน้าปัดที่มีสีสันแตกต่างจากเข็มนาฬิกาและตัวเลขโรมันสีทอง โดยมาในวัสดุเยลโลว์โกลด์ รวมถึงเยลโลว์โกลด์และสตีล เป็นอีกรุ่นที่แสดงถึงศาสตร์ศิลป์การรังสรรค์ความสง่างามของเรือนเวลาได้เป็นอย่างดี
Clash [Un]Limited คือกลไกที่ภูมิฐานและงดงามโดดเด่น
เรือนเวลาชิ้นนี้นับเป็นจิวเวลรีวอทช์ที่ผสานชั้นเชิงกับพลังอำนาจ แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดด้วยเม็ดมะยม, หมุดปิโกต์, และคลู คาร์เร (clou carrés) รหัสของ Clash de Cartier หลั่งไหลดุจสายน้ำ สอดประสาน สร้างวิถี และเผยตัวตนในรูปแบบเรือนเวลาล้ำค่าโดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตปรากฏให้เห็นอย่างสม่ำเสมอตามสไตล์ของเมซง ไม่ว่าจะเป็นเหลี่ยมมุมตัวเรือน หน้าปัดทรงโดม การใช้พื้นที่และการทิ้งช่องว่าง ตลอดจนองค์ประกอบทรงกลมและทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นวัฒนธรรมการออกแบบที่คานกันอย่างสมดุลกับความแม่นยำเชิงเรขศิลป์ของคาร์เทียร์โดยผ่านการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการกลอกกลิ้งทับกันของลูกปัดหรือบานพับสายนาฬิกา ที่ล้วนทำขึ้นเพื่อสร้างสัมผัสนุ่มนวลบนผิวความทะเยอทะยานที่จะเนรมิตโครงสร้างให้นาฬิกา และรังสรรค์มุมมองเชิงลึก จากรูปทรงของสายนาฬิกาทุกข้อ จนถึงตัวเรือนขนาดมินิ พร้อมกระจกเจียระไน 16 เหลี่ยม ที่ขับเน้นเส้นสายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
Notes:
เรือนเวลาเรือนนี้ทำให้นึกถึงมรดกของฌานน์ ตูแซงต์ (Jeanne Toussaint) รวมถึงการสัมผัสได้ของความรู้สึกแห่งพลังอันแรงกล้าที่จะสร้างการปะทะอันแพรวพราว ระหว่างความล้ำค่ากับสุนทรียะแนวอุตสาหกรรมของลูกปืน ความเชื่อมโยงตามธรรมชาติระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ที่เห็นได้ใน Clash [Un]Limited ใช้ความตัดกันของสีเป็นตัวเน้นแม่แบบเรขาคณิต โดยวิธีแรกคือใช้ทองขัดลายสลับกับทองขัดซาติน จากนั้นจึงผสานทองเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์กับทองเฉดสีใหม่ประกายเหลือบม่วงไวโอเล็ตที่พัฒนาขึ้นเพื่อคาร์เทียร์โดยเฉพาะ ทองเฉดนี้ปรากฏทั้งบนคลู คาร์เร่ และตุ่มบนสายนาฬิกา Clash [Un]Limited รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น นำเสนอธีมเดียวแต่หลากหลายในรายละเอียด ด้วยวัสดุทองเยลโลว์โกลด์ และไวโอเล็ตโกลด์ ฝังเพชร ทั้งยังจับคู่นาฬิกาเรือนเด่นกับอัญมณีที่ขับเน้นดีไซน์ให้สะดุดตายิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทนสีขาวดำของออนิกซ์, แบล็กสปิเนล, ออบซิเดียน, และเพชร หรือโทนหลากสีจากคอรัล, แบล็กสปิเนล, คริสโซเพรส, ซาโวไรต์, และเพชร เรือนเวลา Clash [Un]Limited จากสตูดิโอออกแบบคาร์เทียร์ คือหนึ่งในผลงานจิวเวลรีวอทช์สุดสร้างสรรค์ของเมซง
