Cartier จัดแสดงโชว์เคสไฮจิวเวลรีครั้งยิ่งใหญ่และครั้งแรกในประเทศไทยกับงาน ‘Cartier Beautés du Monde’

เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาในโลกออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยคลิปวิดีโอของสองสาวสวยอย่าง Jisoo Blackpink และ คิมเบอร์ลี่ แอนน์ โวลเทมัส ยืนคุยกันอย่างออกรสในงานค็อกเทลปาร์ตี้เพื่อเฉลิมฉลองงานโชว์เคสไฮจิวเวลรีระดับโลกครั้งแรกของ ‘Cartier’ ในประเทศไทยภายใต้ชื่อ Cartier Beautés du Monde ซึ่งนอกจากไฮไลต์ของงานอย่างสองสาวแล้ว ในงานสุดอลังการนี้ยังเต็มไปด้วยไฮจิวเวลรีและเรือนเวลาสุดหรูมากกว่า 300 ชิ้นที่จัดแสดงเพื่ออวดโฉมความงามสุดตระการตาให้กับชาวไทยที่ชื่นชอบในเครื่องประดับชั้นสูง 

คอลเลกชั่นไฮจิวเวลรีและเรือนเวลาของ Cartier นั้นไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์แห่งความหรูหราและสง่างามเท่านั้น แต่ชิ้นงานสุดวิจิตรเหล่านี้ยังแสดงถึงงานฝีมือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราว ความชำนาญ และคุณค่าผ่านประวัติศาสตร์มากมายที่ทาง Cartier อยากถ่ายทอดไปสู่ผู้สวมใส่และผู้ที่ได้เข้ามาชื่นชมกับเครื่องประดับชั้นสูงเหล่านี้ นอกจากนั้นไฮจิวเวลรีเหล่านี้นนั้นยังเต็มไปด้วยความงามที่เหนือกาลเวลาด้วยความปราณีตและใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอนการผลิตจนผลลัพธ์กลายมาเป็นคอลเล็กชั่น Beautés du Monde นี้ 

สำหรับใครที่สนใจงานโชว์เคสสุดยิ่งใหญ่และตระการตานี้ ทาง Cartier จะเปิดให้ประชาชนผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 เพียงวันเดียวเท่านั้น ใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ความงามสุดเลอค่าเหนือกาลเวลาสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อร่วมงาน Cartier Beautés du Monde ได้ที่ https://register.beautesdumonde.cartier.com ได้เลย 

Beautés Du Monde Collection

Cartier ได้เปิดตัวคอลเล็กชั่นไฮจิวเวลรีที่ชื่อว่า ‘Beautés Du Monde’ คอลเล็กชั่นจิวเวลรีที่ถ่ายทอดความงดงามตามธรรมชาติของโลกใบนี้ผ่านเหล่าอัญมณีสุดเลอค่าที่ถูกเสริมความงามด้วยงานดีไซน์ต่างๆ เช่น การวางเส้นสาย รูปทรงเรขาคณิต และศิลปะแบบนามธรรม นอกจากนั้นการใช้เหล่าอัญมณีจากธรรมชาติอย่างเชี่ยวชาญของแบรนด์ยังเป็นการเชิดชูความงดงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมต่างๆ สำหรับไฮจิวเวลรีที่นำมาโชว์เคสในครั้งนี้มาจากหลากหลายคอลเล็กชั่นกว่า 300 ชิ้นที่มีความล้ำค่าเหนือกาลเวลา

SAMBHAL

‘Tutti Frutti’ คือสัญลักษณ์ที่อยู่คู่ Cartier มาตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1920 ด้วยการจัดวางองค์ประกอบที่ดูสนุก ร่าเริงสดใสเบิกบานและน่ารับประทานไปพร้อมกัน และยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องอยู่เสมอ ผ่านการตีความใหม่ ดังเช่นสร้อยคอเส้นนี้ที่เมซงจินตนาการออกมาเป็นในสไตล์ ‘ปกเสื้อปีเตอร์แพน’ หรือที่คนไทยเรียกว่าปกบัวที่งดงามประณีต

IWANA

เครื่องประดับอีกหนึ่งชิ้นที่เป็นไฮไลต์ของงานนี้ โดยทาง Cartier ได้แรงบันดาลใจจากผิวหนังของกรีนอีกัวน่ามีผิวสัมผัสและมิติ สิ่งมีชีวิตจากธรรมชาติสุดเอ็กซ์โซติกนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้สตูดิโอออกแบบของเมซงสร้างสรรค์ผลงานเซตนี้ขึ้น โดยเผยให้เห็นความงามผ่านสร้อยคอที่ประดับประดาไปด้วยเพชร และมรกตจากประเทศโคลอมเบียขนาด 43.45 กะรัต โดยจัดเรียงอย่างแยบยลเพื่อล้อไปกับท่าทางการเคลื่อนไหวของกรีนอีกัวน่า นอกจากนั้นยังใช้รูปทรงสามเหลี่ยมเรขาคณิตเพื่อสะท้อนเทคนิคเชิงสถาปัตยกรรมเพื่อสร้างสรรค์มุมมองใหม่ให้กับไอเท็มไฮจิวเวลรี  

