ช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมาตลาดน้ำหอม Niche Parfume ในเมืองไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้หลายแบรนด์ที่เราจะมีโอกาสเห็นก็ต่อเมื่อเดินทางไปต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาเป็นระยะนับตั้งแต่นั้น และเมื่อโลกกลับสู่สภาวะปกติจึงผู้นำเข้าน้ำหอมหลายรายเปิดตัวการเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นิชชั้นนำ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ ที่จะได้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น และไม่ต้องรอไปซื้อตอนมีไฟล์ทบิน หรือแม้แต่ไม่ต้องเสี่ยงกับการเสียเงินงทดลองซื้อแล้วพบกับกลิ่นไม่สบอารมณ์

ล่าสุดแบรนด์นิชน้องใหม่ (ในเมืองไทย) ที่เพิ่งมีอายุครบ 10 ปีไปไม่นานอย่าง Thameen London ได้ฤกษ์บินลัดฟ้ามาเปิดเคาน์เตอร์ที่ Atelier de Prestige โดยหอบเอกลักษณ์ เรื่องราวทางวัฒนธรรม และมรดกของชาวอังกฤษมานำเสนอแก่พี่น้องชาวไทย กับผลงานที่รังสรรค์ขึ้นด้วยความรักและความหลงใหลอย่างลึกซึ้งร่วมกับนักปรุงน้ำหอมที่มีชื่อเสียงระดับโลก งานนี้เราได้พูดคุยกับ David Crickmore (เดวิด คริกมอร์) ประธานกรรมการบริหารผู้มากประสบการณ์ มาบอกเล่าเรื่องราวความน่าสนใจแบบเอกซ์คลูซีฟให้ชาว ELLE MEN ได้รับรู้เรื่องราวน่าน่าสนใจเกี่ยวกับแบรนด์ก่อนใคร


แนะนำ Thameen ให้เรารู้จักหน่อย?
Thameen เป็นแบรนด์น้ำหอมจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งมา 10 ปีแล้วครับ (ก่อตั้งในปี 2013) เริ่มแรกเราวางจำหน่ายแบบเอกซ์คลูซีฟที่ Selfridges ในลอนดอน และขายแบบนั้นมายาวนานถึง 8 ปี ซึ่งผมคิดว่าเป็นระยะเวลายาวนานมากเลยทีเดียวสำหรับแบรนด์น้ำหอมเล็กๆ ที่วางขายเพียงแห่งเดียวในโลก แนวคิดเบื้องหลังของแบรนด์ Thameen คือการนำเสนอความเป็นอังกฤษที่เปิดกว้างต่อความหลากหลาย (diversity) นั่นเป็นเพราะประเทศอังกฤษเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลอนดอน เมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนทั่วทุกมุมโลก ทำให้เราไดรับการยอมรับที่ดีตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเกิดวิกฤต Covid-19 ทำให้ห้างร้านต้องปิดตัว ผู้คนไม่สามารถช้อปปิ้งที่ Selfridges ได้ และทำให้ผู้คนไม่สามารถซื้อ Thameen ด้วยเช่นกัน

แล้วทำไมถึงไม่ขายออนไลน์?
จริงอยู่ที่เรามีขายออนไลน์อยู่บ้าง เพราะการซื้อน้ำหอมออนไลน์ซ้ำๆ ถือเป็นเรื่องปรกติ แต่คนส่วนใหญ่จะไม่ซื้อน้ำหอมออนไลน์เป็นครั้งแรกถ้ายังไม่ได้ทดลองดมกลิ่น จึงเป็นเรื่องยากมากที่เราจะได้ลูกค้าใหม่ ดังนั้น Basel Binjabr (บาเซิล บินจาบร์) ผู้ก่อตั้งแบรนด์จึงตัดสินใจกระจายความเสี่ยงและหาช่องทางให้เข้าถึงคนในวงกว้างมากขึ้น โอกาสนี้ผมจึงได้รับการติดต่อให้เข้ามามีส่วนร่วมเพราะด้วยประสบการณ์ด้านการบริหารแบรนด์ Amouage ยาวนานถึง 15 ปี เขาพูดกับผมว่า “พวกผมรู้ว่าคุณสามารถทำให้แบรนด์นิชพาร์ฟูมกลายเป็นที่รู้จักได้ แล้วคุณอยากจะมาทำงานกับเราไหมล่ะ?” ผมตอบตกลง เพราะถือเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งแบรนด์ Thameen เริ่มเป็นที่รู้จักจากการวางขายที่ Selfridges ในลอนดอน และตอนนี้เรากำลังเร่งเครื่องเพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในระดับโลก

คุณมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อพูดถึง Niche Perfume?
สำหรับผมคำว่า Niche มีความหมายที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากเมื่อก่อน สมัยผมเริ่มทำงานที่ Amouage เมื่อ 20 ปีที่แล้วเรามีคู่แข่งในตลาดอยู่เพียง 4 รายเท่านั้น แต่ตอนนี้เรามีคู่แข่งมากหลายร้อยราย! แน่นอนว่าเรามีความพยายามที่จะสร้างเทรนด์ให้กับนิชพาร์ฟูม ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึงความนิชที่แท้จริง เราจึงกลับมาใส่ใจในเรื่องของความสมบูรณ์แบบของการสร้างสรรค์ผลงาน สำหรับผม ความนิชที่แท้จริงคือความมุ่งมัั่นในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยความสมบูรณ์แบบและมีเอกลักษณ์ตั้งแต่ขั้นตอนแรก เป็นน้ำหอมที่ตั้งบนชั้นวางแล้วพูดได้เต็มปากว่าเราสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาและ เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะชอบกับกลิ่นต่างๆ ที่เรานำเสนอ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะประทับใจ เพราะผลงานของเราถูกออกแบบมาเฉพาะเจาะจง แตกต่างจากแบรนด์ทั่วๆ ไป เพราะไม่เช่นนั้นเราก็คงไม่ใช่แบรนด์นิชพาร์ฟูม

เบื้องหลังของขั้นตอนการทำงาน?
ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของเรา Christopher Chong (คริสโตเฟอร์ ชอง) มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์กลิ่นใหม่ๆ เขาจะเริ่มต้นนับหนึ่งทุกครั้งในการทำงาน แรงบันดาลใจอาจจะมาจากการดูหนัง เข้าชมนิทรรศการ ดูละคร อ่านหนังสือ หรือแม้แต่การฟังเพลง ทุกไอเดียในหัวของเขาจะถูกเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องราว นับว่าสิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์น้ำหอมใหม่ๆ โดย Christopher จะทำงานร่วมกับสุคนธกรณ์ และพาร์พูมมาสเตอร์ที่ประจำอยู่ในปารีสอย่างใกล้ชิด กลิ่นต่างๆ จะถูกปรุงขึ้นตามแรงบันดาลใจ นำ้หอมต้นแบบจะถูกเพิ่มและลดส่วนผสมต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งได้น้ำหอมประมาณ 20 กลิ่น เขาทำงานอย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้กลิ่นที่ลอยอยู่ในจินตนาการ โดยใช้เวลายาวนานถึง 1 ปี ในรังสรรค์น้ำหอมหนึ่งกลิ่น จากนั้นเขาก็จะพัฒนาต่อเนื่องจนเหลือเพียง 3 กลิ่นที่ผ่านเข้ามาในรอบการทดสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำหอมจะมีประสิทธิภาพอยู่บนผิวยาวนานอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อีกอย่างที่ผมอยากจะบอกคือ “เราไม่ดมน้ำหอมของแบรนด์อื่นและจะไม่ทำกลิ่นคล้ายของคนอื่น” เราสร้างทำนองของเราเอง เราสร้างแบรนด์โปรดของเราเอง และผมคิดว่านั่นคือหนึ่งใน 4 เสาหลักสำคัญของแบรนด์ระดับพรีเมียม การสร้างแบรนด์ที่เป็นธรรมชาติ มีความไหลลื่นทางเพศ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีความสมบูรณ์แบบทางความคิด โดยสร้างสรรค์ผลงงานออกมาอย่างแม่นยำ

