5 เส้นทางการทลายกรอบของ David Bowie ไอคอนแห่งคอมมูนิตี้ LGBTQ+

เรากำลังเข้าสู่ เดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride Month อย่างเป็นทางการ บวกกับธีมเล่มของนิตยสาร ELLE MEN Thailand เดือนนี้ก็มาในธีม Inclusiveness ร่วมเฉลิมฉลองไปพร้อมๆ กับคอมมูนิตี้ LGBTQ+ วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปย้อนชมเส้นทางของร็อกสตาร์ในตำนาน David Bowie (เดบิว โบวี) ผู้เปลี่ยนบรรทัดฐานการแต่งกายของผู้ชาย รวมไปถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชน LGBTQ+ ด้วย

#1 ศิลปินกลุ่มแรกที่ Coming Out ว่าเป็น LGTQAI+

ย้อนกลับไปราวๆ 50 ปีที่แล้วการเปิดรับในความหลายทางเพศนั้นไม่ได้เบ่งบานและเปิดกว้างเหมือนในปัจจุบัน โดยเฉพาะเหล่าคนดังที่มักโดนความคาดหวังจากสังคมให้เป็นไปตามขนบของสังคมให้ปฏิบัติตนตามเพศสภาพ แต่ว่าในปี 1972 หลักจากเหตุจราจล Stonewall เพียง 2 ปี ศิลปินร็อกชื่อก้องอย่าง David Bowie ได้เผยว่า “I’m Gay” ผ่านนิตยสาร Melody Maker ฉบับสำหรับประเทศอังกฤษ ฉบับวันที่ 22 มิถุนายนในปีนั้น

เรียกว่าการ Coming Out ครั้งนี้เป็นการทลายกำแพงทางเพศของเหล่าศิลปินในยุคนั้นเลย และถึงแม้ David จะไม่ใช่ศิลปินคนแรกที่ออกมาพูดถึงอัตลักษณ์ทางเพศของตน (คนแรกคือ Dusty Springfield ในปี 1970) แต่เรียกว่าการที่ร็อกสตาร์แห่งยุคอย่างเขาได้ออกมาพูดก็ทำให้สังคมนั้นได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย และเขาก็เป็นศิลปินกลุ่มแรกๆ และเป็นศิลปินตัวท็อปที่สร้างแรงกระเพื่อมได้เป็นอย่างดี

#2 Alter Ego สุดโด่งดังที่สะเทือนไปทุกวงการ

นอกจากการ Coming Out สุดทรงพลังในยุค ’70s แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ Bowie ได้ทิ้งไว้ให้กับคอมมูนิตี้ LGBTQ+ ก็คงหนีไม่พ้น Alter Ego หรือ ตัวตนเสมือน ที่เขาได้สร้างผ่านผลงานดนตรี ซึ่งตัวตนเหล่านี้ของเขานั้นก็เรียกได้ว่าแหวกขนบและดูไร้กรอบสุดๆ โดยเฉพาะหากมองในมุมมองเรื่องเพศ

ตัวตนเสมือนที่โด่งดังที่สุดของเขาก็คงหนีไม่พ้น Ziggy Stardust มนุษย์ต่างดาวไร้เพศที่เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวตนของเขาจากโลกภายนอก นอกจากนั้น Persona นี้ยังสื่อถึงความลื่นไหลทางเพศผ่านการแต่งตัวสุดหลุดโลก อีกทั้งยังนำเสนอวัฒนธรรมที่ถูกโค่นล้ม (Subversive Culture) ให้มากลับมาอยู่ในอุตสหกรรมดนตรีด้วย

นอกจาก Ziggy Stardust แล้ว Bowie ยังมี Persona อีกมากมาย อาทิ Aladdin Sane, Halloween Jack, Thin White Duke และ The Blind Prophet ซึ่งล้วนเป็นตัวตนที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงการแสดงออกอย่างไรกรอบของเขา จนทำให้ LGBTQ+ หลายๆ คนจึงยกให้เขาเป็นตนแบบในประเด็น Self Expression

