Words: จอน
กว่า 1 เดือนเต็มที่การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ขับเคี่ยวอย่างสนุกสุดมัน ในที่สุดก็ได้คู่ชิงชนะเลิศที่สมน้ำสมเนื้อ โดยเป็นการโคจรมาพบกันระหว่าง ‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน กับ ‘สิงโตคำราม’ ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเกมดังกล่าว จะเกิดขึ้นในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2024 ณ สนามโอลิมเปีย สตาดิโอน ประเทศเยอรมัน เวลา 02.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) โดยเกมนี้มีเรื่องราวให้น่าติดตามมากมาย และแฟนบอลทุกท่าน จะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

ทีมที่จะครองตำแหน่งแชมป์มากที่สุด vs ทีมที่จะได้แชมป์สมัยแรก

ทีมชาติสเปน เข้าแข่งขันทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2024 ในฐานะอดีตแชมป์ 3 สมัย (1964, 2008, 2012) มากที่สุดเทียบเท่ากับ ทีมชาติเยอรมัน (1972, 1980, 1996) เจ้าภาพของศึก ยูโร ครั้งนี้ ซึ่ง ‘อินทรีเหล็ก’ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปแล้ว ด้วยน้ำมือของ ‘กระทิงดุ’ นั่นเอง
ทำให้หากขุนพล ‘ลา โรฆา’ คว้าแชมป์ ยูโร 2024 ได้ พวกเขาจะเป็นชาติแรกที่คว้าแชมป์ยุโรป ได้ถึง 4 สมัย มากที่สุดตลอดกาลแต่เพียงผู้เดียว
ขณะที่ทีมชาติอังกฤษ พวกเขาตามหาแชมป์ยูโรสมัยแรกอย่างยาวนาน โดยเคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ 2 สมัย ในปี 1968 และ 1996 ก่อนจะทะลุเข้าชิงชนะเลิศ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2021 แต่ทว่าต้องอกหักพ่ายแพ้ ทีมชาติอิตาลี คาสังเวียนลูกหนังเวมบลีย์ ชนิดที่แฟนบอล ‘ทรีไลออนส์’ ต้องน้ำตาท่วม
การฝ่าฟันจนเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งของ ‘สิงโตคำราม’ บนแผ่นดินเยอรมัน คู่ปรับตลอดกาล ไม่มีโจทย์อื่นใด นอกจากต้องพาแชมป์สมัยแรก กลับบ้านให้ได้เท่านั้น

สวยงาม vs กระท่อนกระแท่น เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศที่แตกต่าง

ทีมชาติสเปนมีสถิติที่ยอดเยี่ยมในศึกยูโรครั้งนี้ โดยชนะมาแล้ว 6 นัดรวด เริ่มต้นจากชนะรวด 3 เกมในรอบแรก เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีเต็ม นับตั้งแต่ปี 2008 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ ชนิดที่เก็บคลีนชีทได้ทุกนัดอีกด้วย ในกลุ่มที่มีทั้ง อิตาลี, โครเอเชีย และ แอลเบเนีย
หลังจากนั้น ‘กระทิงดุ’ ก็ดุอย่างต่อเนื่องในรอบน็อคเอาท์ เริ่มจากถล่ม จอร์เจีย 4-1 ตามด้วยชนะ เยอรมัน 2-1 และชนะ ฝรั่งเศส 2-1 ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งชัยชนะ 6 เกมรวด ยิงได้ 13 ประตู และเสียเพียง 3 ลูก คือฟอร์มการเล่นที่สวยสดงดงามของทีมชาติสเปน อย่างแท้จริง
แตกต่างจาก ‘สิงโตคำราม’ โดยสิ้นเชิง เพราะทีมชาติอังกฤษ ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แบบกระท่อนกระแท่น เริ่มจากชนะ 1 นัด และเสมอ 2 นัด ในรอบแรก โดยยิงได้แค่ 2 ลูก และเสียไป 1 ประตู
ก่อนจะผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ และเกือบเอาตัวไม่รอด เพราะโดนนำก่อนทุกเกม เริ่มจากไล่ตีเสมอ สโลวาเกีย 1-1 ในช่วงนาทีบาปของรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนชนะ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ตามด้วยรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดน สวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นนำไปก่อน แต่ก็เอาตัวรอด ไล่ตีเสมอ และชนะได้ในการดวลลูกโทษ
และล่าสุดในรอบตัดเชือก ก็มาโดน เนเธอร์แลนด์ ออกนำไปก่อน แต่ก็มายิงแซงชนะได้ 2-1 ซึ่งประตูชัย ก็เกิดขึ้นในนาทีบาปอีกครั้ง จากผลงานของ โอลลี่ วัตกิ้นส์

ถึงกระนั้น นั่นคืออดีต ไม่ว่าจะผ่านเข้ามาอย่างสวยงาม หรือ กระท่อนกระแท่น แต่สุดท้ายแล้ว เกมแมตช์ชิงฯ ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่ และใช้ 90 นาทีที่จะเกิดขึ้น เป็นตัวตัดสิน ‘แชมเปี้ยน’
สถิติ ‘สิงโตเหนือกว่ากระทิง’ แต่นั่นคืออดีตเช่นกัน

