เส้นทางความฝันที่เป็นจริงของ ‘ทิกเกอร์-อชิระ’ ศิลปินหน้าใหม่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น!

FASHION EDITOR: RATCHAKRIT CHALERMSAN

WORDS: MISS CHERDCHAI

PHOTO: TOP PONPISUT

จาก เด็กชายทิกเกอร์ สู่ นายทิกเกอร์ ที่อุทิศตัวให้กับดนตรีตั้งแต่เล็กจนโต และใช้เวลาอยู่ใน Bedroom Studio เพื่อคว้า Goal ที่ฝันไว้ วันนี้ผลผลิตของ ‘ทิกเกอร์-อชิระ เทริโอ’ ได้งอกเงยจนมีซิงเกิ้ลแรกเป็นของตัวเองในที่สุด เมล็ดพันธุ์จากคุณแม่นิโคล-เทริโอ และ คุณพ่อแมว-จีรศักดิ์ ถ่ายทอดดีเอ็นเอมาสู่ทิกเกอร์อย่างเข้มข้นแบบ 100% เต็ม

ในที่สุด ทิกเกอร์ก็หนีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของตัวเองไม่พ้น ด้วยความสามารถครบเครื่อง ทั้งร้อง ทั้งแรพ เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็น กลอง กีตาร์ เบส เปียโน ส่งผลให้ทิกเกอร์กลายมาเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกของค่าย G’NEST อย่างเต็มภาคภูมิ กับผลงานเพลงซิงเกิ้ลแรก ‘R U OK?’ ที่เพิ่งเปิดตัวมิวสิควิดิโอไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ที่ตอนนี้แตะล้านวิวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ก่อนประทับตราเป็นอาร์ทติสอย่างเป็นทางการ เขาต้องเทรนนิ่งกับ GMM Academy ร่วม 3 ปี จึงไม่มีทางลัดสู่การเป็นศิลปินสำหรับ ทิกเกอร์-อชิระ เทริโอ

ตอนนี้ทิกเกอร์มีผลงานอะไรมาฝากแฟน ELLE MEN Thailand บ้าง

: ตอนนี้ผมเป็นศิลปินเต็มตัวค่าย G’NEST ภายใต้สังกัด GMM Grammy เป็นศิลปินเดี่ยวของค่ายคนแรกด้วยครับ แล้วก็เพิ่งเดบิ้วซิงเกิ้ลแรกในชีวิต ชื่อเพลงว่า ‘R U OK?’ มีคอนเสิร์ตเปิดตัวเต็มรูปแบบไปเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผลตอบรับดีมากๆ เกินคาดเลยครับ ดีจนแอบช็อก ไม่คิดว่าจะไปไกลขนาดนี้เหมือนกัน คือผมมีความฝันว่าอยากมีซิงเกิ้ลและผลงานเป็นของตัวเอง พอฝันนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาเลยรู้สึกอิ่มเอม เหมือนใจได้ถูกเติมเต็มเลยครับ

Timeline ของทิกเกอร์ ก่อนเข้าวงการมาจนถึงชีวิตปัจจุบัน

: เล่าย้อนไปตอน ปี 2018 ผมได้เล่นละครเวทีที่โรงเรียนเพราะมีคลาสเรียนการแสดงด้วย ซึ่งเป็นคลาสที่ไม่ได้เรียนจริงจังอะไร ไม่ได้เรียนเทคนิคการร้อง จำได้เลยครับ ณ โมเม้นต์ที่หลังละครจบแล้วม่านปิด ใจมันบอกเลยว่า ผมต้องไปเรียนการร้องเพลงอย่างจริงจัง ผมอินบอร์ดเวย์มาก เลยอยากมีเทคนิคการร้องที่ดี เลยไปลงคลาสเรียนที่ Grammy Vocal Studio พอเรียนไปได้สักพัก คุณครูก็มาบอกผมว่า “มีค่ายใหม่กำลังจะเปิดนะ สนใจลองไปออดิชั่นไหม” ผมแบบ “โอ้มายก้อด” เป็นโอกาสที่ดีมาก ปล่อยไปไม่ได้ เลยไปลองดูครับ สุดท้ายก็ออดิชั่นผ่าน จากนั้นก็เริ่มเทรนนิ่ง ทั้งร้อง แรพ เต้น เรียนทุกทักษะการโชว์บนเวที ฝึกฝนเป็นศิลปินฝึกหัดกับ GMM Academy และพัฒนาตัวเองตรงจุดนี้มาเกือบ 3 ปี 4,000 กว่าชั่วโมงแล้วครับ

