นับเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการครั้งสำคัญในประเทศไทยโดย Cartier ที่เลือกมาจัดแสดงผลงานเครื่องประดับชั้นสูง (Haute Joaillerie) จำนวนกว่า 200 ชิ้น ณ ภูเก็ต ดินแดนไข่มุกแห่งทะเลอันดามันที่ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์และรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมด้วยแรงบันดาลใจ เพื่อมอบประสบการณ์การรับชมผลงานวิจิตรตระการตาผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมอันแตกต่างของแต่ละท้องที่ อันเป็นเอกลักษณ์ของครีเอชั่นของสามพี่น้องตระกูลคาร์เทียร์
ท่ามกลางฉากความงดงามท้องถิ่นของภูเก็ตนิทรรศการในครั้งนี้ จัดขึ้นภายในไพรเวทเรสซิเดนซ์ริมผาที่โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ของทะเลอันดามันรอบด้าน 180 องศา พื้นที่จัดแสดงชิ้นงานแบ่งออกเป็น 4 บท หรือ 4 ห้องจัดแสดง เล่าเรื่องราวของไฮจิวเวลรีผ่านศิลปะท้องถิ่น วัสดุ และงานหัตถศิลป์ เพื่อสะท้อนถึงความสำคัญของพื้นที่จัดงาน ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการทำเหมืองแร่ในศตวรรษที่ 19 ชิ้นงานเครื่องประดับชั้นสูง ได้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของ Cartier อย่างเด่นชัดผ่านการเลือกใช้แสง (light), การเคลื่อนไหว (movement), สีสัน (colours), และรูปทรง (shapes) ที่หลากหลาย จุดประกายให้เกิดความสนใจใคร่รู้และความตื่นตาตื่นใจไปกับคอลเล็กชั่น
นอกจากนี้ Cartier ยังได้เนรมิต วิลล่านาคา ให้เป็นพื้นที่ไพรเวทไดนิ่งต้อนรับแขกคนสำคัญ Heart Evangelista (ฮาร์ท อีแวนเจลิสต้า) เซเลบริตี้ชื่อดังชาวฟิลิปปินส์ และ พีพี-กฤษฏ์ นักแสดงแถวหน้าชาวไทย ประเดิมค่ำคืนด้วยการแสดงโนราห์ การแสดงรำสุดคลาสสิกของภาคใต้ ที่ได้รับการตีความใหม่ให้ร่วมสมัย โดย พิเชษฐ์ กลั่นชื่น ต่อด้วยการเดินแบบเครื่องประดับชั้นสูงที่เป็นไฮไลท์ของการจัดแสดงครั้งนี้ เรียกได้ว่าสะกดทุกสายตาของผู้ร่วมงาน
ก่อนที่จะเปลี่ยนค่ำคืนให้กลายเป็น Shimmering Andaman ตามธีมของดินเนอร์ ด้วยการแสดงโดรนที่เก็บเอาทุกอัตลักษณ์ของ Cartier มารวมไว้ และการแสดงพลุที่ทำให้ท้องฟ้าภูเก็ตยามค่ำคืนส่องประกายระยิบระยับ
พิเศษสุดคือการโคจรมาพบกันในการแสดงมินิคอนเสิร์ตของ Cartier แอมบาสเดอร์ ประเทศไทย เจฟ ซาเตอร์ และศิลปินมากความสามารถ เดอะทอยส์ มาช่วยสร้างความสนุกสนานให้เป็นอีกค่ำคืนที่สมบูรณ์แบบ
Carved Wood
จากงานแกะสลักไม้ที่มีมาตั้งแต่ไทยโบราณสู่การตีความใหม่ ด้วยการเลือกใช้ไม้เฉดสีเข้มกับงานจักสาน สร้างฉากหลังอันงดงาม ขับให้ชิ้นงานไฮจิวเวลรีโดดเด่น ห้องนี้นำเสนอชิ้นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด (Flora and Fauna) อาทิ เซ็ตสร้อยคอ Croco ที่โดดเด่นเป็นไฮไลท์ด้วยเพชรน้ำงามตัดกับมรกต Les Oiseaux Libérés สร้อยคอนกแก้วทำจากเพชร ประดับมรกตหยดน้ำ 5 เม็ด ซึ่งมีส่วนจงอยปากที่รังสรรค์จากไข่มุก mother-of-pearl ทั้งยังเป็นห้องที่รวบรวมชิ้นงานสุดตระการตา จากคอลเลคชั่น Panthère de Cartier และคอลเล็กชั่น Cactus de Cartier ไว้หลากหลายชิ้น
