Written by Afdol Salah
เมื่อพูดถึง ‘แฟชั่น’ กับ ‘ความเป็นเพศ’ เรามักถูกสอนให้แยกราวแขวนเสื้อผ้าออกเป็นสองฝั่งอย่างไม่มีข้อแม้ ฝั่งหนึ่งคือเข็มขัดหนังและสูททรงตรงไร้เอวของผู้ชาย อีกฝั่งคือเดรสสีชมพู ผ้าโปร่ง และลูกไม้ของผู้หญิง ฟังดูเป็นระเบียบ เรียบง่าย และตายตัว แต่ความจริง ราวแขวนเสื้อผ้าเหล่านั้นไม่เคยเรียงตัวตามเพศ ได้อย่างไร้รอยต่อแบบที่เราเคยเชื่อ หลายไอเทมที่วันนี้ถูกจัดวางให้ ‘เป็นเเค่ของผู้หญิง’ แท้จริงแล้วมีจุดเริ่มต้นเพื่อผู้ชายเช่นกัน ก่อนจะถูกจัดวางใหม่ตามมายาคติของเพศที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา และแฟชั่นกระเเสหลัก ก็ทำหน้าที่เป็นช่างเย็บมือดี ที่ค่อยๆ ตัด เย็บ แปะป้าย และจัดวางแบ่งเเยกทุกอย่าง ลงในราวแขวนตามเพศอย่างแนบเนียน
ในช่วง Pride Month นี้ ที่โลกกำลังเฉลิมฉลองความหลากหลายของตัวตน คอลัมน์ #ELLEMEN5Facts ขอพาไปสำรวจ 5 ไอเทมที่ ‘ผู้ชายก็เคยใช้’ แต่กลับถูกกลืนหายไปด้วยการเมือง ศีลธรรม วัฒนธรรม และตลาด ก่อนจะหวนคืนสู่ร่างเดิมอย่างสง่างามบนรันเวย์ เพื่อแสดงให้เห็นคำว่า Gender Fluid ไม่เคยหายไปจากพจนานุกรมแฟชั่นเลย
#1 กระโปรง ชายผ้าผืนกับการทวงคืนตัวตนของผู้ชาย

หากคุณนึกภาพผู้ชายใส่กระโปรงแล้วรู้สึกขัดตา นั่นอาจไม่ใช่เพราะกระโปรงไปอยู่ ‘ผิดที่’ แต่เพราะคุณกำลังตกหลุมมายาคติแบบตะวันตกในศตวรรษที่ 19 เพราะก่อนหน้ากระโปรงคือเครื่องแต่งกายหลักของผู้ชายในแทบทุกอารยธรรม
ตั้งแต่ชายชาวโรมันผู้ห่ม Tunic (ทูนิก) และ Toga (โทกา) เสื้อคลุมชายยาวคล้ายเดรสที่ความยาวและเนื้อผ้าสื่อถึงชนชั้นและสถานะ หรือจะเป็นชายชาวกรีกในชุด Chiton (ชิทอน) ชาวสก็อตใน Kilt (คิลต์) ชาวอียิปต์ใน Shendyt (เซนติ) ไม่ว่าพวกแต่ละอารยธรรมจะเรียกมันว่าอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ‘มันคือกระโปรง’ และมันคือสัญลักษณ์ของความสง่างาม พลัง และศักดิ์ศรีของผู้ชาย ณ สมัยนั้น
จนกระทั่งแนวคิด ‘เพศคู่ตรงข้าม’ (gender binary) ค่อย ๆ แข็งตัวขึ้นหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18–19 ผู้ชายในยุคนั้นถูกคาดหวังให้แต่งตัวด้วย ‘เครื่องแบบของการทำงาน’ สูททรงตรง กางเกงผ้าหนา และรองเท้าหนังปลายแหลม กระโปรงจึงค่อยๆ ถูกขับออกจากตู้เสื้อผ้าผู้ชาย และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความอ่อนแอ’ ที่โลกชายเป็นใหญ่โยนให้ผู้หญิงอย่างเป็นทางการ
แต่กระโปรงไม่เคยตายจากวงการแฟชั่นเพราะปี 1984 Jean Paul Gaultier พาผู้ชายในกระโปรงเดินรันเวย์อย่างท้าทายครั้งแรก และมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนชีพ หรือ Thom Browne กับการออกแบบกระโปรงเทเลอร์ทรงกล่องที่สง่างามแบบไม่ต้องสนใคร อย่าลืมกับ Comme des Garçons Homme Plus ที่มักใช้กระโปรงในการสร้างภาพลักษณ์ของความลื่นไหลที่ไม่ยอมถูกนิยาม
