ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ประเทศ ซาอุดีอาระเบีย เบื้องหน้าผมคือผืนทะเลทรายกว้างไกลที่มีเขาหินทรายแทรกอยู่ทั่วไป ดูไปคล้ายกับว่าไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่าทะเลทรายแบบนี้จะมีเรื่องราวอะไรให้ท่องเที่ยว แต่บอกได้เลยครับว่าที่นี่อัดแน่น ไปด้วยเรื่องราวทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สิ่งมหัศจรรย์ และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจมากมายรอให้เรามารับชมกัน


ไม่ว่าจะเป็น Hegra เมืองต้องสาปที่ถูกทิ้งร้างไว้นานกว่า 2,000 ปี ตึก Maraya กับสถาปัตยกรรมที่อลังการงานสร้างการันตีด้วยรางวัล Guinness World Record ลอยลำขื้นไปบนท้องฟ้าด้วยบัลลูนร้อนชมความ ยิ่งใหญ่อลังการของที่นี่ ไปเที่ยวชมเมืองโบราณอย่าง AlUla Old Town ด้วยกัน
เพียงนั่งรถออกจากสนามบินมาไม่ไกลก็ได้รับการต้อนรับจากน้องอูฐฝูงหนึ่งที่กำลังข้ามถนน ภาพวิวที่เห็นน้องอูฐเดินผ่านหน้ากับฉากหลังที่เป็นพื้นทรายกับแนวเขาโล้นยาวสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ รู้สึกเลยครับว่าประสบการณ์ที่ผมจะได้รับจากที่นี่จะต้องแปลกใหม่ไม่เหมือนที่เคยไปที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน ด้วยวิวทิวทัศน์และลักษณะเทือกเขาหินทราย ทีมของผมถึงกับเอ่ยปากว่า “เหมือนมาดาวอังคาร”


เมืองแหล่งมรดกโลกอันเป็นเป้าหมายปลายทางของเราที่ AlUla เป็นเมืองเล็กๆ ด้วยจำนวนประชากรเพียงหกหมื่นกว่าคนกับพื้นที่ขนาด 22,561 ตารางกิโลเมตร ที่นี่เป็นโอเอซิสโบราณที่เป็นแหล่งมรดกอารยธรรมของโลกด้วยหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอายุย้อนไปไกลถึงช่วง 5,000 ปีก่อนคริสตกาลเลย จึงเป็นอีกพื้นที่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากรัฐบาลในการพัฒนาเป็นเมืองท่องเที่ยว
HEGRA VINTAGE LAND ROVER TOUR

เริ่มต้นกิจกรรมแรกของเราใน AlUla กับการนั่งรถออกสำรวจหนึ่งในแหล่งมรดกโลก UNESCO ที่ทุกคนน่าจะได้ยินชื่อกันมาบ้างอย่างนครโบราณ Hegra เศษซากเมืองที่หลงเหลือมาจากอารยธรรมนาบาเทียนโบราณ อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่าที่ AlUla แห่งนี้กำลัง ได้รับการพัฒนาเป็นเมืองท่องเที่ยว จากหน่วยงานรัฐอย่าง RCU ครับ จึงมีการแตกแขนงลงมาเป็นแบรนด์ Experience AlUla ภายใต้สโลแกน Forever Revitalising
ทัวร์ของเราเริ่มต้นจาก Hegra หรืออีกชื่อว่า Mada’in Saleh เป็นเมืองที่สองของชาวนาบาเทียนที่สร้างต่อจากเมืองโบราณ Petra เมืองหลวงของอาณาจักรนาบาเทียนอันโด่งดังในจอร์แดนนั่นเอง ลักษณะเด่นของที่นี่คือกลุ่มงานแกะสลักจากหินทรายจำนวนมากกว่าร้อยจุดที่แสดงถึงวัฒนธรรมในอดีต ซึ่งถูกทิ้งไว้ โดยไม่มีการรบกวนข้ามผ่านเวลามานานกว่า 2,000 ปี แต่ยังคงสภาพลักษณะที่มีความสมบูรณ์มากอยู่จนถึงปัจจุบัน
จุดแรกที่เราเข้ามาสำรวจกันก็คือ Jabal Ithlib เป็นคอม-แพล็กซ์ที่ประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับใช้งานในหลายจุดประสงค์ครับ ช่องแคบที่เห็นอยู่เป็นช่องทางเดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นำเราเข้าไปสู่พื้นที่ด้านในภูเขาซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังจะเห็นได้ตามกำแพงและผนังหินทรายรอบบริเวณที่มีภาพแกะสลักปรากฏอยู่มากมาย ส่วนโถงขนาดใหญ่ทางด้านข้างนี้เรียกว่า Al Diwan เป็นโถงที่เชื่อว่าในอดีตมีไว้เพื่อการประชุมถกเถียงกันในเรื่องต่างๆ หรือเป็นโถงจัดเลี้ยงสำหรับชนชั้นสูง
HERO BALLOON FLIGHTS


