รวมฮิต ‘สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง’ ฉากหลังรันเวย์แฟชั่นสุดอลังการ!

จากแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นล่าสุดอย่าง Pre-Fall 2023 ของ Dior ภายใต้การกุมบังเหียนของ Kim Jones (คิม โจนส์) ที่เขาได้พาหนุ่มๆ Dior ท่องไปในดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณ ‘ไอยคุปต์’ ขนทัพเหล่านายแบบ ทีมงาน และแขกผู้ร่วมงานหลายร้อยชีวิตบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังประเทศอียิปต์เพื่อจัดแฟชั่นโชว์สุดไอคอนิคครั้งนี้ขึ้น โดยหยิบยืม ‘มหาพีระมิดแห่งกีซ่า’ เป็นฉากหลังของแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ และถือเป็นครั้งแรกที่แบรนด์แฟชั่นมาจัดโชว์ขึ้นที่หน้ามหาพีระมิด ทำให้คอลเล็กชั่นนี้ของ Dior ฝั่งชายเป็นหนึ่งในแฟชั่นโชว์ที่มีสถานที่จัดโชว์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของโลกแฟชั่น เพราะนอกจากความสวยงามแบบหาใครเทียบ สถานที่ไอคอนิคนี้ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


ความเชื่อมโยงระหว่างฉากหลังอย่างมหาพีระมิดแห่งเมืองกีซากับแฟชั่นโชว์ของ Dior คอลเล็กชั่นนี้นั้นก็มีความสอดคล้องกันไม่น่าเชื่อ เพราะภายใต้ตำแหน่งอาร์ทิสติกไดเร็กเตอร์แผนกเสื้อผ้าชายของเมซงสุดเก่าแก่ทำให้ คิม โจนส์ ต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปดึงเอารหัสการออกแบบ และดีเอ็นเอในอดีตของเมซงแห่งนี้มาผสมผสานกับงานออกแบบอันทันสมัยของเขาอยู่เสมอ ในคอลเล็กชั่นนี้คิมได้หยิบเอางานออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงเก่าจากแผนกสตรีของเมซง Dior มาปัดฝุ่นให้กลายเป็นเมนส์แวร์กลิ่นอาย Sci-Fi ที่โดนใจคนแฟชั่นไปเต็มๆ 

การพบกันระหว่าง ‘สิ่งเก่า’ กับ ‘สิ่งใหม่’ กลายเป็นหัวใจของคอลเล็กชั่นนี้ ดังที่เราเห็นมหาพีรามิดแห่งกีซ่ามาพบกับแฟชั่นโชว์ล่าสุดของ Dior และการพบกันระหว่างงานออกแบบในอดีตของแฟชั่นดีไซเนอร์ในตำนานอย่าง Christian Dior (คริสติยง ดิออร์) กับผลงานการออกแบบเสื้อผ้าสุดโมเดิร์นของ คิม โจนส์ ดังนั้นฉากหลังของแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่บอกเล่าแรงบันดาลใจและเรื่องราวเบื้องหลังของคอลเล็กชั่นนี้ แถมยังเป็นเครื่องมือในการสร้างเอนเกจเม้นให้กับโชว์ได้อย่างมหาศาลและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ให้กับแวดวงแฟชั่นกับการเป็นแฟชั่นโชว์แรกที่ได้มาจัดงานหน้าสถานที่อันแสนสำคัญแห่งนี้


ถ้าหากเราย้อนดูในหน้าประวัติศาสตร์ แฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ของ Dior ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหล่านักออกแบบแฟชั่นพาเราตะลุยไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแทนการเซ็ตฉากสุดอลังการขึ้นมาในหัวเมืองแฟชั่นเพื่อเป็นสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ของพวกเขา เพราะการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอันแสนสวยงามนั้นสามารถช่วยคอมพลีตให้คอลเล็กชั่นของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบสอดคล้องกับแรงบันดาลใจในการออกแบบ และสถานที่สุดแฟนตาซีเหล่านี้ยังสามารถเรียกแสงสปอตไลต์สำหรับคนแฟชั่น และผู้บริโภคทั่วโลกให้มาติดตามผลงานของพวกเขาได้เป็นอย่างดี

และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่เหล่านักออกแบบพาเราบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังสถานที่สุดแฟนตาซี นั่นก็คงเป็นเพราะสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกเหล่านี้สามารถสร้าง ‘มนตร์สะกด’ ให้กับเหล่าผู้ชมได้ซึ่งเป็นสิ่งหน้าที่สำคัญของแบรนด์แฟชั่นต้องสร้างมนตร์เสน่ห์แห่งความฝันให้กับเหล่าผู้บริโภคสินค้าแฟชั่นในการดึงดูดพวกเขาเข้ามาบริโภคสินค้า วันนี้เราจะพาทุกคนไปชมสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกที่เคยถูกเลือกให้เป็นสถานจัดแสดงแฟชั่นโชว์ของเมซงหลายๆ แห่งมาแล้ว จะมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งใดบ้างไปดูกัน!


El Badi Palace, Morocco 

แม้ว่าแผนกเสื้อผู้ชายของ Dior นั้นจะเล่นใหญ่พาเราบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ดินแดนไอยคุปต์ แผนกเสื้อผ้าผู้หญิงก็เคยเล่นใหญ่ไม่แพ้กันในคอลเล็กชั่น Resort 2020 ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์หญิงคนเก่ง Maria Grazia Chiuri (มาเรีย กราเซีย คิอูรี) ลัดฟ้าไปจัดโชว์ใน ‘El Badi Palace’ หรือ ‘พระราชวังเอลบาดี’ ในเมืองมาราเกช ประเทศโมร็อกโกมาแล้ว ภายใต้บรรยากาศยามค่ำคืนที่เหล่านางแบบของแบรนด์ได้เดินไปรอบสระน้ำขนาดใหญ่ของพระราชวังเก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งถูกประดับประดาด้วยคบเพลิงที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ

นอกจากนี้ยังมีคบเพลิงขนาดใหญ่มอบความสว่างไสวยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศสุดเคร่งขรึมสไตล์แอฟริกาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชม เสื้อผ้าในโชว์นี้ก็เรียกได้ว่าผสมผสานระหว่างรหัสการออกแบบของ Dior เข้ากับวัฒนธรรมแอฟริกันได้อย่างลงตัว โดยใช้ผ้า พิมพ์ลาย และตัดเย็บด้วยซิลูเอ็ตในสไตล์โมร็อกโกเพื่อถ่ายทอดผลงานคอลเล็กชั่นรีสอร์ตได้อย่างวิจิตรและ อีกทั้งทางแบรนด์ยังได้ร่วมมือกับศิลปินและช่างฝีมือท้องถื่นในการรังสรรค์โชว์นี้ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบและได้ดีวาในตำนานอย่าง Diana Ross (ไดอานา รอสส์) มาขับร้องเพลงปิดโชว์ 


Trevi Fountain, Italy 

แม้ตัวจะจากไปแต่คุณูปการที่เขาได้ทิ้งไว้ให้กับโลกแฟชั่นนั้นมีมากมายจนได้รับฉายาว่า ‘The King of Fashion’ กับสุดยอดนักออกแบบอย่าง Karl Lagerfeld (คาร์ล ลาเกอร์เฟล) หนึ่งในนั้นก็คือผลงานการออกแบบที่เขาได้ถ่ายทอดไว้ให้กับแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลีอย่าง Fendi และที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกก็คงนี้ไม่พ้นโชว์ Haute Couture Fall/Winter 2017 ที่เฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปี จัดขึ้นที่ ‘Trevi Fountain’ หรือ ‘น้ำพุเทรวี’ สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของนครมิลาน ประเทศอิตาลี ที่เมื่อใครมาเยี่ยมเยียนเมืองหลวงอันเก่าแก่นี้ก็จะต้องมาเยี่ยมชมและโยนเหรียญเพื่อขอพรสักครั้งหนึ่ง 

โดยความสัมพันธ์ระหว่าง Fendi และน้ำพุเทรวีก็เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนกันเพราะว่าในปี 2013 ทางแบรนด์นั้นได้บริจาคเงินกว่า 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อบูรณะน้ำพุแห่งนี้ ก่อนที่ในปี 2016 แบรนด์จะจัดแฟชั่นโชว์โอต์กูตูร์เพื่อสร้างสเตทเมนต์ครั้งใหญ่ โดยตกแต่งด้วยรันเวย์กระจกโค้งไปตามรูปทรงของน้ำพุเพื่อขับให้พื้นหลังและคอลเล็กชั่นนั้นโดดเด่นที่สุด จนทำให้คนแฟชั่นนั้นประทับใจกับโชว์นี้จนไม่อาจลืมเลือน


The Great Wall of China, China 
กำแพงเมืองจีน กรุงปักกิ่ง, จีน สถานที่จัดแสดงผลงานของ Fendi คอลเล็กชั่นพิเศษในปี 2007 โดย Karl Lagerfeld 

อีกหนึ่งโชว์ที่ทุ่มทุนสร้างกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Fendi จัดโชว์สุดตระการตานี้ขึ้นมา เรียกว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้โชว์ไหนๆ เพราะทางแบรนด์บินลัดฟ้าจากอิตาลีไปสู่ประเทศจีนเพื่อจัดแฟชั่นโชว์พิเศษในปี 2007 ณ หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง ‘กำแพงเมืองจีน’ โดยโชว์นี้ประกอบไปด้วยไอเท็มเสื้อผ้าที่มีซิลูเอ็ตสุดหรูหราในโทนสีดำ ขาว และแดง ซึ่งสีสุดท้ายเป็นสีมงคลตามความเชื่อของชาวจีนทำให้คอลเล็กชั่นนี้ได้ใจชาวจีนไปเต็มๆ นอกจากนั้นการที่ยกขบวนนางแบบขึ้นไปเดินบนสถานที่สำคัญแห่งนี้ได้ทางแบรนด์ต้องเจรจากับรัฐบาลจีนและหน่วยงานต่างๆ เพื่อเปลี่ยนกำแพงเมืองจีนให้กลายเป็น Fashion Venue สุดตระการตาในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นได้ 

อีกหนึ่งนัยสำคัญของโชว์คอลเล็กชั่นพิเศษนี้คือการบุกตลาดจีนนำร่องจนหลายๆ แบรนด์แฟชั่นนั้นได้วางเป้าหมายคนจีนเป็นตลาดหลักในการวางหน่ายสินค้า หรือพูดง่ายๆ ว่า Fendi เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ตีตลาดจีน (ยุคใหม่) ก่อนที่แบรนด์แฟชั่นทั่วโลกรวมถึงแบรนด์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ จะเล็งเป้ามาที่ประเทศจีนว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ทำเงินให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล


Paseo del Prado, Cuba 
ถนนปาเซโอเดลปราโด้ กรุงฮาวานา, คิวบา สถานที่จัดแสดงผลงานของ Chanel Resort 2017 โดย Karl 
Lagerfeld

“Havana, Ooh Na-Na” หลายคนอาจจะคุ้นเคยชื่อเมืองหลวงจากท่อนนี้ของเพลง Havana โดย Camila Cabello (กามิลา กาเบโย) แต่ความจริงแล้วนอกเหนือบทบาทในเพลงฮิตแห่งยุคแล้วเมืองนี้ยังเต็มไปด้วยเสน่ห์ในสไตล์แบบแคริบเบียนที่น่าสนใจมากๆ จนในปี 2016 ทาง Chanel เมซงสุดเก่าแก่จากปารีสต้องย้ายโลเคชั่นจากกรองด์ปาเลส์มาจัดบนถนนเส้นหลักอย่าง ‘Paseo del Prado’ ใจกลางกรุงฮาวานา สาธารณรัฐคิวบา เพื่อถ่ายทอดมนตร์เสน่ห์เขตร้อนแบบละตินที่ไม่เหมือนใครในคอลเล็กชั่นรีสอร์ต 2017 และถือเป็นงานแฟชั่นโชว์ครั้งแรกที่จัดขึ้นในประเทศคิวบาหลังมีการปฏิวัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นในประเทศ 

ถนน Paseo del Prado ถูกปิดการจราจรเพื่อให้ขบวนนางแบบของ Chanel เดินทอดน่องไปตามรันเวย์ เสื้อผ้าสำหรับการพักผ่อนที่ผสมผสานความเฟมินีนและมาสคิวลีนได้อย่างลงตัว แถมในคอลเล็กชั่นนี้ยังประกอบไปด้วยเครื่องประดับกลิ่นอายทรอปิคอลอีกมายมายที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมคิวบาและวัฒนธรรมแถบแคริบเบียนและลาตินอเมริกาได้เป็นอย่างดี ได้แก่ หมวกปานามา หมวกเบเรต์ รวมไปถึงซิการ์ที่ช่วยมาคอมพลีตโชว์นี้ให้คูลอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้นยังมีรถวินเทจนับร้อยคันมาประกบเหล่าแขกที่เข้าร่วมโชว์แต่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ไม่สามารถหาได้ที่ไหนนอกจากกรุงฮาวานาอีกแล้ว 


The Valley of the Temples, Italy 
หุบเขาแห่งวิหารอากรีเจนโต แคว้นซิซิลี, อิตาลี สถานที่จัดแสดงผลงานของ Dolce&Gabbana Alta Moda 2019 

แฟชั่นโชว์ต่อมาเป็นอีกหนึ่งโชว์ที่วิจิตรงดงามทั้งเสื้อผ้าและสถานที่จัดโชว์เลยกับโชว์ Dolce&Gabbana Alta Moda 2019 ที่จัดขึ้นที่ ‘The Valley of the Temples’ หรือ ‘หุบเขาแห่งวิหาร’ ในเมืองอากรีเจนโต แค้วนซิซิลี ประเทศอิตาลี สถานที่แห่งนี้เป็นโบราณสถานยุคกรีกโบราณที่มีความสวยงามถ่ายทอดเสน่ห์ของศิลปะแบบกรีก-โรมันได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญในฐานะตัวแทนของศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณอีกด้วย

Dolce&Gabbana Alta Moda คราวนี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหล่าทวยเทพกรีก ซึ่งสถานที่อย่างหุบเขาแห่งวิหารนั้นก็เป็นพื้นหลังชั้นเยี่ยมในการช่วยถ่ายทอดแรงบันดาลใจออกมาได้เป็นอย่างดี ส่งให้เสื้อผ้าชั้นสูงสไตล์เทพีกรีกออกมาสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติตามสไตล์แบรนด์แฟชั่นสุดแกลมของอิตาลีแบรนด์นี้ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วในหมู่คนแฟชั่นว่าไลน์ Alta Moda หรือไลน์แฟชั่นชั้นสูงของแบรนด์นั้นจัดงานแฟชั่นโชว์ได้อย่างยิ่งใหญ่และตระการตาอยู่แล้ว การเลือกสถานที่สุดยิ่งใหญ่สอดคล้องกับแรงบันดาลใจของคอลเล็กชั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากนั้นอีกหนึ่งความเอ็กซ์คลูซีฟของโชว์นี้คือการเป็นแฟชั่นโชว์แรกที่มาจัดที่โบราณสถานแห่งนี้ 


Agafay Desert, Morocco 

เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในเมืองมาราเกช ประเทศโมร็อกโก ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดแฟชั่นโชว์ของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ซึ่งสถานที่นั้นก็คือ ‘Agafay Desert’ หรือ ‘ทะเลทรายอากาเฟย์’ ที่ Saint Laurent เลือกใช้สถานที่นี้ในการจัดโชว์ Spring/Summer 2023 Menswear ใจกลางทะเลทรายนักท่องเที่ยวหลายๆ คนตกหลุมรัก ด้วยความผูกผันกับเมืองมาราเกช ประเทศโมร็อกโกของผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent (อีฟ แซงต์ โลรองต์) ที่มีต่อเมืองการค้าเมืองนี้ของทวีฟแอฟริกาใต้จนเขาได้นำแรงบันดาลใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมแอฟริกันมาเป็นอีกหนึ่งตัวตนของสาว YSL นอกจากนั้นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของเขานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับทวีฟแอฟริกาเหนือทั้งนั้น

จึงทำให้ Anthony Vaccarello (แอนโทนี วัคคาเรลโล) ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนปัจจุบันของ Saint Laurent นั้นพยายามสื่อสารและถ่ายทอดคอลเล็กชั่นเมนส์แวร์นี้ไปสู่คนแฟชั่นในสถานที่ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของ Yves ด้วยการประดับตกแต่งทะเลทรายอากาเฟย์ด้วยสระน้ำทรงกลมที่มีประติมากรรมรูปวงกลมประดับไว้ โดยงานศิลป์ชิ้นนี้สามารถเปล่งแสงและปล่อยควันได้อีกทั้งยังสามารถตั้งขึ้นลงเพื่อคอมพลีตโชว์ให้สมบูรณ์แบบ ล้อไปกับเมนส์แวร์งานเทเลอร์สไตล์ Gender-Fluid ที่ดูพริ้วไหวรับกับฤดูกาล Spring/Summer อย่างไร้ที่ติ


Venetian Arsenal, Italy 

โดยปกติแล้วแบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาเลียนมักจะจัดโชว์ในสองเมืองใหญ่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศอย่าง มิลาน หรือโรม แต่ในโอกาสพิเศษต่างๆ แบรนด์แฟชั่นอิตาเลียนจะมุ่งหน้าไปจะจัดโชว์ในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในอิตาลีเพื่อถ่ายทอดเสน่ห์แบบอิตาเลียนเคียงคู่ไปกับงานออกแบบแฟชั่นของพวกเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ‘เวนิส’ เมืองท่องเที่ยวสุดสำคัญอีกหนึ่งเมืองของอิตาลี ในปี 2021 มีแบรนด์ถึงสองแบรนด์บังเอิญมาจัดโชว์โอต์กูตูร์ในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิสอย่าง ‘Venetian Arsenal’ หรือ ‘พิพิธภัณฑ์เรือและปืนใหญ่เวนิส’ เพื่อยืมสายน้ำที่ไหลวนผ่านเมืองมากเสน่ห์นี้เป็นฉากหลังของแฟชั่นโชว์  