PASHA DE CARTIER ตั้งชื่อเพื่ออุทิศให้กับพาช่าแห่งมาร์ราเกช
Pasha de Cartier ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1985 และนำกลับมานำเสนออีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2020 โดยตั้งชื่อเพื่ออุทิศให้กับพาช่าแห่งมาร์ราเกช (Pasha of Marrakesh) ผู้ซึ่งหลงใหลในศิลปะการประกอบเรือนเวลาชั้นสูงและเป็นลูกค้าของหลุยส์ คาร์เทียร์ ด้วยขนาดที่โดดเด่น เอกลักษณ์ของเม็ดมะยมที่ร้อยเข้ากับตัวเรือนด้วยโซ่และสีทอง ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้กลายเป็นเสมือนมรดกล้ำค่าในเวลาไม่นาน อีกทั้งดีไซน์คลาสสิกทว่าไม่มีใครเหมือนยังสอดคล้องอย่างสมบูรณ์แบบกับสไตล์ที่นิยมเป็นอย่างมากในสมัยนั้น เหมาะที่จะเป็นตัวแทนของความสุขที่มอบให้กับตัวเองและแสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็น เรือนเวลาพาช่านี้คือสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของยุคสมัย พาช่าไม่เพียงแต่เป็นเรือนเวลาคู่กายสุภาพบุรุษเท่านั้น แต่ยังได้กลายเป็นเรือนเวลาที่สุภาพสตรีเลือกสวมใส่เพื่อสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์และประกาศความสำเร็จให้โลกได้รับรู้
Notes:
ในปีนี้คาร์เทียร์ได้ชูความโดดเด่นของตัวเรือนสีทองและจิวเวลรีของ Pasha de Cartier ด้วยการยกระดับความสง่างามด้วยหน้าปัดฝังเพชรขนาด 35 มม. ที่ล้อไปกับแสงระยิบระยับ เมซงได้ตอบรับการประสบความสำเร็จของ Grid หรือลายลายเส้นตารางในหน้าปัดวงกลมของ Pasha de Cartier ที่กลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ระดับคัลท์ (Cult) ของเรือนเวลาารุ่นนี้ ด้วยการเผยโฉม Pasha de Cartier รุ่นเคลือบแลกเกอร์ สายหนังสีแดงและตัวเรือนโรสโกลด์หน้าปัดขนาด 35 มม. คาร์เทียร์เพิ่มคุณค่าให้กับ Pasha de Cartier รุ่นสตีล ด้วยการนำเสนอหน้าปัดสีน้ำเงินสำหรับสุภาพบุรุษที่กำลังมองหานาฬิกาสำหรับสวมใส่ในวันสบายๆ ที่มาพร้อมกับฟังชั่นโครโนกราฟ (chronograph) และรุ่นหน้าปัดสีแซลมอนให้ลุควินเทจ มาในหน้าปัดขนาด 41 มม. และ 35 มม.
