Photo: Manosit Boonnon
Location: โรงแรมม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์
เวียนวนกลับมาพบกับวงนายแบบ ‘PERSES’ บอยกรุ๊ปจากค่าย G’NEST อีกครั้งจากก่อนหน้านี้ทั้ง 5 คน จั๋ง-วิกร บูรณภิญโญ, เน-ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์, กฤติน-กฤติน สอสูงเนิน, ปาล์ม-พีรวิชญ์ พินธะ และน้องเล็กสุด ปลั๊กกี้-ธรากร คําสิงห์ ที่เคยร่วมงานกับ ELLE MEN Thailand ในคอลัมน์ Voice เมื่อปี 2023
อ่านเพิ่มเติม: พูดคุยกับ 5 หนุ่ม ‘PERSES’ รูกกี้ของวงการเพลงป็อปไทย!
ปีนี้หนุ่มๆ ได้นัดหมายกับเราที่โรงแรมม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์ เพื่อพูดคุยเรื่องราวของหนุ่มๆ ทั้ง 5 คน จั๋ง-เน-กฤติน-ปาล์ม-ปลั๊กกี้ มาให้ชาวแอลเมนได้อัปเดตกัน การได้ทำงานครั้งนี้เราได้ค้นพบความสดใสของทั้งห้าหนุ่มที่แสนสนุก บวกกับความกันเอง และความทุ่มเท จึงทำให้เรารับรู้ถึงพลังศิลปินรุ่นใหม่ไฟแรง และเชื่อว่าพวกเขาจะเป็นอีกกำลังของพลัง T-Pop สู่สากลได้อย่างน่าจับตามอง
จุดเริ่มต้นของการเป็นสมาชิกวง Perses
จั๋ง: เกิดจากความเข้าใจผิดเมื่อตอนมาออดิชั่น คิดว่าเป็นค่ายเเสดง แต่ดันเป็นค่ายเพลง แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง เลยได้ลองเป็น trainnee ผ่านการเรียนหลักสูตรร้อง เต้นต่างๆ ผ่านการสอบ และคัดเลือกคนเข้าออก มาตลอด 2 ปี จนได้ฟอร์มวงเป็น PERSES ครับ
เน: ผมเริ่มต้นจากการเป็นเด็กฝึกของค่าย G’NEST ครับ ซึ่งก่อนหน้านั้นผมทำงานเป็นนายแบบ แล้วโมเดลลิ่งก็ส่งผมมาออดิชั่นที่ค่ายนี้ แล้วช่วงนั้นผมเรียนจบพอดี ก็เลยลองทำดูครับเผื่อเป็นโอกาสใหม่ที่ผมได้ลอง แล้วสุดท้ายก็เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงครับ
กฤติน: ผมก็เหมือนพี่เนเลยครับ ผมเริ่มจากเป็นโมเดลแล้วมาเป็นเด็กฝึกอยู่ที่นี่ แล้วก็มาอยู่ทีมเดียวกัน ซ้อมด้วยกัน จนกลายมาเป็นวง PERSES
ปาล์ม: ก่อนหน้านี้ผมเป็นทีมแดนเซอร์พี่เบิร์ด พี่เป๊ก-ผลิตโชคมาก่อนครับ แล้วตอนนั้นค่ายเปิดออดิชั่นพี่ๆ ผู้ใหญ่เลยบอกให้เรามาลอง ซึ่งก็ผ่านมาเป็นคนสุดท้ายสมาชิกคนที่ห้าเลยครับ จริงๆ
ปลั๊กกี้: (เริ่มต้นด้วยรอยยิ้มแบบจริงใจ) ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับมาจากขอนแก่น ตอนอยู่ขอนแก่นผมชอบทำคลิปเต้นโคฟเวอร์ลงยูทูป แล้วก็เหมือนมีพี่ทีมงานเห็นเขาเลย DM มาว่ามีออดิชั่นเราสนใจไหม ผมก็เลยแบบว่าพุ่งทะยานสู่เข้ามหานครมาเลยครับ แล้วก็ผ่านออดิชั่นจนมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในวงถึงตอนเนี้ยครับผม
ก่อนหน้าออดิชั่นเพื่อมาเป็นศิลปิน แต่ละคนมีความฝันอะไรกันบ้าง