กิจกรรมแนะนำต่อไป เป็นครั้งแรกของผมเลยที่จะได้ขึ้นบัลลูนร้อนลอยขึ้นไปบนฟ้าสูงเพื่อชมทัศนียภาพความยิ่งใหญ่ของที่นี่ กิจกรรมนี้ต้องออกเดินทางจากที่พักกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากมุมมองที่ดีที่สุดบนฟ้า ผมมาถึงที่จุดขึ้นบัลลูนก่อนหกโมงเช้า แสงอาทิตย์เรืองรองผ่านขอบฟ้าขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกว่าเราต้องรีบขึ้นบัลลูน ความรู้สึกตอนที่บัลลูนลอยขึ้นจากพื้นไม่เหมือนกับเครื่องบินตอน take off ครับ ตอนลอยขึ้นต้องบอกตามตรงว่าแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ มองลงไปอีกทีก็เห็นพื้นอยู่ห่างออกไปเสียแล้ว นิ่มนวลสุดๆ ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียว
วิวจากบนท้องฟ้า แม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ขึ้นก็รู้สึกเหนือจริงมาก ที่เคยบอกว่ามาซาอุดีอาระเบียให้ความรู้สึกเหมือนมาดาวอังคารต้องดูในภาพนี้เลยครับ ทะเลทรายและแนวเทือกเขาหินทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนถึงเส้นขอบฟ้า ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่นอกโลกแบบบอกไม่ถูก โดยเฉพาะสำหรับคนไทยอย่างผมที่อยู่ในประเทศเขตร้อนคุ้นชินกับภาพของเทือกเขา ป่าไม้ น้ำทะเล มากกว่าภาพของทะเลทรายกว้างไกลแบบนี้ แสงสีส้มทองที่ส่องสะท้อนสาดเงาไปตามพื้นทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องของความชื้นในอากาศ เพราะปกติแล้วไอน้ำในอากาศจะกระเจิงแสงอาทิตย์บางส่วน แสงอาทิตย์ที่มาถึงเรานั้นมีความแรงลดลง แต่ด้วยความที่ที่นี่มีความชื้นต่ำมาก แสงอาทิตย์จึงพุ่งมากระทบเราโดยผ่านชั้นบรรยากาศน้อยกว่า และมีรังสีที่เข้มข้นกว่าด้วย ใครที่มาเที่ยวต้องห้ามลืมพกครีมกันแดดกับแว่นตากันแดดมานะครับแสงอาทิตย์จึงพุ่งมากระทบเราโดยผ่านชั้นบรรยากาศน้อยกว่า และมีรังสีที่เข้มข้นกว่าด้วย ใครที่มาเที่ยวต้องห้ามลืมพกครีมกันแดดกับแว่นตากันแดดมานะครับ
JABAL ITHLIB, ALULA

จุดที่สองหลายคนน่าจะคุ้นตากันพอสมควร เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญที่มักจะปรากฏตัวในสื่อโปรโมตการท่องเที่ยวของ AlUla ต่างๆ มากมาย ที่นี่คือ Jabal Al Banat เป็นกลุ่มของสุสาน Hegra ที่ถูกสลักรวมกันไว้จำนวนมากถึง 29 สุสานในภูเขาหินทรายแห่งเดียวครับ ถ้าสังเกตไปรอบๆ ทุกจุดของ Hegra แห่งนี้จะเห็นการแกะสลักต่างๆ มากมาย บางอันก็เป็นชื่อของผู้ที่สั่งให้สร้าง บางอันก็เป็นชื่อของผู้สร้าง ชื่อกษัตริย์ที่ปกครองอยู่ในขณะนั้น คำเตือนห้ามบุกรุกต่างๆ นานา นอกจากนี้ก็จะมีสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนความหมายอื่นๆ อีกหลายประการครับ อย่างเช่น นกอินทรีย์ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ Dushara และเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางข้ามไปยังโลกหลัง ความตาย ยังมีสัญลักษณ์ของสิงโต งู หน้ากาก และอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกันไปม
จุดต่อไปเป็นจุดที่มีความเป็นไอคอนิคที่สุดแล้วของ Hegra กับภาพของ Tomb of Lihyan หรือที่รู้จักกันในนาม Qasr Al Farid ปราสาทผู้โดดเดี่ยว แม้ว่าจะได้ชื่อเล่นว่าเป็นปราสาทแต่จริงๆ แล้วที่นี่ก็เป็นสุสานเช่นเดียวกันครับ วิธีการ แกะสลักเหล่านี้เป็นเทคนิคทางสถาปัตยกรรมของชาวนาบาเทียนในอดีต ด้วยการแกะสลักจากด้านบนลงมาด้านล่าง เซาะเอาหินออกไปจนกลายเป็นแบบที่เราเห็นกันอยู่นี้ แม้ว่าจะเป็นภาพไอคอนิค มากที่สุดแห่งหนึ่งของ AlUla แต่จริงๆ แล้วที่นี่ยังไม่ถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ดีครับ ดังจะเห็นได้จากที่ว่าบริเวณฐานนั้นยังแกะสลัก ไม่เสร็จเรียบร้อยดี ต่างจากด้านบนที่ถูกแกะสลักเข้าไปบนหินทรายขนาดใหญ่จนกลายเป็นภาพจำที่ตระการตามากที่สุดแห่งหนึ่ง
สิ่งที่แกะสลักลงบนหน้า facade ของสุสานเหล่านี้ นอกจากที่ผมได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อยู่อีกครับ เช่น การแกะสลักคล้ายขั้นบันไดที่อยู่ด้านบนสุด มีทฤษฎีว่าน่าจะหมายถึงบันไดที่นำไปสู่สวรรค์ มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับแมสตาบาของอียิปต์ หรือซิกกูแรตของสุเมเรียน แสดงให้เห็นถึงการมีปฏิสัมพันธ์กันของวัฒนธรรมต่างๆ ที่หลอมรวมกันเป็นอารยธรรมนาบาเทียน
MARAYA

สิ่งก่อสร้างอันน่าอัศจรรย์ใจตรงหน้าผมนี้เป็นอีกจุดเช็คอินที่ใครไม่ได้มาถ่ายภาพด้วยก็แทบจะเรียกว่ามาไม่ถึง AlUla กับ Maraya ตึกกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตึกนี้คืออาคารอเนกประสงค์สำหรับจัดงานกิจกรรมต่างๆ ที่ตั้งเป้าจะเป็นพื้นที่สำหรับการจัดงานระดับโลก และเป็นที่ตั้งของร้านอาหารที่โด่งดังอย่าง Maraya Social นับเป็นความอลังการจากน้ำมือมนุษย์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความ ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและสิ่งมหัศจรรย์โบราณต่าง ๆ
Maraya ยังได้รับรางวัลที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง Guinness World Record ในฐานะตึกกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และรางวัล International Architizer A+award ในหมวดหมู่ Architecture + Glass ลักษณะเด่นที่หลายๆ คนชอบมาถ่ายรูปกันคือการที่กระจกบนตึกนั้นสะท้อนไปกับแนวเทือกเขาหินทรายโดยรอบ เกิดเป็นภาพที่เราจะได้ภาพเทือกเขาสองสีที่ด้านหนึ่งต้องแสงอาทิตย์กับอีกด้านที่เป็นเงามืด

ถ้ามาในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ทำองศาดีๆ จะเกิดเป็นแนวแสงที่ตกกระทบลงบนพื้นแบบในภาพ สำหรับผมที่เวลาจะถ่ายรูปจะต้องมองหาแสงอาทิตย์ดีๆ สวยๆ อยู่เสมอ ตึกนี้ทำให้เหมือนมีพระอาทิตย์สองดวงช่วยกันส่องแสง แค่เดินเข้าไปก็ได้แสงที่แทบจะเพอร์เฟ็กต์ในการถ่ายรูปแล้ว มองไปแล้วเหมือนตึกนี้กำลังล่องหน ถ้าไม่มีช่องทางเข้าคงยิ่งกลืนไปกับสภาพแวดล้อมมากกว่านี้แน่ๆ
“มาซาอุฯ เหมือนมาดาวอังคาร” ทีมของผมพูดคำนี้ไว้ตอนที่เราไปถึงที่ซาอุฯ ด้วยกัน ผมคิดว่าก็ไม่ผิดไปเท่าไหร่นัก ไม่ได้หมายถึงว่าคนซาอุฯ เป็นมนุษย์ต่างดาว แต่หมายถึงว่าผู้คนและสถานที่ที่นี่มีความแตกต่างจากความคุ้นเคยของเราแบบคนละขั้ว สิ่งนี้ก็ทำให้ผมยิ่งนึกถึงความมหัศจรรย์ของความหลากหลายของโลกเรามากยิ่งขึ้นไปอีกครับ ว่าเพียงแค่สภาพอากาศเปลี่ยน อุณหภูมิเปลี่ยน ตำแหน่งที่ตั้งเปลี่ยน ก็ส่งผลให้เกิดความแตกต่างมากถึงขนาดที่รู้สึกราวกับว่าเราอยู่ดาวคนละดวงกันเลยทีเดียว

Words & Landscape Photographer: Kantaphong Thongrong
Portrait Photographer: Sittinat Thurdnampetch