ตัวตนของทิกเกอร์

: ผมเป็นคน positive มาก เวลาอยู่กับเพื่อน คนที่คุ้นเคย หรือครอบครัว จะชอบปล่อยมุขตลก มุขตลกผมจะออกแนวมุขแบบฝรั่ง ผมชอบดู Stand-Up Comedy มาก อารมณ์เดี่ยวไมโครโฟนบ้านเราหน่ะครับ มีคนเคยบอกว่า คาแร็กเตอร์ผมเหมือน จิม แคร์รีย์ อ๋อหรอ จิม แคร์รีย์ อืมมม…ก็ได้นะ (ทำท่าคิด)  ถ้าคนภายนอกมองเข้ามา หรือตอนไม่อยู่บนเวทีผมจะดูนิ่งๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่ไม่รู้ทำไมพอได้แสดงบนเวทีผมรู้สึกได้ปลดปล่อยทุกอย่างเลยครับ จะรู้สึก Comfortable มากๆ เหมือนกดปุ่มออโต้เพลย์เลย ผมคิดว่าถ้าผมไม่ได้อินบอร์ดเวย์ ผมคง Performance ไม่ดีเท่าตอนนี้ครับ

ผมมีความเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์อยู่เบาๆ ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและไม่ดี ถ้างานออกมาไม่ตรงตามมาตรฐานของตัวเองผมก็จะแอบเครียดนิดนึง แม้จะพูดกับตัวเองอยู่เสมอว่า It’s Not a Big Deal แต่สุดท้ายก็เครียดอยู่ดีครับ (หัวเราะ) ซึ่งผมว่าข้อดีมันทำให้ผมใส่ใจเรื่องคุณภาพงานมากขึ้น

เวลาผมเศร้าหรือมีปัญหา ผมจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักครับ นั่งอยู่นิ่งๆ บนโซฟาคอยทบทวนตัวเองและประเมินตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมรู้สึกแบบนี้ และจะปรับอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไรเพื่อให้มันดีขึ้น

มีส่วนร่วมอะไรบ้างในการทำเพลง

: ผม Collaboration กับพี่ปณต คุณประเสริฐ หรือ NOTH Getsunova ด้วยการเพิ่มไลน์กีตาร์ในเพลง ‘R U OK?’ และดีไซน์วิธีการร้องเสียงประสานครับ

อะไรยากที่สุดในการทำ MV แรกของทิกเกอร์

: พอมันเป็น MV ที่ผมสื่อสารผ่านตัวตน 100% เต็ม เลยไม่มีอะไรที่ยากเลยครับ ตอนถ่ายทำนี่สนุกเพลิดเพลินไปเลย คือภาพที่ทุกคนเห็นผมผ่านสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้ ผมจะดูพูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเท่าไหร่ ถ้าได้มาดูเอ็มวี ‘R U OK?’ จะเห็นความเป็นตัวตนของผมอยู่ในนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งเลยครับ

ได้พรสวรรค์อะไรมาจากคุณพ่อคุณแม่

: ผมว่าผมได้พรสวรรค์ทางด้านดนตรีจากคุณพ่อ เช่น ทำเพลงเอง โปรดิวซ์เพลงเอง เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น ตั้งแต่ กลอง เบส เปียโน ในส่วนของการเพอร์ฟอร์มบนเวทีหรือการเอนเตอร์เทนผมจะได้มาจากคุณแม่ เรื่องเอนเนอร์จี้นี่แทบจะถอดคุณแม่มาเปะๆ เลยครับ (ยิ้ม) มีวันหนึ่ง ผมนั่งอยู่ในรถฟังเพลงของ Arctic Monkeys ชื่อเพลงว่า Teddy Picker ซึ่งผมรู้สึกว่าลายกลองเพลงนี้เท่มากๆ ผมเลยถอดหูฟังออก แล้วบอกคุณแม่ว่า “ซื้อกลองให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” คุณแม่ตอบ “โอ้ ได้สิ” คือถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองคุณแม่จะสนับสนุน 100% เลย พอได้กลองมาเท่านั้นแหละครับ หลังเลิกเรียนผมดิ่งตรงกลับบ้าน และซ้อมทุกวัน วันละ 4 ชั่วโมงหลังเลิกเรียนครับ