ปลั๊กกี้:ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำได้ดี ไม่ใช่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิชาการต่างๆ แต่มันกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เราร้องเพลง หรือเต้น มีคนประทับใจในความสามารถของเรา รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำสิ่งนี้ก็เลยคิดว่านี่คือสิ่งที่ฝันครับ
เน: จริงๆ ผมไม่เคยฝันถึงเส้นทางการเป็นศิลปินเลย คือก่อนหน้านี้เรามาเวย์โมเดลหรือนักแสดงตลอด แต่พอมาได้ลองเทรนร้อง เต้น ก็รู้สึกว่ามันสนุก แล้วยิ่งได้เพอร์ฟอร์มบนเวที ได้แบบเจอกับแฟนคลับหลายๆคน ในหลายๆ สถานการณ์ ซึ่งตอนนี้ก็ชอบการเป็นศิลปินไปแล้วครับ
กฤติน: เอาจริงๆ นะครับ (หน้าเต็มด้วยความจริงจัง) ผมเคยคิดไว้ว่าอยากเป็นศิลปิน แต่แค่แบบผมเองยังไม่กล้าที่จะร้องเพลงแบบจริงใจ แต่ก็คงต้องอยู่ในวงการบันเทิงแหละครับ (หัวเราะ) ด้วยตัวผมก็ไม่ค่อยฝักใฝ่เรียนเท่าไหร่เหมือนกันครับ (หันไปหาปลั๊กกี้) คือเราอยากเด็กกิจกรรม ชอบออกไปหน้าห้องพรีเซนต์งานตลอดง ไปกิจกรรมโรงเรียนทุกอย่าง เต้น เล่นแสดงละครเวที ผมทำหมดเลยนะครับเลยคิดว่าเราคงต้องอยู่ข้างหน้ากล้องดีกว่า ก็ได้จับพลัดจับผลูเข้ามาเป็นโมเดลก่อน แล้วมาออดิชั่นก็ได้โอกาสนี้แล้วก็เลย ผมเลยคิดว่ามันคงเป็นความฝันลับๆ ของผม
ปาล์ม: ความฝันการเป็นศิลปินของผมก็เคยมีนะครับ แต่มันไม่ใช่ลำดับต้นๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่อยากทำอะไรแล้วลองทำเลยครับ แบบตัดสินใจทำเลย แล้วก็พอการเป็นศิลปินแล้วยังได้เต้นอยู่ เพราะผมชอบเต้นมากๆ เราก็เลยตัดใจสินใจว่ามันเป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่ต่อยอดได้ เราก็มาฝึกเรื่อยๆ จนรู้สึกคุ้นชินแล้วชอบการเป็นศิลปินไปเลย
จั๋ง: ผมฝันอยากเป็นนักเเสดงตั้งเเต่ตอนสมัยเรียนมัธยมครับ กับอยากเป็นนักธุรกิจ เเต่พอได้ลองเริ่มทำพาร์ท music production ตอนนี้ producer ก็กลายเป็นอีกหนึ่งความฝันของผมไปเลยครับ
อัปเดตความเปลี่ยนแปลงของ Perses ตั้งแต่วันเดบิวต์เพลง My Time จนถึงตอนนี้ให้ฟังหน่อย
ปลั๊กกี้:ผมขอตอบเป็นคนแรกเลยนะครับ คือตอนนั้น My Time เป็นเพลงแรกและเพลงเดียวที่พวกเราฝึกกันอย่างจริงจัง เป็นโฟกัสเดียวเพื่อการเดบิวต์ของพวกเรา เพื่อที่จะทำให้มันออกมาดีที่สุด แต่ว่าพอมันผ่านมาเป็นแบบอัลบั้มสองในระยะเวลาสองปี มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ให้เราต้องคิดเยอะขึ้นกับการเป็นศิลปิน ซึ่งมันทำให้เราคิดได้ว่าไม่ใช่ต้องทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่เราต้องทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุดในโมเมนต์นั้นให้ได้ในตอนนี้
เน: ผมก็รู้สึกว่าเรายังต้องเตรียมความพร้อมเหมือนเดิมอยู่ พยายามไม่ประมาทในทุกงาน แล้วทุกโชว์เราทำให้คนดูเขาสนุกกับเรามากที่สุดอยู่เหมือนเดิม แล้วส่วนที่เปลี่ยนไปคงเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่มากขึ้น พอเราได้ขึ้นเวทีบ่อยขึ้นได้เจอกับผู้คนหลากหลายมากขึ้น เราก็สามารถปล่อยตัวปล่อยใจ แล้วก็อยู่กับสถานการณ์บนเวทีได้แบบเต็มที่จริงๆ นะครับ
กฤติน: ผมว่าตอนนี้ผมมีความมั่นใจในการเพอร์ฟอร์มมากขึ้นเลยครับ กล้าที่จะมันออกมาให้เต็มร้อยมากกว่าแต่ก่อนเลยครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมพะวงหลายอย่าง ไม่ว่าจะแบบคนดูจะคิดยังไง จะเอาเวทีอยู่ไหม แต่ตอนนี้เหมือนแบบผ่านมาสองปีนิดนิด แล้วเราก็แบบเจนเวทีมากขึ้นเลยครับ แต่ว่าเชื่อว่าในอนาคตมันก็ต้องแบบต้องเก็บประสบการณ์อีก ผมต้องเก่งขึ้นอีกครับ
จั๋ง: ผมรู้สึกว่าพวกเราได้ค่า exp เพิ่มขึ้นเยอะมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันทำให้ทัศนคติในการเเสดงหรือการใช้ชีวิตของเเต่ละคนดูน่าสนใจมากขึ้น กล้าที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาได้เจอ PIECES* เหมือนได้ใช้เวลากับครอบครัวครับ
ปาล์ม: สิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมก็คือความตื่นเต้นก่อนขึ้นเวทีครับ ตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นสเตจเดบิวต์จนถึงวันนี้ก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิมครับ แบบตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ไปสนุกกับทุกคนบนเวที และสิ่งที่เปลี่ยนไปผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเลย ก็คือความสนิทของพวกเราครับ แบบพวกเราอยู่ด้วยกันรักกันมากขึ้น เพราะว่าพวกเราเจอกันบ่อยมากๆ ครับ แบบวันหนึ่งแบบ เป็นแบบเกิน 50% อ่ะครับ
ปลั๊กกี้: เจอบ่อยกว่าพ่อแม่ตัวเอง แล้วยิ่งผมบ้านไกล ผมแบบแทบไม่ได้กลับบ้านเลย
กฤติน: อืมใช่…อยู่ด้วยกันบ่อยกว่าอยู่ห้องตัวเอง
ปาล์ม: ครับ คือเหมือนแบบเจอแทนคนในครอบครัวไปแล้ว ผมคิดว่าพวกเราผ่านร้อน ผ่านหนาวมาด้วยกันเยอะมากๆ ครับ คิดว่าสนิทกันมากขึ้นครับตอนนี้
*Notes: PIECES ชื่อแฟนคลับของวง PERSES
เล่าให้ฟังถึง ‘เพลง อย่าฝืน’ ซิงเกิลเพลงเศร้าเพลงแรกของ Perses
แรงบันดาลใจของเพลงนี้
จั๋ง: ผมว่า พี่ตูน Three man down ที่เป็น music producer น่าจะอกหักครับ 555 ซึ่งผมชอบเนื้อเพลงมาก รู้สึกว่าเนื้อเพลงที่ออกมา มันรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในอดีตที่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ว่าคู่ไหนๆ ก็ต่างเคยผ่านเหตุการณ์เเบบนี้มาก่อน
กฤติน: (เสริม) พี่ตูน Three Man Down เขาคงนำมาจากประสบการณ์ส่วนตัวด้วย แล้วก็คนรอบตัวเขา มากลั่นกรองมาเป็นเพลง อย่าฝืน ซึ่งผมว่าใครๆ ฟังมันก็รู้สึกรีเลทกับทุกคนหมดได้เหมือนที่พวกเราถ่ายทอดมา
วิธีการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเสียงร้องและการแสดงในเพลง อย่าฝืน
ปลั๊กกี้:สำหรับเพลงนี้ผมดึงเอาความรู้สึกของตัวเองตอเศร้า แล้วเราต้องการแบบทำอะไรบางอย่าง ที่มาเติมใจเราไม่ว่าจะเป็นในเชิงภาพ ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งเสียงเพลง ผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่เราเศร้าถ้าเราได้ยินเสียงหนึ่งที่มันทัชใจเรา ก็สามารถพาเราดำดิ่งไปได้มากกว่าเดิม อย่างฟังเพลงฟีลเศร้าแบบที่เราเคยฟังเคยร้อง มันมาช่วยบิ้วได้ ส่วนตัวผมชอบฟังเพลงเศร้ามาก แบบอยู่ดีๆก็รู้สึกแบบอยากอกหัก แล้วเพลงเศร้ามันจี๊ดมันถึงใจครับ
ปาล์ม: ผมคิดว่าหลายคนเคยอกหักบ้างมาแหละครับ แล้วในหนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย ที่เคยอกหักมาก่อนในวัยเรียน ซึ่งมันทำให้เรามีประสบการณ์กับความรู้สึกในช่วงนั้น แล้วผมก็เอาความรู้สึกที่เรามองเห็นภาพตอนนั้น มาเป็นแบบ
ห้องมืดๆ คล้ายกับห้องอัด มันทำให้ผมรีเลทกันได้นิดนึงครับ แล้วก็ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนัง ก็อาจดึงภาพในหนังมามาช่วยบ้างครับ
กฤติน: ปกติผมชอบฟังแล้วก็ชอบร้องเพลงเศร้าอยู่แล้ว เพราะเราชอบจินตนาการถึงประสบการณ์อกหักในชีวิตที่มีมาก็เยอะพอสมควร เพราะเป็นคนไม่ค่อยประสบความสำเร็จในความรักครับ (หน้าเศร้า) ชอบคนที่เขาไม่ได้ชอบเรา ผมก็เลยเป็นคนเศร้าเก่ง เศร้าง่ายครับ
จั๋ง: เวลาผมร้องเพลงเศร้าผมจะชอบเอามา relate กับชีวติตัวเองหรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันในอดีต เเละดึงความรุ้สึกเก่าๆ นั้นออกมาเพื่อสื่อสารกับคนนั้นในอดีตกับเรื่องที่เรารู้สึกในตอนนั้น เเละถ่ายทอดผ่านเสียงร้องในปัจจุบัน ส่วนการเเสดงชิวๆ ครับ ให้เป็นหน้าที่ของเน พระเอก MV ครับ
เน: การเตรียมตัวสำหรับผม เน้นฟังไปที่มู้ดเพลงมากกว่า ว่าเพลงจะออกมาเป็นแบบไหน แล้วก็สตอรี่บอร์ด มู้ดภาพวางมาอย่างไร เพื่อเราทำความเข้าใจ ซึ่งหลักๆ ก็คิดว่าคงดึงจากประสบการณ์ มาทำความเข้าใจและถ่ายทอดไปตามเส้นเรื่อง มันจะมีทั้งช่วงแฮปปี้กับความรักมากๆ แล้วก็เหมือนแบบมาเป็นช่วงที่แบบต้องทะเลาะกัน แล้วก็ค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆผมก็พยายามดึงเอาแบบประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาถ่ายทอดลงไปในแบบใน MV ครับ ต้องไปติดตามชมกัน (พร้อมส่งรอยยิ้มปิดท้าย)
เล่าถึงโปรเจกต์ของ Perses ในอนาคต
จั๋ง: เท่าที่เล่าได้ตอนนี้ จะมีทั้งเพลงในอัลบั้มที่ 2 ของพวกเราที่เตรียมไว้ให้ทุกคนรอติดตาม รวมถึง special project ที่เราจะเอาเพลงที่เราชอบมากๆมาร้องเป็นภาษาอื่นๆ เพื่อเป็นของขวัญให้ PIECES ต่างชาติ รวมถึงงานที่จะได้ไปโชว์ที่ต่างประเทศด้วยครับ