Beautés du Monde Fine Jewelry Collection

‘Beautés du Monde Fine Jewelry Collection’ คือเครื่องประดับไฟน์จิวเวลรี 3 ชุดที่ Cartier ได้รังสรรค์มาเพื่ออุทิศให้กับความงดงามของโลกใบนี้ด้วยเช่นกั

เครื่องประดับชุดแรกแสดงถึงความสนใจของ Cartier ที่มีต่อขนสัตว์และหนังของสรรพสัตว์มากว่าศตวรรษลวดลายของม้าลายจึงถูกนำมาตีความใหม่เพื่อประดับอยู่บนสร้อยคอในคอลเล็กชั่นชุดนี้ ในส่วนของโซ่นั้นลวดลายจะแลดูเป็นลายแฝงเชิงนามธรรมมากกว่าลายม้าลายที่เด่นชัดโดยใช้เพชร

เครื่องประดับชุดที่สองเกิดจากการตระหนักรู้ถึงพลังแห่งความงามตามธรรมชาติของ Cartier จึงได้นำเอาความสามารถนั้นมานำเสนอเป็นผลงานสร้างสรรค์มากมาย และในครั้งนี้เมซงได้นำแรงบันดาลใจจากต้นปาล์มซึ่งเคยถูกนำมาใช้ในการออกแบบเข็มกลัดทับทิมเมื่อปี 1957 

เครื่องประดับชุดที่สาม Cartier ได้นำอีกลวดลายจากธรรมชาติบนตัวผีเสื้อมาตีความใหม่โดยให้ความสำคัญกับปีกของผีเสื้อ ซึ่งถ้าเพ่งมองในระยะใกล้แล้วจะเห็นโครงสร้างของลวดลายที่สวยงามแปลกตาราวกับผลงานศิลปะเชิงนามธรรม 

นอกจากนั้นในงานนิทรรศการไฮจิวเวลรีสุดอลังการครั้งนี้ของ Cariter ยังมีเครื่องประดับอีกหลายชิ้นที่มาอวดโฉมให้แฟนๆ ชาวไทยได้ชื่นชมความวิจิตร เรื่องราวและงานฝีมือที่สอดแทรกอยู่ในเครื่องประดับแต่ละชิ้น ซึ่งเราจะยกมาอธิบายพอสังเขป 

เริ่มกันด้วยเซตแรกอย่าง ‘NOPAL’ (โนปาล คอลเล็กชั่น) สร้อยคอน้ำหนัก 102.17 กะรัต Cat’s eye Rubellite แหวน น้ำหนัก 44.08 กะรัต Cat’s eye Rubellite  ส่วนเซตที่สองคือ ‘PANDANA’ (ปองดานา คอลเล็กชั่น) ซึ่งเครื่องประดับไฮจิวเวลรีเซตนี้ Cartier ได้รังสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากรูปทรงและสีสันสดใสของผลไม้ต่างแดน ซึ่งเซตนี้เองที่คุณคิมเบอร์รี่ได้ใส่ไปร่วมงานปาร์ตี้ค็อกเทลของ Cartier 

เซตต่อมาคือ ‘NISHIN’ (นิชิน คอลเล็กชั่น) เซตไฮจิวเวลรีที่นำเสนอดีไซน์อันวิจิตรในรูปแบบนามธรรมความเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านกิโมโนรูปตัวที (T) ทรงยาวเน้นองค์ประกอบสีของอัญมณีให้สดใสเหมือนสีสันฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านกาลเวลามาบ่อยครั้ง ส่วนเซตที่สี่ชื่อว่า ‘POROCA’ (ปูฮูกจาร์ คอลเล็กชั่น) ที่มีลักษณะคล้ายทิวคลื่นที่ถูกกระตุ้นให้มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยได้แรงบันดาลใจจากสีน้ำเงินเข้มของไพลินจากเกาะซีลอน น้ำหนักกว่า 36.67 กะรัต 

และเครื่องประดับสองเซตสุดท้ายที่เรียกว่าโดดเด่นไม่แพ้ชิ้นอื่นๆ เลย เซตแรกมีชื่อว่า ‘ENIVRE’ (อองนีฟ คอลเล็กชั่น) ที่เมซงได้ออกแบบให้เป็นเหมือนสถาปัตยกรรมแห่งแสงที่ส่องกระทบสะกดสายตาระยิ