#3 ผู้บุกเบิกสไตล์แบบ Androgyny

นอกจากตัวตนเสมือนหลากหลาย Persona ของ Bowie แล้วนั้นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Bowie กลายเป็นไอคอนให้กับคอมมูนิตี้ LGBTQIA+ และวงการแฟชั่น ก็คงจะเป็นการที่เขาได้ทำให้ การแต่งตัวแบบไร้เพศ หรือ Androgynous Style นั้นกลายเป็นอีกหนึ่งการแต่งตัวที่ไม่ผิดแปลกไปจากสังคม

ลุคสุดไร้เพศเหล่านี้มักปรากฏอยู่บนโชว์การแสดงต่างๆ ของเขา รวมไปถึงในชีวิตประจำวัน เขามักสวมกระโปรง รองเท้าส้นสูง บอดี้สูท และเครื่องแต่งกายของผู้หญิงอื่นๆ ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีของคนทั่วโลกโดยเฉพาะ LGBTQ+ นอกจากการแต่งตัวแล้วรูปลักษณ์ภายนอกของ Bowie ก็ยังดู Genderless สุดๆ ทั้งผิวที่ขาวซีด รูปร่างผอมบาง ทำให้ทุกๆ เพศนั้นยึดเอาสไตล์และลุคของเขามาเป็นหนึ่งในอินสไปร์ในการแต่งตัวและการแสดงออกของตน

#4 เซตแสตนดาร์ดเพลงป็อปผ่านเลนส์ของ LGBTQ+

สิ่งที่เซอร์ไพรส์เราสุดๆ ก็คือนอกจากเรื่องของการแต่งตัวแล้ว Bowie นั้นได้หยอดประเด็นความหลากหลายทางเพศลงไปในผลงานเพลงสุดเลื่องชื่อของเขาด้วย อาทิ เพลง Queen Bitch ที่มีวลีที่ว่า “She’s so swishy in her Satin and Tat!” ซึ่งเป็นแสลงของ LGBTQ+ นอกจากนั้นเขายังได้รังสรรค์เพลง John, I’m Only Dancing ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศด้วย

นอกจากเพลงของเขาเอง Bowie ก็ได้อยู่เบื้องหลังศิลปิน LGBTQ+ และ CIS มากมาย อาทิ Lou Reed อีกหนึ่งตำนานของวงการเพลงร็อก รวมไปถึงเพลง Young Americans และ Fame ของเขาเองที่ได้ทำให้ชุมชน LGBTQ+ ที่เป็นคนชายขอบในช่วงนั้นมามีพื้นที่สื่อในบทเพลงของเขา ทำให้เราเห็นว่านอกจากด้านแฟชั่นแล้วในอุตสาหกรรมเพลงเขาก็เป็นคนปูทางให้กับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ

#5 อิสระในแบบฉบับของ David Bowie

สุดท้ายแล้วนิตยสาร Rolling Stone ก็ได้ออกมาเผยว่า Bowie นั้นชอบเพศตรงข้ามมาโดยตลอด (หรือเป็น Heterosexual นั่นเอง) แถมยังเผยว่าการออกมา Coming Out ว่าตัวเองเป็น Bisexual ของ Bowie นั่นคืออีกเรื่องที่ผิดพลาดมหันต์ นั่นเป็นภาพที่ผู้คนรวมถึงคนเบื้องสร้างและยัดเยียดให้เขา

ถึงอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วศิลปินร็อกแอนด์โรลดาวค้างฟ้าคนนี้ ก็เป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่เป็นสัญลักษณ์ชุมชน LGBTQ+ ที่คอยผลักดันและทำลายขอบเขตต่างๆ ของสังคม เช่น การแต่งตัว รูปลักษณ์ การแต่งหน้า ไปจนถึงงานเพลง ให้มีกลิ่นอายของความไร้เพศ เขาเป็นศิลปินคนแรกๆ เลยก็ว่าได้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

Similar Articles

More