ปลั๊กกี้: ตอนนี้น่าจะโฟกัสกับอัลบั้มสองก่อนแหละครับ เพราะว่ายังมีอีกหลายเพลงเลยที่เราอยากให้แฟนๆ ได้รับประสบการณ์ไป อัลบั้มนี้เราก็วางคอนเซ็ปต์กันว่าเป็นแบบ Alterland ตามชื่ออัลบั้ม เพื่อให้ทุกคนได้เจอตัวตนแล้วก็แบบเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเพลงครับ ก็ฝากทุกคนรอติดตามแล้วก็ผจญภัยไปกับพวกเราด้วยนะครับ
มีไอเดีย ‘คอนเสิร์ตเดี่ยว’ ผุดขึ้นขึ้นมาแล้วหรือยัง
จั๋ง: ไอเดียผมผุดขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตของเพื่อนๆ T-POP ไม่ว่าจะเป็น PIXXIE ATLAS PROXIE 4EVE กับอีกหลายๆวง ผมเห็นเป็นภาพพวกเรา 5 คนขึ้นไป perform แบบมันส์ๆ รวมถึงโชว์เดี่ยวของเเต่ละคนด้วย
กฤติน: จริงๆ ชื่อคอนเสิร์ตยังไม่เคยคิด คิดแต่ว่าจะมีเมื่อไหร่มามากกว่าของจริงๆนะครับ (หัวเราะ) คือตอนนี้เรารู้สึกว่ายังไม่พร้อมมีคอนเสิร์ตเลย เรายังอยากเก็บประสบการณ์ มีเพลงมากกว่านี้ และอยากให้ครอบครัวเราใหญ่ขึ้นมากกว่านี้ เพื่อที่วันนึงเราจะได้จัดคอนเสิร์ตได้อย่างเต็มภาคภูมิ แล้วก็คนอื่นยอมรับในความสามารถของพวกเรามากกว่านี้นะครับ รอวันนั้นอยู่
ถ้าให้จินตนาการคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกจะเป็นอย่างไร
ปลั๊กกี้ + กฤติน: ขอแบบฝุ่นเยอะๆ ทราย พัด ทราย คนมาดูคือต้องใส่แมสกัน ฝุ่นเยอะมาก แบบทราย ไฟ เออๆๆ โซ่ เหล็ก สนิมมันจะเป็นเรา เพราะว่าเราชอบถ่าย MV ดิบๆกัน แบบอยากให้รับเหมือน 4DX ครับ รูป รส กลิ่น เสียง คือมาครบนะครับ
*เข้าโหมดจริงจัง
กฤติน: ก็อยากให้มันเป็นมีธีมตามชื่ออัลบั้ม Alterland ในคอนเสิร์ตก็จะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ตลอด แล้วจริงๆอ่ะอัลบั้มมันจะมีสอง สอง EP แบ่งเป็นตอน Creative Creation กับ Freedom เพื่อให้ดูเป็นเรา แต่อย่างไรพวกเรา PERSES ก็จัดเต็มให้แฟนๆ เราอยู่แล้วครับ
จั๋ง: ผมว่าต้องเป็นฟิว โรมันๆ เพราะ PERSES คือเทพเจ้าเเห่งการทำลายล้าง เเล้วก็ theme เป็น เทพแต่ละองค์ตาม character ของแต่ละคนผมว่าสนุกเเน่เวทีก็จะประหลาดๆ หน่อยลอยได้(เพราะเป็นเทพ) กับเวทีเราจะสามารถเข้าไปเจอ PIECES ได้เเบบใกล้มากๆ เเล้วก็รับประกันความสนุก ความเท่ ความม่วน เเน่นอนครับ
หลังจากการสนทนากับห้าหนุ่มจบลง จั๋ง-เน- กฤติน-ปาล์ม-ปลั๊กกี้ ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนับเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ดีส่งท้ายปีนี้ แอลเมนจึงขอฝากเพลง อย่าฝืน ให้คุณได้ทำความรู้จัก พร้อมทั้งสนับสนุนพวกเราไว้เป็นอีกหนึ่งวง T-Pop ที่น่ารักเสมอเมื่อคุณได้ดูการแสดงของพวกเขาบนเวที