คำว่า The Britologne มีที่มาที่ไปอย่างไร?
The Britologne เป็นทิศทางใหม่ของ Thameen เกิดมาจากการสมาสคำว่า Britain และ Cologne เข้าด้วยกัน เพราะเป็นน้ำหอมประเภทใหม่ที่ไม่ใช่เป็นโคโลญจน์ปรกติ แม้น้ำหอมมีโครงสร้างแบบโคโลญจน์แต่มีความเข้มข้นในระดับ Parfum ซึ่งยังไม่มีใครเคยทำมาก่อนในอุตสาหกรรมนี้ การสร้างสรรค์สิ่งนี้ขึ้นมาค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์อย่างมากสำหรับแบรนด์

Thameen เป็นเจ้าแรกของโลกที่คิดค้นโครงสร้างการปรุงนี้?
เราคือรายแรกที่ผลิตน้ำหอมประเภท Cologne Elixir โดยใส่น้ำหอมลงไปมากถึง 26% โดยปรกติแล้วน้ำหอมประเภทโคโลญจน์จะใส่เพียงแค่ 10 ถึง 12% เท่านั้น ทำให้น้ำหอมคอลเล็กชั่น The Britologne ไม่ใช่ทั้งโคโลญจน์และไม่ใช่ทั้งพาร์ฟูม แม้แต่แบรนด์ที่เรียกตัวเองว่า Extrait de Parfum ส่วนมากก็ยังใส่เปอร์เซ็นต์ของน้ำหอมน้อยกว่าที่เราทำอยู่

The Britologne เปิดตัวด้วยกลิ่นอะไรบ้าง?
Fanfare, Bohemian Infusion และ Bravi คอลเล็กชั่นใหม่ The Britologne (Covent Garden Trilogy) มีความแตกต่างจากคอลเล็กชั่น Jewels of the World เราสร้างสรรค์ผลงานใหม่โดยได้แรงบันดาลใจมาจากโคเวนท์การ์เดน สถานที่ดังในลอนดอน เริ่มต้นเรื่องราวด้วยกลิ่น Fanfare สื่อถึงการประโคมแตรรับการเสด็จมาถึงของกษัตริย์ ซึ่ง Royal Opera House ก็ตั้งอยู่ในโคเวนท์การ์เดนด้วยเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Fanfare จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคอลเล็กชั่นนี้ ต่อด้วย Bohemian Infusion คำว่าโบฮีเมียนเป็นอะไรที่อาร์ตมาก มีความแตกต่าง มีความร่วมสมัย นำเสนอมุมมองต่อโคเวนท์การ์เดนที่เรารู้จัก และอีกหนึ่งกลิ่นคือ Bravi ถ้าคุณตองการแสดงความยินดีกับผู้ชายจะพูดว่า Bravo! แสดงความยินดีกับผู้หญิงพูดว่า Brava! และหากจะแสดงความยินดีกับทุกคนพูดว่า Bravi! (ทุกเพศ) กลินนี้จึงเป็นตัวแทนการแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้ผ่านพ้นโรคระบาดมาด้วยกัน ตอนนี้เราสามารถเดินหน้าต่อได้อีกครั้ง

อะไรคือเอกลักษณ์ของ Fanfare?
Fanfare แสดงออกถึงความลื่นไหลทางเพศ เป็นกลิ่นที่ออกแบบมาโดยไม่เจาะจงเพศใดเพศหนึ่ง บางกลิ่นอาจมีความเป็นผู้ชายมากกว่า บางกลิ่นอาจมีความเป็นผู้หญิงมากกว่า (เล็กน้อย) แต่สำหรับ Fanfare แล้วอยู่กึ่งกลางพอดีเพราะผมมีเพื่อนผู้หญิงที่ชอบและก็มีเพื่อนผู้ชายที่ชอบด้วยเหมือนกัน กลิ่น Fanfare เริ่มต้นด้วยความสดชื่นของซิตรัส (Bergamot, Lemon, Neroli, Flower Market Accord) ซึ่งผมคิดว่าเหมาะกับเมืองไทยที่มีอากาศร้อน หลังจากนั้นภายในไม่กี่นาทีตัวกลิ่นจะมีความลึกขึ้นและนุ่มนวลขึ้น เนื่องจากเราใช้เวอร์มุตแอคคอร์ด (Vermouth Accord) สร้างขึ้นในห้องทดลอง (+ Rosemary, Juniper Berry) หลังผ่านไปประมาณ 4 – 5 ชั่วโมงจะเข้าสู่ช่วงเบส คุณจะได้กลิ่นหอมของมัสก์ แพทชูลี่ และกลิ่นของหญ้าแฝกจางๆ