พิพิธภัณฑ์เรือและปืนใหญ่เวนิส เวนิส, อิตาลี สถานที่จัดแสดงผลงานของ Dolce&Gabbana Alta Sartoria 2021

โดยแฟชั่นโชว์แรกได้มายืมสถานที่อันโอ่อ่าของอู่ซ่อมเรือ Gaggiandra (กาจจานดรา) ภายใน Venetian Arsenal กับคอลเล็กชั่นโอต์กูตูร์ Fall/Winter 2021 ของ Valentino โดยรันเวย์สีขาวถูกเซตขึ้นภายในอู่ซ่อมเรือโบราณแห่งนี้ ความคอนทราสต์ระหว่างเซตติ้งอันเรียบง่ายกับสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ของอู่ซ่อมเรือส่งให้เสื้อผ้าชั้นสูงหลากเฉดสีในโชว์นี้โดดเด่นและหรูหราเป็นอย่างมาก และส่งให้กลายเป็นโชว์ที่น่าสนใจอันดับต้นๆ ของในฤดูกาลนั้นเลย สำหรับอีกหนึ่งโชว์ที่ขอย้ายสถานที่จากแคว้นซิซิลีมาสู่เมืองการค้าโบราณของอิตาลีเมืองนี้อย่าง Dolce&Gabbana Alta Sartoria 2021 ไลน์เสื้อผ้าชั้นสูงฝั่งผู้ชายของแบรนด์ที่ก็จัดบริเวณอู่ซ่อมเรือโบราณนี้เช่นกันเพื่อส่งให้ผลงานสำหรับผู้ชายสุดแกลมนี้ดูเข้าถึงง่ายต่างจากสถานที่เดิมๆ ที่ Dolce&Gabbana ชอบไป   


Valensole Lavender Fields, France

มนตร์เสน่ห์ของชนบทที่ Simon Porte Jacquemus (ซิมง ปอร์ต ฌักมูส) ได้นำมาถ่ายทอดผ่านผลงานการออกแบบเสื้อผ้าจนความงามแบบแอฟฟอร์ตเลสนี้ได้กลายดีเอ็นเอของแบรนด์ไปแล้ว ซึ่งหลายๆ คอลเล็กชั่นก่อนหน้านี้ซิมงก็พยายามสอดแทรกมนตร์เสน่ห์เหล่านี้ผ่านสถานที่จัดแฟชั่นโชว์มาโดยตลอด ที่เห็นชัดก็คงจะเป็นเมนส์แวร์  Spring/Summer 2018  ที่เขาพาหนุ่ม Jacquemus ออกไปวิ่งเล่นริมชายหาด แต่คอลเล็กชั่นนั้นก็ไม่ได้รับกระแส Break the Internet เท่ากับโชว์นี้ ในคราวนี้เขาไปพบกับสถานที่สุดตระการตาอย่างทุ่งลาเวนเดอร์ รันเวย์สีชมพูฟิวเชียทอดยาวกลางทุ่งดอกไม้กว่า 500 เมตรได้แรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะของ Christo & Jeanne-Claude (คริสโต และฌานน์-โคล้ด) กับ David Hockney (เดวิด ฮอกนีย์) เพื่อขับให้เสื้อผ้าสุดแคชชวลของกลายเป็นดาวเด่นของโชว์ 

หากทุกคนจำได้ในปี 2019 ภาพทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตาถูกแชร์ไปทั่วโลกออนไลน์เนื่องจากทุ่งลาเวนเดอร์อันโด่งดังประจำแคว้นโพรวองซ์แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแฟชั่นโชว์ของ Jacquemus Spirng/Summer 2020 ทุ่งลาเวนเดอร์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองวาลองโซ, โพรวองซ์, ประเทศฝรั่งเศส เพื่อจัดโชว์นำเสนอคอลเล็กชั่นที่มีชื่อว่า ‘Le Coup de Soleil’ (เลอ คูป์ เดอ โซเลย) ซึ่งความพิเศษของโชว์นี้คือการจัดโชว์ขึ้นในวันครบรอบ 10 ปี ของแบรนด์พอดิบพอดี และยังเป็นการนำเสนอเมนส์แวร์และวูเมนส์แวร์รวมกันครั้งแรกของแบรนด์อีกด้วย 

Similar Articles

More