ชอบเครื่องดนตรีชิ้นไหนมากที่สุด

: ชอบกลองครับ คือผมชอบฟังเพลง Motown ยุค 70 เช่น Soul, R&B และ Funk ศิลปินที่ผมชอบมากจะมี Stevie Wonder, Marvin Gaye, James Brown ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคกำเนิดวิธีเล่นกลองแบบใหม่ มีการเพิ่มลายกลองเข้าไปให้คนได้รู้สึกอินไปกับจังหวะของเพลง ได้ดีดนิ้ว ขยับตัว และโยกตามจังหวะเพลงครับ

ตอนนี้ทิกเกอร์ได้เป็นศิลปินสมใจดั่งที่เคยฝันไว้แล้ว ในอนาคตมีความฝันสำรองไหม

: ถ้ามองตัวเองไปอีก 10 ปีข้างหน้า ผมอยากทำงานเบื้องหลังมากครับ อยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ มิวสิควิดิโอ โปรดิวเซอร์ ค่อยๆ ไต่ไปครับ อยาก Collaborate กับหลายๆ ศิลปินเพื่อผสมผสานและแตกแขนงออกมาให้ได้แนวเพลงหลายๆ แนว เหมือนทำให้กลายเป็นผลงานศิลปะอีกหนึ่งชิ้นครับ แล้วก็อยากส่งเสริมให้ผู้คนๆ หาตัวตนของตัวเองให้เจอ ให้พวกเขาช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นต่อไปได้ แต่ถ้ามองไปถึงตอนแก่โน่นเลย ผมอยากมีชีวิตสโลไลฟ์ อยู่ต่างจังหวัด ดูแลม้า มีฟาร์มกว้างๆ ได้วิ่งเล่นบนทุ่งกว้างใหญ่ครับ 

อะไรคือความสุขของทิกเกอร์

: ดนตรีครับ (น้ำเสียงหนักแน่น)

เรื่องที่ประทับใจคุณแม่นิโคลมากที่สุด

: ผมประทับใจในความสำเร็จของคุณแม่ครับ ท่านเป็นตำนานของแกรมมี่เลย สมัยนั้นขายได้ล้านตลับด้วย ผมได้ยินมาว่าสมัยก่อนการหาซื้อเทปหรือจะฟังเพลงสักเพลงนั้นยากมากๆ การเข้าถึงเพลงไม่ง่ายเหมือนสมัยนี้ ถ้าอยากจะฟังเพลงต้องเดินไปที่แผงเทปเท่านั้นถึงจะได้เพลงมาเปิดฟัง หรือรอเวลาให้รายการเพลงออกอากาศบนทีวี…คุณแม่ผมสุดยอดมากครับ

ผลงานในอนาคตที่อยากจะฝาก

: มินิอลบั้มชื่อว่า Crush ครับ ความหมายในที่นี้คือ ‘รัก’ หรือ ‘ชอบ’ ส่วน Story Behind the Name ผมอยากสื่อสารว่า ผมหลงรักการทำเพลงและดนตรีมากๆ เลยเกิดเป็นชื่อ Crush ขึ้นมา ซึ่งแต่ละเพลงจะเป็นความรักในหลากหลายรูปแบบครับ

ความรู้สึกที่ได้มาสัมภาษณ์กับ ELLE MEN Thailand ครั้งแรก

: พอรู้ว่าจะมีคิวได้มาสัมภาษณ์กับ ELLE MEN Thailand รู้สึก ‘เขิน’ มากครับ ดีใจมากๆ และเป็นเกียรติกับผมมากๆ จะไม่ลืมวันนี้เลยครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ

Similar Articles

More