กระโปรงจึงไม่ได้กลับมาเพราะอยากเป็น ‘แฟชั่นทวนกระแส’ แต่มันกลับมาเพราะโลกแฟชั่นรู้ดีว่าเพศไม่ควรถูกเย็บติดไว้กับชายผ้าอีกต่อไป และในยุคที่ Pride Month ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่คือการยืนยันสิทธิในความเป็นตัวตน กระโปรงของผู้ชายจึงไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์ แต่กำลังทวงคืนพื้นที่ที่เคยเป็นของมัน
#2 รองเท้าส้นสูง ยกระดับความเเข็งเเรงทางชนชั้นผ่านส้นเข็ม

ผู้เขียนคิดว่า ต้นกำเนิดการใส่ส้นสูงไม่ใช่เพียงเพราะอยากดูสูง “but they wanted to stand above the rest.” เพราะเรื่องราวของรองเท้าส้นสูงนั้น ไม่ได้เริ่มต้นที่เวทีประกวดนางงามหรือรันเวย์ผู้หญิง แต่เริ่มต้นจากอานม้า และสนามรบ ในศตวรรษที่ 10 ทหารเปอร์เซียสวมรองเท้าส้นสูงเพื่อให้ส้นเท้าติดแน่นกับบังเหียนขณะยิงธนูจากหลังม้า การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของกลยุทธ์การรบ แต่คือการสร้างภาพแทนอำนาจผ่านเกือกคู่งามที่แฝงพลังความแข็งแกร่ง ไม่นานส้นสูงก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นบน โดยเฉพาะในหมู่ขุนนางผู้เพรียวบางและปรารถนาจะ ‘ดูสูงส่ง’ ในทั้งความหมายตรงและความหมายโดยนัย จนกระทั่งในศตวรรษที่ 17 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ก็ทรงบัญญัติกฎแฟชั่นใหม่ให้เหล่าราชสำนักชายสวมรองเท้าส้นแดงเท่านั้น เพื่อแสดงสถานะในการปกครองคนชนชั้นกลางถึงล่าง เเละยังเป็นการบอกสิทธิพิเศษของผู้ครองอำนาจในสมัยนั้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 หรือยุคที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า The Great Male Renunciation ส้นสูงกลับต้องถูกโยนลงจากบัลลังก์แฟชั่นพร้อมกับคอร์เซ็ต ปกจีบ ลูกไม้ และสีสันฉูดฉาด เพราะโลกกำหนดให้ผู้ชายที่ดีควรเงียบ เรียบ และไม่ดึงความสนใจ
แต่แฟชั่นไม่เคยเงียบได้นานเพราะยุค Androgyny Renaissance ในช่วง 2000s คือเสียงสะท้อนกลับของการปลดเเอคการกดทับนี้ เมื่อเหล่าดารา ศิลปิน ได้ร่วมกันจรดปลายเท้าในรองเท้าส้นสูง อวดโฉมเย้ยมายาคติที่เคยถูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็น Conan Gray ในงาน MTV 2022 กับรองเท้าส้นสูงสีเมทาลิก หรือนักร้องอย่าง Troye Siwan บน Met Gala ปี 2021 ซึ่งปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ คือการแสดงให้เห็นว่าส้นสูงไม่ใช่แค่เรื่องแต่งกาย แต่มันคือการยืนหยัดในตัวตน และสไตล์ที่โลกไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป
#3 Thong V-strings ผืนผ้าเล็กจิ๋ว กับประวัติศาสตร์ที่ใหญ่กว่าบั้นท้าย

