จากเด็กผู้ชายหน้าตาเรียบร้อยในวันนั้นสู่นนกุลเวอร์ชั่นล่าสุดที่มีแววตามุ่งมั่น เปี่ยมด้วยพลัง รูปหล่อสมคำร่ำลือ ดูเข้าถึงง่าย และพร้อมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา นนกุล หรือ นน-ชานน สันตินธรกุล เริ่มเส้นทางการแสดงตั้งแต่อายุ 16-17 มีผลงานเป็นที่รู้จักอย่าง ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น, ฉลาดเกมส์โกง, หอมกลิ่นความรัก รวมถึงการกลับมาอีกครั้งในละครเรื่อง ร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ (The Office Games) เอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์จากโปรเจกต์แกะกล่องไทยบันเทิงที่กำลังสตรีมทางแพลตฟอร์ม Prime Video
พล็อตว่าด้วยการเอาตัวรอดของมนุษย์ออฟฟิศที่พยายามดิ้นรนไปสู่ความสำเร็จโดยใช้สารพัดเล่ห์เหลี่ยม เขารับบทเป็นหนุ่มวิศวกรผู้แบกปูมหลังไว้มากมาย วันหนึ่งชีวิตพลิกผันจนต้องมายึดอาชีพนักขาย เป้าหมายในการพูดคุยครั้งนี้นอกเหนือจากทำความรู้จักตัวตนและสำรวจความรู้สึกนึกคิดของนนกุล จึงหนีไม่พ้นเรื่องราวของ ‘เมษ’ ด้วยเช่นกัน

ความน่าสนใจที่ทำให้คุณเข้าร่วมโปรเจกต์นี้
ส่วนตัวไม่เคยรับบทเป็นพนักงานออฟฟิศมาก่อน ประกอบกับชีวิตจริงก็ไม่เคยลองใช้ชีวิตเป็นพนักงานออฟฟิศด้วย ดังนั้นในพาร์ตการทำงานเป็นพนักงานขายกองทุนมันทำให้ผมรู้ดีเทลของสาขาอาชีพนี้ นี่แหละคือความน่าสนใจสำหรับผม
ต้องทำการบ้านขนาดไหนสำหรับการมารับบท ‘เมษ’
ถ้าเป็นพาร์ตอารมณ์ การเข้าถึงตัวละคร ผมได้เข้าคลาสแอ็กติ้งอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว เพราะผมมองว่าอาชีพนักแสดงก็เหมือนนักกีฬาที่ต้องหมั่นฝึกฝนบ่อยๆ มันจะช่วยให้ผมสามารถตีความได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น แต่ความยากของตัวละครนี้คือฉากหน้าต้องทำเหมือนมั่นใจ เวลาพรีเซนต์จะทำยังไงให้ดูฉะฉาน เพราะลึกลงไปข้างในเขาเสียเซลฟ์มาก สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เมษจะผันตัวจากวิศวกรมาเป็นพนักงานขาย

ความท้าทายในการถ่ายทำเรื่องร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ
ท้าทายที่สุดคงเป็นซีน Pitching ที่ต้องพูดภาษาจีนเพื่อขายงานลูกค้า ถึงแม้จะพูดจีนได้ประมาณหนึ่ง พอถึงคราวต้องมาใช้ภาษาจีนระดับทางการ ประกอบกับตัวแสดงที่เข้าฉากนั้นเป็นคนจีนจริงๆ จึงเหมือนมีกรรมการมาให้คะแนนว่าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นถูกต้องหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดีครับ
ตัวตนของ ‘เมษ’ และ ‘นนกุล’ มีจุดไหนบ้างที่เหมือนกัน จุดไหนบ้างที่ต่างกัน
ผมกับเมษมีส่วนที่คล้ายกันหลายเรื่อง ทั้งในแง่การวางแผนชีวิต การคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนลงมือทำ ไม่ได้หุนหันพลันแล่นเท่าไหร่ ส่วนความแตกต่างจะเป็นเรื่องประสบการณ์การใช้ชีวิต (เนื้อหามีการสปอยล์) อย่างที่ทราบว่าแบ็กกราวด์ของเมษเคยเป็นวิศวกร ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุทำให้ตึกถล่ม แล้วเปลี่ยนสายงานมาเป็นพนักงานขายในธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนแรกผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาก้าวข้ามเหตุการณ์นั้นมาได้ยังไง มันดูยากที่จะเชื่อมโยงกับตัวละครนี้

เมื่อตัวละครนั้นไม่รีเลตกับชีวิตของคุณ คุณมีวิธีดีไซน์ความรู้สึกนึกคิดอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงตัวละคร ‘เมษ’
ตอนแรกมีธงในใจแล้วว่าจะแสดงออกไปในทิศทางไหน แต่ผู้กำกับพูดกับผมไว้อย่างหนึ่งซึ่งถือเป็นมุมมองใหม่เลยนะ “ในความเป็นจริงคนเราแอ็กติ้งได้เก่งกว่าที่คิด บางคนภายนอกอาจดูไม่ออกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ดูไม่ออกว่าเขาเจอประสบการณ์เลวร้ายมามากขนาดไหน ตอนอยู่บ้านเขาจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่พออยู่ที่ทำงานเขากลับดูปกติ” ผมเลยต้องปรับจูนความคิดใหม่ เมษไม่จำเป็นต้องดูเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ถือว่าโชคดีที่มีผู้กำกับคอยช่วยไกด์ให้
ในฐานะที่เคยเล่นมาแล้วหลายบทบาท คิดว่าหัวใจสำคัญของการเป็นนักแสดงคืออะไร
ต้องท่องบท ต้องฝึกใช้อารมณ์ แม้ต้องทำสิ่งเหล่านั้นซ้ำๆ ก็ต้องไม่เหนื่อยหน่าย ถ้าเราซ้อมบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น อย่างเมื่อก่อนผมเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก ก็พยายามหาวิธีฝึกเพื่อให้การร้องไห้กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งฟังเพลงเศร้า ทั้งดูคลิปเศร้า ฝึกร้องไห้ให้บ่อย ฝึกร้องไห้ให้เป็นธรรมชาติ จดบันทึกสถิติว่าในหนึ่งวันเราสามารถร้องไห้ได้กี่ครั้ง ทำซ้ำๆ จนไม่รู้สึกเคอะเขิน หลังจากนั้นก็ใช้เวลาน้อยลงในการบิลด์ตัวเองให้ร้องไห้ออกมา

ถ้าให้ประเมินตัวเองถึงทักษะการแสดงนับตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าวงการจนถึงปัจจุบัน คุณให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ พอใจกับฝีมือและพัฒนาการของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ผมให้ตัวเอง 7/10 ส่วนอีกสามคะแนนที่เหลือเอาไว้ให้เป็น room of improvement แล้วกันครับ (ยิ้ม)
จากเรื่องร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ เมื่อพนักงานขายเอา ‘ผลลัพธ์’ เป็นที่ตั้ง หลายคนจึงพยายามดิ้นรนจนบางครั้งอาจลืมนึกถึงวิธีการ ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คุณคิดยังไงเกี่ยวกับโลกที่สนใจแต่ผลลัพธ์ คุณให้ความสำคัญกับ ‘ผลลัพธ์’ หรือ ‘กระบวนการ’ มากกว่ากัน
คำตอบของผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่น ผมเห็นด้วยนะว่าควรแคร์ผลลัพธ์ (หัวเราะ) ช่วงแรกที่เรียนแอ็กติ้งครูจะพูดเสมอว่าอย่าไปเน้นผลลัพธ์มากนักแต่ให้โฟกัสที่กระบวนการ บางทีมันเหมือนเป็นกับดัก เพราะปัญหาที่ผมเจอตลอดคือทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ร้องไห้ไม่ได้ซะทีเพราะอารมณ์มันมีแค่นี้ ผมเลยมองว่าจริงๆ ควรบาลานซ์กัน บางช่วงของชีวิตจำเป็นต้องโฟกัสผลลัพธ์ บางจังหวะต้องโฟกัสกระบวนการ สุดท้ายแล้วในโลกของมืออาชีพเขาวัดกันที่ผลลัพธ์ เขาจะฟังสตอรีของคุณก็ต่อเมื่อคุณทำสำเร็จแล้ว ในช่วงเริ่มต้นเหมาะกับการเรียนรู้ขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ถ้าทำไปสักระยะแล้วมันไม่เวิร์ก ไม่ถึงเป้าหมายซะที ก็ต้องกลับมาสำรวจว่าวิธีการที่เราใช้อยู่มันใช่หรือเปล่า


ระหว่างหน้าที่การงาน ความรัก และครอบครัว คุณวางลำดับความสำคัญอย่างไร อะไรมาก่อน อะไรมาทีหลัง
ถ้าทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัว ผมขอเอาเรื่องงานไว้ก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว เมื่อนั้นก็ต้องเอางานไว้ทีหลัง
แล้วถ้าเป็นเมษล่ะ
ผมว่าเมษเขาบูชาความรักนะ ตอนอกหักเขาทิ้งงานทิ้งการหมดเลย
นอกจากเล่นละคร ถ่ายหนัง ในวันธรรมดาคุณทำอะไรบ้าง มีวิธีรักษาสมดุลให้ชีวิตอย่างไร
พื้นฐานเป็นคนชอบอยู่บ้าน ชีวิตเลยบาลานซ์ง่ายหน่อย งานอดิเรกคือการอ่านการ์ตูน เล่นฟิตเนส ถ้ามีเวลาเยอะหน่อยก็นอนหรืออ่านบท ไม่ค่อยชอบเที่ยว แต่ถ้ามีคนชวนก็ไปได้

การ์ตูนเรื่องโปรด
เรื่องแรกเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อ ‘Eyeshield 21’ ถัดมาเป็นของเกาหลีชื่อ ‘Solo Leveling’ สุดท้ายเป็นการ์ตูนไทยชื่อเรื่อง ‘การิน’
ถ้าให้นิยามตัวเอง ‘นนกุล’ เป็นคนแบบใด
นนกุลเป็นคนเนิร์ด จริงจัง ชอบเอาชนะ บางทีเล่นเกมกับเด็ก ผมก็ยังนิสัยเสีย จะเอาชนะเด็กให้ได้ตลอดเลย (หัวเราะ)
วันนี้คุณตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้ไกลแค่ไหน
อยากไปให้ถึงระดับโลก จากเมื่อก่อนเคยคิดว่าจะไปตายเอาดาบหน้าที่อเมริกา แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป มีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มเข้ามาหาเราเอง บางทีเราอาจไปถึงเป้าหมายที่เคยตั้งไว้โดยไม่ความจำเป็นต้องทิ้งชีวิตที่นี่เพื่อแสวงโอกาสไกลขนาดนั้น อยู่ตรงนี้หมั่นฝึกฝนพัฒนาทักษะความสามารถ ทำตัวเองให้พร้อม อ่อ แล้วก็อยากลองทำงานเบื้องหลังด้วยครับ (ยิ้ม)