บระยับจับตาที่น่าหลงใหลชวนมอง รวมถึงองค์ประกอบรูปทรงที่ทำให้เรียวเพชรทรงเหลี่ยมและทรงเหลี่ยมแบบเกลี้ยงในโครงสร้างทรงเรขาคณิต และเซตสุดท้ายคุณ Jisoo ใส่ร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลอย่าง 

‘RAYUELA’ (ฮายูเอลา คอลเล็กชั่น) ที่ Cartier รังสรรค์การออกแบบด้วยมรกตจากโคลัมเบียให้เป็นรูปทรงมรกตห้าเหลี่ยมน้ำหนัก 6.84 กะรัต

นอกเหนือจากความงดงามของไฮจิวเวลรีที่ล้ำค่าแล้ว การออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อเนรมิต Cartier Beautés du Monde Bangkok Exhibition นับเป็นการสร้างประสบการณ์เหนือระดับครั้งแรกของเมืองไทยที่จะได้ยลโฉมการดีไซน์อันน่าทึ่ง จากการออกแบบโดย Jaime Hayon ดีไซเนอร์ชาวสเปน ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักออกแบบผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

อีกทั้งยังได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานการเผยโฉมห้อง Thai Patrimony ซึ่งรังสรรค์ขึ้นโดย ศรัณย์ เย็นปัญญา นักเล่าเรื่องผ่านงานดีไซน์และศิลปะชาวไทยเรียกได้ว่างานนี้ Cartier ได้ผสมผสานการออกแบบสถานที่โชว์เคสไฮจิวเวลรีระดับโลกจากสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน เพื่อให้คนไทยได้รับประสบการณ์ที่หาชมได้ยากเก็บเป็นภาพความทรงจำสุดประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต

Beautés du Monde Bangkok Exhibition ประกอบไปด้วย 5 ห้องหลัก คือ Lounge, Introduction Room, Patrimony Room, Exhibition Room และ Private Viewing Room ผู้ที่เข้ามาเยือน Beautés du Monde Bangkok Exhibition จะได้สัมผัสประสบการณ์จากห้องต่างๆ โดยห้องแรก จะเป็น Lounge ไว้คอยต้อนรับ หลังจากนั้นจะผ่านไปที่ห้อง Introduction Room จะเป็นห้องที่บอกเล่าเรื่องราวคอนเซปต์และการเดินทางของคอลเล็กชั่นนี้

หลังจากนั้นจะเป็นห้อง Thai Patrimony Room เป็นห้องจัดแสดง Cartier คอลเล็กชั่นทั้งหมด ออกแบบโดย ศรัณย์ เย็นปัญญา ส่วนห้องถัดไปจะเป็นห้อง Exhibition Room ที่จัดแสดงไฮไลต์ไฮจิวเวลรีชิ้นสำคัญจากการออกแบบโดย Jaime Hayon ส่วนห้องสุดท้าย เป็นห้อง Private Viewing Room สำหรับพื้นที่ส่วนตัวเพื่อการทดลองสวมใส่

ในแต่ละโซนได้จัดวาง Cartier คอลเล็กชั่นต่างๆ กับงานศิลปะไว้อย่างมีความหมายและลงตัว ไม่ว่าจะเป็น คอลเล็กชั่น Cartier , อัญมณี, การผลิตนาฬิกาและเครื่องประดับล้ำค่าที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ รวมถึงเรื่องราวมรดก Cartier ชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุย้อนไปถึงปี 1860 และชิ้นล่าสุดคือปลายศตวรรษที่ 20 โดยคอลเล็กชั่นของ Cartier มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีมากกว่า 3,000 ชิ้น โดยบางชิ้น Cartier ได้ประมูลกลับคืนมาแต่ไม่ใช่เพื่อนำมาเพื่อการค้า แต่เพื่อนำมาเป็นมรดกสืบทอดทางวัฒนธรรมและมรดกที่พิพิธภัณฑ์ทั่วโลกได้ยืมไปจัดแสดงผ่านเรื่องราวสำคัญต่างๆ

สรุปแล้ว Cartier Beautés du Monde Bangkok Exhibition ปรากฏการณ์โชว์เคสไฮจิวเวลรีระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย ที่รอให้ทุกคนมาร่วมแบ่งปันจินตนาการและผจญภัยไปในเส้นทางของตนเอง เพื่อเก็บเกี่ยวความงดงามของโลกใบนี้ผ่านสเปกตรัมแห่งแสงสี รูปทรงต่างๆ และวัสดุนานาชนิดที่เรียกความทรงจำให้กลับมาสร้างแรงบันดาลใจและพาให้เคลิ้มไปกับจินตนาการอันเลอค่าเหล่านั้น…ครั้งหนึ่งในชีวิตกับ Cartier 

Similar Articles

More