BALLON BLEU DE CARTIER ความกลมมนมาตีความใหม่
ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2007 โดยดีไซเนอร์ของคาร์เทียร์ได้นำความกลมมนมาตีความใหม่ด้วยการเพิ่มมิติ และผลลัพธ์คือความซับซ้อนของวงกลมที่มีมิติ บนตัวเรือนที่สร้างสมดุลระหว่างเส้นสายได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยการซ่อนเม็ดมะยมคริสตัลแซฟไฟร์สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ในวงแหวนกลมเล็กไว้กับตัวเรือนอย่างแนบเนียนไม่มีสะดุดที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา Ballon Bleu de Cartier คือเรือนเวลาที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน ด้วยดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาอย่างลงตัว และความเข้ากันได้ดีของชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นที่จดจำอย่างกว้างขวาง และเรียกได้ว่าเป็นไอคอนของคาร์เทียร์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนสตีล ไวท์โกลด์ หรือโรสโกลด์ ที่มาพร้อมกับหน้าปัดแบบผิวสัมผัสเรียบ หรือหน้าปัดประดับเพชรล้อมวงเดี่ยวหรือวงคู่สายสตีล หรือสายหนัง แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายให้ได้คัดสรรช่วยตอบโจทย์ความต้องของลูกค้าได้ในทุกระดับ ด้วยรูปลักษณ์ที่เด่นชัด และความโค้งมนของตัวเรือน ทำให้เป็นไปได้ยากที่จะละสายตาจากจุดเด่นของ Ballon Bleu de Cartier พร้อมถ่ายทอดอัตลักษณ์เฉพาะแบบของตนเองผ่านสัญลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาในแบบฉบับของคาร์เทียร์
Notes:
ในปีนี้คาร์เทียร์เน้นตัวเรือนสตีลประดับเพชรเพื่อยกระดับความสง่างามให้แก่ Ballon Bleu de Cartier โดยการนำดีไซน์หน้าปัดนาฬิกากลับมาตีความใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในกลุ่มนาฬิกาของ precious watch คาร์เทียร์จึงได้นำเสนอเรือนเวลารุ่นหน้าปัดประดับเพชรเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับ Ballon Bleu de Cartier ในราคาที่สามารถจับต้องได้ นอกจากนั้นเมซงยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับรุ่นตัวเรือนสตีลโดยเพิ่ม Sunray effect ในรุ่นหน้าปัดสีชมพูสร้างแรงดึงดูดแก่สายตา และทำให้สีหน้าปัดของนาฬิกานั้นโดดเด่นและมีสีสันชัดเจนสม่ำเสมอ
เสน่ห์ในรูปแบบการวางซ้อนกันของสองวงรี Baignoire de Cartier
เรือนเวลารุ่นนี้ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1912 และผ่านการปรับเปลี่ยนมาหลายครั้ง ดุจความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดผ่านรูปทรงอันทรงคุณค่า เรือนเวลา Baignoire ดำเนินรอยตามแบบแผนความต่อเนื่อง โดยคงรูปลักษณ์ของตัวเองไว้เสมอ ในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนทั้งในแง่ขนาดและการทำงาน การปรับสัดส่วนส่งผลให้ขอบทองเหนือหน้าปัดและตัวเลขโรมันมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และคาร์เทียร์ยังนำรูปทรงของหน้าปัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Baignoire มาใช้กับขอบตัวเรือน เพื่อให้แนบสนิทกับข้อมือ นับเป็นการให้กำเนิดลูกผสมที่ล้ำค่าของนาฬิกากับจิวเวลรี แนวคิดใหม่เพิ่มความเย้ายวนให้คาแรกเตอร์ของนาฬิกาที่รับประกันความใส่สบายด้วยตัวเรือนโค้งมน Baignoire รุ่นล่าสุด ทั้งแบบตัวเรือนโรสโกลด์ เยลโลว์โกลด์ และฝังเพชรทั้งเรือน ล้วนยกย่องเชิดชูนาฬิกาเรือนทองต้นฉบับที่เปล่งประกายงดงามในแสงอาทิตย์ ความบริสุทธิ์ของเส้นสาย ความแม่นยำของรูปทรง สัดส่วนที่เฉียบคม และรายละเอียดล้ำค่า คือสิ่งที่ทำให้ Baignoire เป็นเรือนเวลาสำคัญที่ขาดไม่ได้ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการออกแบบของคาร์เทียร์ และยังสามารถนำไปใส่คู่ผลงานระดับไอคอนชิ้นอื่นๆ ของเมซง สลับสับเปลี่ยนได้ไม่รู้จบ
Notes:
ด้วยขนาดที่บอบบาง Baignoire ดูมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวบนสายหนังสีดำเคลือบเงา ความเป็นกูตูร์และอาจรวมถึงความประณีตยิ่งกว่าเดิม ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้แสดงความโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างแม่นยำไม่ต่างจากเดิม นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยยังคงไว้ซึ่งตัวตนที่แท้จริง