Bohemian Infusion มีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง?
Bohemian Infusion เริ่มต้นด้วยเกรปฟรุต กระวาน แบล็กเคอร์แรนท์ และเพตติเกรน (น้ำมันหอมระเหยจากต้นบิทเทอร์ออเร้นจ์) กลิ่นของผลไม้อันดึงดูด ผสมความหวานจากแบล็กเคอร์แรนท์ เจือกับความใสจากกลิ่นโทนซิตรัส และเราใส่กลิ่นกระวานที่จางมากๆ เพราะกระวานเป็นกลิ่นที่คนส่วนมากไม่ชอบเมื่อใส่มากเกินไป เมื่อเข้าสู่มิดเดิลโน้ต จะได้กลิ่นของอาร์เทมิเซีย (Artemisia) และลองโกซ่า (Longoza) ส่วนผสมใหม่จากมาดากัสการ์ โดยเรายังเป็นรายเดียวที่ใช้เพื่อการผลิตน้ำหอมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ (+ Cinnamon, Myrtle) กลิ่นฐานประกอบด้วยแล็บดานัม, แพทชูลี่ และแอมเบอร์ (Ambrostar และ Ambre 84 De Laire) กลิ่นนี้จะเอนไปทางผู้ชายเล็กน้อย วันนี้ผมฉีดกลิ่นนี้มา แม้ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับกลิ่นอื่น แต่ผมชอบเพราะกลิ่นมันค่อนข้างซับซ้อน

แล้วกลิ่น Bravi จะสื่อถึงการเฉลิมฉลองในรูปแบบไหน?
สำหรับ Bravi คือกลิ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ ก่อนอื่นเลยผมคิดว่าคนชื่นชอบเรื่องราวของการฉลองเมื่อสิ้นสุดมาตรการล็อคดาวน์ เริ่มต้นท็อปโน้ตด้วยกลิ่นส้มที่มีความขมเล็กน้อย (Bitter Orange) เข้ากับกลิ่นของเบอร์กามอตชวนรับประทาน ในช่วงแรกจะให้ความสดใสด้วยกลิ่นโทนเปรี้ยว พอผ่านไปสักพักจะพบกับกลิ่นของดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) และยังมีกลิ่นของขิงอยู่ด้วย (+ Saffron, Honey) ผมคิดว่ามันช่วยให้กลิ่นดูน่ารัก และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนจึงชอบมากที่สุด ส่วนกลิ่นเบสมีกลิ่นของนมวอลนัท (Walnut Milk Accord) วานิลลา และอีกกลิ่นที่ให้เอฟเฟ็กต์ยาวมากคือกลิ่นยาสูบ (Tobacco)

แล้วคุณจริงจังกับเรื่องของความยั่งยืนมากแค่ไหน?
เราจริงจังเป็นอย่างมากกับคอลเล็กชั่น The Britologne ล่าสุด วัสดุอย่างแก้วและเหล็กสามารถนำไปรีไซเคิลได้ กล่องทำจากแหล่งของไม้สำหรับผลิตกระดาษ และคุณสามารถเอาภายในออกเพื่อนำไปใช้ใส่เครื่องประดับ อย่าง ต่างหู กำไล แหวน หรืออะไรก็ได้ที่คุณต้องการ ส่วนอื่นๆนั้นเราใช้วัสดุย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และในส่วนของรีฟีลที่ผู้คนมักจะถามถึง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำน้ำหอมรีฟีล เป็นเพราะคุณภาพของกลิ่นจะลดลงเมื่อสัมผัสอากาศ ด้วยเหตุนี้จึงต้องปิดผนึกอย่างแน่นหนาอยู่ตลอดเวลา แต่เราก็ไม่นิ่งนอนใจในการกระบวนการแก้ไขจุดนี้ในอนาคต เพราะเรากำลังก้าวเข้าสู่ความยั่งยืนแบบสมบูรณ์ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับแบรนด์ที่เราจะต้องคำนึงถึง