การจะเขียนถึงผลงานแรกของ Seán McGirr (ฌอน แมคเกอร์) สำหรับ (Alexander) McQueen เป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับผม เพราะในฐานะแฟนคลับซึ่งชื่นชมผลงานของนักออกแบบ 2 ยุคก่อนหน้า คือตัวผู้ก่อตั้ง Lee Alexander McQueen (ลี อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน) (1992-2010) และ Sarah Burton (ซาราห์ เบอร์ตัน) (2010-2023) ทำให้ภาพจำที่มีต่อแบรนด์ค่อนข้างชัดเจนและความประทับใจผลงานทรงคุณค่าในอดีตนั้นฝังรากลึก ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเข้าใจทิศทางใหม่ที่บริษัท Kering ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ต้องการทำกำไรเพิ่มขึ้น และต้องเผื่อใจว่าผลงานของผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์คนปัจจุบัน ทั้งภาพแคมเปญที่ปล่อยออกมาก่อนหน้า และบทสัมภาษณ์สำหรับสื่อใหญ่ไม่กี่วันก่อนจะมีโชว์นั้น “ผมจะนำความสดใหม่มาสู่ McQueen” อาจจะทำให้พบกับ McQueen ที่ไม่เคยรู้จัก … แต่! ก็ถือเป็นเรื่องชวนติดตามให้ลุ้นว่า McQueen คนใหม่จะเป็นเช่นไร?
รันเวย์ของ Alexander McQueen Men’s Spring/Summer 2006 และ McQueen Fall/Winter 2024
การเซตติ้งบนรันเวย์ที่ชวนให้นึกถึงคอลเล็กชั่นบุรุษฤดูร้อนปี 2006 เรื่อยมายังลุคของฆาตกรต่อเนื่องคนดังในประวัติศาสตร์โลก Jack The Ripper หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของ Lee McQueen แวมไพร์หนุ่มซึ่งอิงลุคจากคอลเล็กชั่นบุรุษฤดูหนาวปี 2006 และ David Bowie (เดวิด โบวี่) ไปจนถึงการใช้เชือกและสายรัดพันธนาการร่างกาย ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องกิจกรรมทางเพศแบบ fetish และผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวช พอทำให้เห็นภาพว่าหัวเรือคนใหม่ยังสุดดีมรดกที่ Lee McQueen ทิ้งไว้ แต่! (มีแต่อีกแล้ว) คงจะต้องเป็นแฟนตัวจริงของแบรนด์ จึงพอจะบอกได้ว่าลุคใดได้แรงบันดาลใจมาจากอาร์ไคว์ฟและลุคไอคอนิกชิ้นไหน เพราะกลิ่นอายดาร์กโรแมนติกแบบฉบับ McQueen ดูเจือจางมาก มากเสียจนหากลองปิดป้ายชื่อก็คงยากจะเดาว่าคือผลงานภายใต้ชื่อ McQueen
Alexander McQueen Men’s Fall/Winter 2006 และ McQueen Fall/Winter 2024
“ฉันว่ามันดูไม่เร้าใจ ถ้าขึ้นชื่อว่า McQueen ต้องดูเร้าใจ” – ผมเจอหนึ่งในคอมเมนต์น่าสนใจเกี่ยวกับคอลเล็กชั่นแรกของ Seán McGirr บนโซเชียลมีเดียที่ต้องบอกกันตามตรงว่าส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางเดียวกันคือ ค่อนข้างติดลบ แต่ก็เป็นจริงดังที่ผู้ใช้รายนี้กล่าวไว้ ห้องเสื้อ McQueen มีชื่อเสียงจากแฟชั่นหลุดโลก ดรามาติก แพทเทิร์นเอกลักษณ์ และต้อง ‘เร้าใจ’ หรือ ‘Provocative’ นักออกแบบทั้งสองยุคก่อนหน้าทั้ง Lee McQueen และ Sarah Burton นั้นมีเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อสารชัดเจน และเร้าให้ผู้ชมรู้สึกร่วมผ่านรูปแบบของโชว์และผลงาน ซึ่งงานเดบิวต์ของ Seán McGirr ยังไม่สามารถกระตุ้นความรู้สึกของแฟนคลับในส่วนนี้ได้ เมื่อประจวบกับภาพรวมคอลเล็กชั่นที่ดูไปกันคนละทิศละทาง ไปจนถึงการเลือกใช้เพลงของ Enya (เอนยา) ที่ดูชวนฝันแบบวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และผลงานของเจ้าตัวด้วยแล้ว จึงเป็นที่มาของเสียงวิจารณ์ในเชิงลบที่เกิดขึ้น
Alexander McQueen Men’s Fall/Winter 2007 และ McQueen Fall/Winter 2024
อีกกระแสด้านลบที่เกิดขึ้นคือความพยายามแทรกหลายลุคซึ่งทำให้นึกถึงผลงานของ Jonathan Anderson (โจนาธาน แอนเดอร์สัน) ที่ Seán McGirr เคยทำหน้าที่ผู้ช่วย หลายลุคนั้นเรียกได้ว่าแทบจะถอดมาแบบลุคต่อลุค … แต่นี่คือ McQueen! แบรนด์แฟชั่นที่คอแฟชั่นทั่วโลกหลงรัก และมรดกที่ Lee McQueen ทิ้งไว้นั้นก็ทรงคุณค่าราวกับบทประพันธ์ชั้นยอดที่เหล่าแฟนๆ คงทนไม่ได้เมื่อเห็นผู้กำกับคนใดหยิบไปปู้ยี่ปู้ยำหรือทำให้เขวออกนอกทางจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่! (แต่สุดท้ายแล้วครับ) เชื่อว่า Seán McGirr คงเข้ามารับตำแหน่งนี้พร้อมกับความกดดันมหาศาล การจะสานต่อตำนานของสุดยอดนักออกแบบทั้ง Lee McQueen และ Sarah Burton โดยปราศจากการเปรียบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งทั้งสองคนสร้างผลงานทรงคุณค่าเอาไว้มากมาย จึงทำให้ความคาดหวังที่มีต่อผลงานแรกของ Seán McGirr นั้นสูงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Alexander McQueen Fall/Winter 2009 และ McQueen Fall/Winter 2024
Alexander McQueen Men’s Fall/Winter 2004 และ McQueen Fall/Winter 2024
ท้ายที่สุดก็วกกลับมาที่สถานะแรกของผมที่เกริ่นไว้ ‘แฟนคลับ’ ที่ประทับใจเรื่องราวของแฟชั่นเฮาส์หลังนี้ จึงยังขอเอาใจช่วยและลุ้นผลงานในฤดูกาลต่อไปของ McQueen ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Seán McGirr ผมเชื่อว่าเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและเริ่มหาทิศทางที่ใช่สำหรับทั้งตัวเองและตัวแบรนด์ได้แล้ว ก็หวังว่าเราจะได้เห็น McQueen คนใหม่ก้าวตามโลก ดูร่วมสมัย มีเอกลักษณ์ชัดเจน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมตัวตนที่แท้ เพราะมรดกของ Lee McQueen ชิ้นนี้ทรงคุณค่าเกินกว่าที่จะทำลายด้วยวิสัยทัศน์ด้านการตลาดและผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว