ความงามสองขั้วของแคลิฟอร์เนีย จาก Joshua Tree สู่ Palm Springs ในทริปเดียว

Photographer: Kimberly Yvette Goodnight
Landscape Photographer: Koko Nichakul, George Rose

หากพูดถึงการท่องเที่ยวในรัฐแคลิฟอร์เนีย หลายคนอาจนึกถึงลอสแอนเจลิสที่เต็มไปด้วยแสงสี หรือซานฟรานซิสโกที่มีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย แต่หากลองขับรถออกมาจากตัวเมืองใหญ่เพียงไม่กี่ชั่วโมง คุณจะได้พบกับโลกอีกใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและพลังงานบางอย่างที่จับต้องได้ ที่นั่นคือ Joshua Tree National Park อุทยานแห่งชาติที่มีเอกลักษณ์ทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จนกลายเป็นจุดหมายในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก 

From L.A. to Joshua Tree 

Joshua Tree ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1994 แต่ก่อนหน้านั้นพื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญทั้งต่อชนพื้นเมืองและผู้บุกเบิกตะวันตก ชื่อ Joshua Tree มาจากต้นไม้ทะเลทรายที่มีรูปร่างประหลาดคล้ายผู้คนยกแขนสวดอ้อนวอน ซึ่งตามตำนานเล่าว่า กลุ่มนักเดินทาง Mormon Pioneer ตั้งชื่อเช่นนี้เพราะต้นไม้เหล่านี้ดูคล้ายกับโยชูวา (ผู้นำชาวอิสราเอลในพระคัมภีร์) กำลังยกมือชี้ทางไปสู่ดินแดนพันธสัญญา

จากลอสแอนเจลิสสามารถขับรถมุ่งหน้าไปยัง Joshua Tree ได้ในเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร เส้นทางหลักคือการใช้ Interstate 10 (I-10) แล้วต่อด้วย Highway 62 ซึ่งเป็นทางเข้าสู่เขตอุทยาน หากใครไม่อยากขับรถเองก็มีทัวร์แบบ One Day Trip ให้เลือก แต่การขับรถเองจะให้ความยืดหยุ่นในการแวะชมสถานที่ต่างๆ ได้มากกว่า

จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของ Joshua Tree ได้แก่ Hidden Valley ซึ่งเป็นเส้นทางเดินป่าระยะสั้นที่เหมาะกับทุกวัย เต็มไปด้วยหินรูปร่างแปลกตาและพรรณไม้ทะเลทราย อีกจุดที่ไม่ควรพลาดคือ Keys View จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นหุบเขา Coachella Valley ได้กว้างสุดสายตา โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตกดิน และไม่ควรลืมที่จะแวะ Cholla Cactus Garden ทุ่งกระบองเพชรชนิด Cholla ที่ขึ้นเรียงรายอย่างหนาแน่น ราวกับสวนประติมากรรมธรรมชาติ

จาก Joshua Tree ไป Palm Springs

เมื่อขับรถออกจากอุทยานราวหนึ่งชั่วโมง ก็จะเข้าสู่ Palm Springs เมืองรีสอร์ตกลางทะเลทรายที่ตัดกับความดิบเถื่อนของ Joshua Tree อย่างสิ้นเชิง ราวกับเดินทางจากโลกธรรมชาติสู่โลกแห่งสถาปัตยกรรมและแฟชั่น Palm Springs มีชื่อเสียงด้าน Mid-Century Modern Architecture ซึ่งเฟื่องฟูตั้งแต่ทศวรรษ 1950s บ้านพักและรีสอร์ตในเมืองนี้มักมีเส้นสายที่เรียบง่าย ผสมผสานกระจกบานใหญ่กับเส้นตรงและมุมแหลม โดยออกแบบให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศทะเลทราย บ้านหลายหลังยังใช้โทนสีพาสเทลสดใสและประตูไม้บานเดี่ยวที่กลายเป็นไอคอนิคของเมือง

Palm Springs เป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายที่ดึงดูดทั้งคนดังฮอลลีวู้ดและนักเดินทางทั่วไป เหตุผลที่ได้รับความนิยมก็น่าจะ ได้แก่ สภาพอากาศที่อบอุ่นเหมาะแก่การพักผ่อนตลอดทั้งปี ที่นี่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การพักตากอากาศของคนดัง ตั้งแต่ยุค Frank Sinatra, Elvis Presley จนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญคือความหลากหลาย ทั้งกิจกรรมกลางแจ้ง สนามกอล์ฟ และเทศกาลศิลปะดนตรี เช่น Coachella Festival ที่จัดใกล้เคียง แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมีหลากหลายอย่างเช่น Palm Springs Art Museum ศูนย์รวมศิลปะสมัยใหม่ งานประติมากรรม และนิทรรศการท้องถิ่น และเมื่อมาถึงเมืองที่สวยงามเช่นนี้แล้วก็ไม่ควรพลาด Downtown Palm Springs ถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยร้านกาแฟเก๋ๆ แกลเลอรี และร้านวินเทจ รวมไปถึงผู้ที่หลงรักในเสียงดนตรีด้วยเช่นกัน 