Ceramics
วัสดุที่เหล่าพ่อค้าจากจีนนำเข้ามาสู่ภูเก็ตในสมัยยุคเหมืองแร่ เซรามิกสีเขียวถูกร้อยเรียงในรูปทรงเรขาคณิตอย่างประณีต สร้างคอนทราสต์ให้กับชิ้นงานไฮจิวเวลรีที่จัดแสดง คอลเล็กชั่นไฮไลท์ในห้องนี้ ได้แก่ แหวน Tichodroma ที่โดดเด่นด้วยรูเบลไลท์ (ทัวร์มาลีนสีแดง) ทรงหลังเบี้ยที่งดงามไร้ที่ติ ขนาด 10.06 กะรัต จัดแสดงอยู่ท่ามกลางชิ้นงานจากคอลเล็กชั่น Panthère de Cartier ซึ่งรวมถึงสร้อยคอ Pompon, สร้อยคอ Panthère des Neiges, สร้อยคอ Ti Panthère และเรือนเวลา Tiny Tiger (เรือนเวลาจากคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง) นอกจากนี้ยังมีกำไลหลากดีไซน์จากคอลเล็กชั่น Indomptables de Cartier ที่นำเอาสัตว์ป่านานาพันธุ์ของ Cartier มาผสานรวมกันในหนึ่งครีเอชั่น
Silk
แตกต่างด้วยความพลิ้วไหวของผ้าไหมไทย แพทเทิร์นการทอที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน สอดรับและช่วยขับความงามของเครื่องประดับ Cartier ให้ยิ่งเด่นชัด ห้องนี้เต็มไปด้วยชิ้นงานที่น่าจดจำ ไล่เรียงตั้งแต่สร้อยคอและต่างหู Grattacielo หนึ่งในชิ้นไฮไลท์ของ คอลเล็กชั่นทั้งหมดที่จัดแสดงในครั้งนี้ ด้วยจี้เพชรบริสุทธิ์ Type IIa (พบได้เพียง 1% ของเพชรทั้งหมดในโลก) และยังมีเซ็ตสร้อยคอและต่างหู Intrico ซึ่งสื่อความหมายถึงความผูกพัน ด้วยดีไซน์ที่ถักทออย่างแนบชิด เซ็ตสร้อยคอ แหวน และต่างหู Voltea ที่หมายถึงแรงดันไฟฟ้ามอบอารมณ์ความรู้สึกมีพลัง และยังมีสร้อยคอ 1895 และ เซ็ต Unda ที่ประกอบไปด้วยสร้อยคำ กำไล และต่างหู ที่ล้วนให้ความรู้สึกเรียบหรูแต่ก็พลิ้วไหวดุจเส้นไหม
Wrought Iron
มอบอารมณ์ที่แตกต่างจากห้องอื่นๆ ด้วยตู้กระจกแก้ว ครอบด้วยโครงสร้างเหล็กดัดสีทองเทียบเคียงได้กับวัสดุที่พ่อค้า ชาวยุโรปแนะนำให้แก่ชาวภูเก็ตในสมัยก่อน เซ็ตสร้อยคอและต่างหู Miroitement เครื่องประดับชั้นสูงที่เปรียบดัง crown jewels ของนิทรรศการนี้ ถูกจัดแสดงอยู่ใจกลางของห้อง โดดเด่นด้วยเพชรสีน้ำเงินที่หายากที่สุดและล้อมด้วยเพชรบริสุทธิ์ D Flawless สร้อยคอนี้สามารถ transformable ใส่ได้หลากหลายแบบ ทั้งยังมี Coussin de Cartier กำไลเพชรรูปทรงคล้ายหมอน (คูชชัน) ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในแง่นวัตกรรมเนื่องจากโครงสร้างที่แลดูขึงขังกลับมีความอ่อนนุ่ม จบท้ายโชว์เคสด้วยเรือนเวลาจิวเวลรีประณีตศิลป์และเรือนเวลาประณีตศิลป์ (Fine Jewelry Watch & Fine Watchmaking) อย่าง Santos de Cartier Skeleton และ Pasha de Cartier Skeleton