อย่าเพิ่งเบ้หน้าเมื่อได้ยินคำว่า ‘Thong’ หรือ ‘จีสตริง’ ไอเท็มชั้นในชิ้นน้อยที่โลกมักผูกมันเข้ากับภาพจำของนางฟ้า Victoria’s Secret หรือภาพความเซ็กซี่สุดขีดในยุค MTV แต่จริง ๆ แล้ว Thong ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่ของผู้หญิง และไม่เคยเป็นของใครคนเดียวเลย
ย้อนไปให้สุด เมื่อ 42,000 ปีก่อนคริสตกาล Thong เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกาโบราณ จากผืนหนังสัตว์ที่มนุษย์ยุคแรกใช้พันสะโพกเพื่อปกป้องบัั้นท้ายจากสายตาผู้คน ก่อนที่อารยธรรมอียิปต์โบราณและกรีซจะรับไม้ต่อเครื่องเเต่งกายนี้
ตัดภาพมาที่ยุค 1800s Thong ถูกตีบทใหม่ กลายเป็นกระจับสำหรับนักกีฬา ที่ใช้ในการปกป้องอวัยวะเพศชายระหว่างการแข่งขัน จนกระทั่งปี 1939 ที่งาน World Trade Fair ในนิวยอร์ก เมื่อนายกเทศมนตรี Fiorello La Guardia สั่งห้ามระบำเปลื้องผ้าเปลือยเปล่า เหล่านักเต้นจึงเฉลียวหยิบThong ขึ้นมาสวม มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพเรือนร่างที่ ‘ยังคงรักษามารยาทอยู่’
แต่เรื่องมันหักเลี้ยวเมื่อโลกเข้าสู่ยุค Heteronormative Capitalism โลกชายเป็นใหญ่เริ่มกำหนดว่า จีสตริงคือ ‘ของผู้หญิง’ พร้อมแพ็กเกจจิ้งให้มันกลายเป็นของต้องห้ามในโลกของชายแท้ กางเกงในจิ๋วจึงถูกยัดไว้ในลิ้นชักของอุตสาหกรรมเซ็กซ์ และซ่อนไว้ใต้ความอายของเพศชาย ทั้งที่มันเคยเป็นของพวกเขามาก่อนด้วยซ้ำ
แล้ววันหนึ่งบนรันเวย์ Diesel และ Ludovic de Saint Sernin ปี 2022 ก็เกิดการทวงคืนอย่างกล้าหาญ Thong กลับมาในฐานะของ Sex Positive menswear และทำหน้าที่ในการปลดปล่อยร่างกายของผู้ชายจาก บ็อกซ์เซอร์ พวกเขา re-claim ความเป็นชายให้มีสิทธิ์จะโปร่ง โล่ง และพลิ้วไหวอีกครั้ง
เพราะสุดท้ายแล้วนักเขียนยังคงยืนยันว่า Thong is not just sexy it’s a revolution between the butt cheeks.
#4 ลิปสติก สีแห่งศักดิ์ศรี ที่ถูกสงวนให้กลายเป็น ‘ของผู้หญิง’

ลิปสติกไม่ได้เริ่มต้นจากริมฝีปากของนางแบบ หรือกระเป๋าเครื่องสำอางของใครทั้งนั้น แต่มันเริ่มจาก ‘อำนาจ’ ย้อนกลับไปยังอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เเม้จะมีจุดเริ่มต้นจากสุภาพสตรีชนชั้นสูง แต่ไม่นานนัก ลิปสติกก็กลายเป็นของเล่นใหม่ของสุภาพบุรุษในยุคโบราณ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมที่ศิลปะแห่งการตกแต่งร่างกายคือการแสดงสถานะ
ในอียิปต์โบราณ ฟาโรห์ผู้ทรงอำนาจใช้สีเข้มเติมแต่งริมฝีปาก ไม่ใช่เพื่อความงามแบบสตรี แต่เพื่อแสดง ‘ศักดิ์ศรีของผู้ปกครอง’ เช่นเดียวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ได้ชื่อว่าเป็นแฟชั่นไอคอนยุคต้น ที่แต่งหน้าอย่างไม่สนใจเพศสภาพ
แต่เมื่อยุโรปถูกปกคลุมด้วยอุดมคติแบบ Protestant Work Ethic ที่ถือว่าร่างกายต้องสงวน ต้องประหยัด และต้องไม่ยั่วยวนใคร ‘ความงาม’ กลายเป็นของต้องห้ามสำหรับผู้ชาย ลิปสติกและการแต่งหน้าถูกผลักไสให้เป็นของผู้หญิง ผู้ชายที่กล้าทาสีบนใบหน้าอาจต้องถูกลงโทษ ใช้แรงงาน หรือจำคุก โดยเฉพาะยุควิคตอเรียน ยุคล่าอาณานิคม และสงครามโลกทั้งสองช่วง คือช่วงเวลาที่เพศชาย ‘ละทิ้งความปรารถนาจะงดงาม’ แล้วหันมาสวมเกราะของหน้าที่ ความแข็งแกร่ง และความเป็นประโยชน์แทน