แฟชั่นของ Palm Springs สะท้อนอารมณ์สนุกสนานแบบรีสอร์ตและการใช้ชีวิตกลางทะเลทราย เราจะได้เห็นลุค Retro Glamour ผสมกับความสดใสทันสมัย เสื้อผ้าสีสด จับคู่กับแว่นกันแดดทรงวินเทจ หมวกปีกกว้าง และชุดว่ายน้ำสไตล์ย้อนยุค ลายพิมพ์เขตร้อนและเรขาคณิตก็มักปรากฏในเสื้อผ้าและของตกแต่งบ้าน สำหรับสุภาพบุรุษที่มาเยือน Palm Springs มักเลือกสวมเสื้อเชิ้ตผ้าลินินหรือผ้าฝ้ายระบายอากาศดีในโทนสีพาสเทลหรือสีสด ตัดกับกางเกงขาสั้นทรงคลาสสิกและรองเท้า loafers หรือ espadrilles ที่ให้ความรู้สึกทั้งสบายและมีสไตล์ บางคนอาจเลือกเสื้อฮาวายลายวินเทจเพื่อเข้ากับบรรยากาศทะเลทราย ขณะที่แว่นกันแดดทรงนักบินและหมวก fedora ก็กลายเป็นไอเท็มคู่ใจที่ขาดไม่ได้ สะท้อนภาพลักษณ์สุภาพบุรุษที่มีทั้งความเนี้ยบและความผ่อนคลายแบบรีสอร์ตได้อย่างลงตัว 

แรงบันดาลใจสำคัญยังมาจากไอคอนสุภาพบุรุษยุคฮอลลีวู้ดคลาสสิกที่เคยใช้ Palm Springs เป็นสถานที่พักผ่อน เช่น Frank Sinatra, Dean Martin หรือแม้แต่ Elvis Presley ซึ่งต่างก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นี่ ภาพของพวกเขาในชุดสูทผ้าลินินสีอ่อนริมสระว่ายน้ำ หรือเสื้อเชิ้ตเปิดคอคู่กับกางเกงทรงตรงได้กลายเป็นสัญลักษณ์แฟชั่นเหนือกาลเวลาที่สะท้อนความเป็น ‘Palm Springs Gentleman’ ได้อย่างแท้จริง และยังคงส่งอิทธิพลต่อการแต่งกายของผู้มาเยือนเมืองนี้จนถึงปัจจุบัน

เมืองนี้เต็มไปด้วยรีสอร์ตและบูทีคโฮเทลที่ออกแบบอย่างมีสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ตหรูริมสระว่ายน้ำ หรือโฮเทลขนาดเล็กที่ตกแต่งแนวย้อนยุค ตัวเลือกยอดนิยม เช่น The Parker Palm Springs รีสอร์ตหรูที่ผสมผสานความทันสมัยและดีไซน์เฉพาะตัว หรือจะเป็น Ace Hotel & Swim Club โด่งดังในหมู่วัยรุ่นสายฮิปสเตอร์ และ Korakia Pensione ที่พักแนวโรแมนติกผสมผสานสถาปัตยกรรมโมร็อกโกและเมดิเตอร์เรเนียน

การเดินทางไปมาระหว่าง Joshua Tree มาสู่ Palm Springs เปรียบเสมือนการเคลื่อนย้ายจากโลกธรรมชาติสู่โลกแห่งดีไซน์และศิลปวัฒนธรรม Joshua Tree มอบประสบการณ์การสัมผัสธรรมชาติอันเงียบสงบและเต็มไปด้วยพลังงานแห่งทะเลทราย ขณะที่ Palm Springs คือโอเอซิสที่เต็มไปด้วยสีสัน สถาปัตยกรรมสุดคลาสสิกและแฟชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ หากหนุ่มแอลเมนกำลังมองหาการท่องเที่ยวที่ครบทั้งธรรมชาติ ศิลปะ และไลฟ์สไตล์ การเดินทางบนเส้นทางนี้จะกลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน 

Similar Articles

More