คอลเล็กชั่นต้อนรับฤดูกาลตากอากาศประจำปี 2025 ผลงานแรกของ Alessandro Michele ที่เผยโฉมออกมาตั้งแต่กลางปีทำให้ผมพอคาดเดาได้ว่า สิ่งที่จะได้เห็นในโชว์แรกของเขาสำหรับเฮาส์หลังนี้ก็คงไม่น่าจะต่างกัน นั่นคือการได้เห็นผลงานที่เป็นลายเซ็นอันชัดเจน หรือหากเปรียบเป็น ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ ก็คงไม่ผิดอะไร เพราะการเปรียบเทียบที่ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่คอลเล็กชั่น Resort 2025 โลกโซเชียลต่างแชร์และแซวกันสนุกสนานว่านี่เป็นเพียงการเปลี่ยนป้ายจากแบรนด์ Gucci เป็น Valentino … แต่! นั่นละคือ Alessandro Michele ผู้ที่แน่วแน่ในจุดยืนทางด้านสไตล์อย่างชัดเจน “สำหรับผม ความสำเร็จเบื้องต้นคือการได้อยู่ในสถานที่ที่ใช่ เป็นที่ที่ผมได้เลือกและรู้สึกเป็นอิสระที่ได้เป็นตัวเอง” เขาให้สัมภาษณ์กับทาง BoF ก่อนเดบิวต์รันเวย์โชว์แรกจะเกิดขึ้น ราวกับเน้นย้ำไม่ว่าคุณจะชอบงานสร้างสรรค์ของเขาในก่อนหน้านี้หรือไม่ คุณก็จะได้เห็นมันอีกครั้งแน่นอนที่ Valentino
ห้องเสื้อ Valentino ก่อตั้งในปี 1960 เป็นหนึ่งในกูตูร์เฮาส์เก่าแก่ทรงคุณค่าที่มีมรดกตกทอดให้ Alessandro ได้ค้นคว้าและศึกษาอย่างเพลิดเพลิน สถานที่แห่งนี้เปรียบเป็นโลกแห่งจินตนาการ เปี่ยมด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่เหลือล้นมากพอให้นักออกแบบผู้หลงรักนิยายแฟนตาซีและแฟชั่นยุค ’70s ได้ดื่มด่ำกับความมหัศจรรย์ของศาสตร์การรังสรรค์อาภรณ์ชั้นสูง “สำหรับผม Valentino คือความเก๋ไก๋ฉบับอิตาเลียน และเป็นแบรนด์ในฝัน นี่คือกูตูร์เฮาส์ ดังนั้นจึงมีอะไรให้ได้เรียนรู้และทำในสิ่งที่ต่างไปจากก่อนหน้า ผมรักความท้าทายใหม่ๆ” หลายลุคที่เห็นในคอลเล็กชั่น ‘Pavillon des Folies’ (ถ้าแปลแบบตรงตัวคือ ‘ศาลาคนบ้า’) จึงเป็นการอิงรูปแบบ รูปทรง และรายละเอียดจากโอตกูตูร์ชิ้นมาสเตอร์พีซในอดีต อาทิ ลุคเปิดทางฟากสตรี อิงรูปแบบผลงานในคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ฤดูหนาว 1990 และลุคแรกของบุรุษที่อิงรายละเอียดลวดลาย polka-dot จากโอตกูตูร์ฤดูร้อน 1988 รวมไปถึงสไตล์ลิ่งสวมใส่สร้อยมุกหลายทบที่ Valentino Garavani มักให้นางแบบสวมขึ้นรันเวย์ในช่วงยุค ’80s
จริงอยู่ทั้ง 80 กว่าลุคสะท้อนสไตล์แฟชั่น ‘ยิ่งมากยิ่งดี’ ที่เป็นลายเซ็นของเขาชัดเจน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นนักออกแบบผู้ทะนงตัวจนไม่ยอมปรับตัวใดๆ เพียงแต่อาจต้องการใช้โชว์นี้เพื่อการโยนหินถามทาง “คุณๆ ทั้งหลายเริ่มเบื่อกับผลงานรูปแบบนี้หรือยัง?” โดยความไม่มั่นใจที่ว่าถูกสื่อสารผ่านรันเวย์พื้นกระจกร้าวซึ่งได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดของนักประสาทวิทยาชาวออสเตรีย Viktor Emil Frankl ที่ว่า ‘มนุษย์ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง ต้องเผชิญกับข้อจำกัดและความไม่แน่นอนราวกับกำลังเดินบนกระจกที่แตกได้ทุกเมื่อ ทุกย่างก้าวจึงมีโอกาสสะดุดล้ม เราใช้ชีวิตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เพราะความไม่แน่นอนนี่เองที่ทำให้เราเข้าใจคุณค่าของเวลา พยายามทำความเข้าใจกับความลึกลับและคุณค่าของชีวิต เพื่อค้นหาสิ่งที่มีค่าและทำให้มั่นคง’
Alessandro Michele ยังยืนยันผ่าน BoF ว่า “ผมไม่ใช่พวกที่ถวิลหาความหอมหวานในวันวาน แต่ชื่นชมมัน” และเจ้าตัวยังยอมให้ ‘หนูน้อยอเลสซานโดร’ ที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต และสร้างความสุขในการทำงานของเขา “ผมยังเป็นหนูน้อยอเลสซานโดร ซึ่งนั่นทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้พบจิตวิญญาณของหนูน้อยคนนั้น ปละมันส่งผลต่องานสร้างสรรค์ที่กำลังทำ” … นั่นคืองานสร้างสรรค์สำหรับ Valentino ที่เขากำลังพยายามผนึกตัวตนลงบนหน้าประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ โดยบทบันทึกหน้าใหม่ที่ว่าได้เริ่มขึ้นแล้ว ส่วนจะยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างที่เจ้าตัวหวังไว้หรือไม่? ชาวแอลเมนต้องติดตามไปพร้อมกันกับเรา