แต่โลกหมุนกลับอีกครั้งในยุค 2010s พร้อมกับการมาถึงของ K-pop ไม่ว่าจะเป็น BIGBANG, SHINee, 2PM, EXO, Super Junior ที่ไม่ได้แค่ปลุกเสียงกรี๊ดในฮอลล์ทั่วโลก แต่ยังปลุกสิทธิของผู้ชายในการ แต่งหน้า อย่างไม่ต้องสนใคร อีกทั้งปรากฎการณ์การกำเนิดของไลน์เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายที่เริ่มวางขายจากแบรนด์ใหญ่ ๆ ทำให้ลิปสติกกลับมาสู่ริมฝีปากของผู้ชายอีกครั้ง
#5 ยาทาเล็บ ร่องรอยแห่งอำนาจบนปลายนิ้ว

ก่อนที่โลกจะตัดสินว่าการ ‘ทำเล็บ’ เป็นเรื่องของสาวหวานในร้านพิงก์พาสเทล ความจริงทางประวัติศาสตร์กลับเล่าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ในราชสำนักจีน หรือญี่ปุ่นยุคเฮอัน เล็บยาวที่ประดับทอง สี และเครื่องประดับ คือเครื่องหมายแห่งอภิสิทธิ์ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่ถ้าย้อนลึกไปอีกในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ราว 3,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช นักรบแห่งอาณาจักรบาบิโลน ก็มีการ ‘ทาเล็บ’ ด้วยสีดำและเขียว โดยแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจนผ่านสีที่ปลายนิ้ว โดยวัตถุดิบหลักคือผงเเร่ Galena (กาลีนา) และ Stibnite (สติบไนต์) ซึ่งมีความแวววาวแบบโลหะ ทาเล็บและตา เพื่อสร้างลุคที่น่าเกรงขามในสนามรบ
แต่ยุคอุตสาหกรรมกลับพลิกมุมมอง ผ่านการบอกว่า ‘มือของผู้ชายควรหยาบกร้าน’ เพราะเป็นเครื่องหมายของคนทำงาน การทำเล็บจึงถูกมองเป็นของเสียหาย เเละเสียเวลา
วันนี้ศิลปินชายระดับโลกอย่าง Bad Bunny, Lil Yachty, Harry Styles และนักกีฬาอย่าง Lewis Hamilton กลับมาใช้เล็บเป็น ‘พื้นที่ทางการเมืองของความเป็นชาย’ ที่บอกเล่าสไตล์ของตัวเองผ่านลวดลายบนปลายนิ้ว รวมถึงประกฎการณ์ในประเทศไทยอย่าง Gel Boy ที่ออกมาสร้างภาพของเด็ก เจนใหม่ต่อความหลากหลายในการเเต่งกาย และเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการสนับสนุนเทรนด์เเฟชั่น Gender Fluid เป็นเสมือน Pride on the Fingertips
ในโลกที่เสื้อผ้าถูกวางเรียงในร้านตาม ‘เพศ’ มากกว่าตาม ‘รสนิยม’ เราอาจหลงลืมไปว่าแฟชั่นเคยเป็นของผู้ชายที่ใส่กระโปรง ผู้ชายที่ใส่ส้นสูง ผู้ชายที่ทาปากแดง ผู้ชายที่ใส่จีสตริง หรือผู้ชายที่เคยทำเล็บ Pride Month นี้จึงไม่ใช่แค่การฉลองความหลากหลายทางเพศ แต่มันคือการเรียกคืนประวัติศาสตร์ที่โลกแฟชั่นเคยมี และเป็นการกระซิบให้เราได้ทบทวนว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดอย่างเสื้อผ้า ก็ไม่เคยมี ‘เพศ’ เลยตั้งแต่ต้น