สำหรับ ทีมชาติอังกฤษ และ ทีมชาติสเปน ถือเป็นสองชาติชั้นนำ ที่มีประวัติยาวนาน โดยทั้งคู่เคยพบกันมาแล้ว 27 เกม ซึ่งอังกฤษมีสถิติที่ขี่กว่าเล็กน้อย ชนะไปได้ 14 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ 10 นัด โดยชัยชนะของ ‘ทรีไลออนส์’ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นช่วงก่อนทศวรรษที่ 80 ซึ่งในช่วงระหว่างปี 1960-1980 อังกฤษเคยชนะสเปน ถึง 7 นัดติดต่อกันมาแล้ว
แต่ถ้านับช่วงหลังยุคมิลเลนเนียมตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ทั้งคู่พบกันทั้งหมด 9 ครั้ง และเป็นทีมชาติสเปน ชนะได้ 5 นัด ส่วน อังกฤษ ชนะ 3 นัด และเสมอกัน 1 เกม โดยเกมล่าสุดที่พบกัน เกิดขึ้นในศึกฟุตบอล ยูฟ่า เนชันส์ ลีก ในปี 2018 ซึ่งครั้งนั้น ทีมชาติอังกฤษ ชนะไปได้ 3-2
ลามิน ยามาล vs จู๊ด เบลลิ่งแฮม การพบกันของเด็กมหัศจรรย์แห่งยุค

ลามิน ยามาล เด็กมหัศจรรย์จากสโมสรบาร์เซโลน่า ที่เติบโตมาจากศูนย์ฝึก ลา มาเซีย กลายเป็นนักเตะที่ถูกพูดถึงอย่างมาก หลังทุบสถิติเป็นว่าเล่นในศึก ยูโร ครั้งนี้
ทั้งสร้างสถิติแข้งอายุน้อยที่สุด ที่ยิงได้ในศึก ยูโร รอบสุดท้าย ด้วยวัยเพียง 16 ปี กับ 362 วัน ในเกมที่ชนะ ฝรั่งเศส 2-1 โดยก่อนหน้านี้ ลามิน เพิ่งสร้างสถิติทั้ง ทำแอสซิสต์ และคว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ด้วยวัยที่น้อยที่สุด ในศึก ยูโร รอบสุดท้าย แบบหมาดๆ
นี่คือ นักเตะที่แฟนบอลทีมชาติสเปน ต่างภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และแน่นอนในส่วนของ ทีมชาติอังกฤษ ก็มีนักเตะมหัศจรรย์อายุน้อย ที่แฟนบอล ‘สิงโตคำราม’ ภาคภูมิใจเช่นกัน

‘จู๊ด เบลลิ่งแฮม’ กองกลาง วัย 21 ปี ในบทบาทจอมทัพทรีไลออนส์ ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง หลังพา เรอัล มาดริด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้ง ลา ลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้
โดยเขาเป็นกองกลางที่เด่นทั้งเกมรุก และเกมรับ ซึ่งสิงโตคำรามจะขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด และประตูสำคัญที่ตีเสมอ สโลวาเกีย ในช่วงนาทีบาป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่พาทรีไลออนส์เดินทางมาถึงจุดนี้ บ่งบอกได้ดีว่า จู๊ด มีอิทธิพลต่อทีมชาติอังกฤษแค่ไหน

การพบกันของ ยามิน กับ จู๊ด ในเกมสำคัญที่แฟนบอลทั้งโลกเฝ้ารอคอย เป็นอีกหนึ่งฉากลูกหนัง ที่แฟนบอลจะพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด
รูปเกม และความน่าจะเป็น

ด้วยฟอร์มการเล่นอันเอกอุของลูกทีม หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ ที่คงปรัชญาฟุตบอลเกมรุก รวดเร็ว สวยงาม ต่อบอลเท้าสู่เท้าได้ดี แม่นยำ และมีผู้เล่นด้านข้างตัวฉกาจ ทำหน้าที่เลี้ยงจี้บดขยี้คู่แข่ง ทั้ง นิโก้ วิลเลี่ยมส์ และ ยามิน ยามาล โดยมี ฟาเบียน หลุยซ์, ดานี่ โอลโม่ และ โรดริโก้ คอยคุมจังหวะ และเติมความฉาบฉวยในแนวลึก
แน่นอนว่ากระทิงดุพร้อมลงสนามด้วยวิถีการเล่นของพวกเขา และเปิดหน้าท้าชนใส่สิงโตคำรามอย่างแน่นอน
ส่วน ทีมชาติอังกฤษ แม้ว่าจะถูกปรามาสในเรื่องฟอร์มการเล่น แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ “การเน้นความรัดกุม” ตามสไตล์เฮดโค้ชอย่าง แกเร็ธ เซาท์เกต
ทรีไลออนส์พร้อมเล่นเกมยื้อ ตื้อไว้ก่อน ไม่ได้ก็ไม่เสีย โดยมีโอกาสสูงที่จะเล่น หลังสามบวกสองมิดฟิลด์ตัวกลาง ที่คอยทำลายเกมรุกคู่แข่ง อย่าง ดีแคลน ไรซ์ และ คอปปี้ ไมนู
เป็นเกมที่ต่างฝ่ายต่างก็มีวิธีการของตัวเอง เพื่อเป้าหมายที่เหมือนกัน นั่นคือ การเป็นแชมป์และสำหรับเกมนี้ประตูแรก ถือว่าสำคัญอย่างมาก สามารถกำหนดผลการแข่งขันได้เลย ในแมตช์ที่มีเดิมพันสูงลิบลิ่ว และถูกจับตามองจากแฟนบอลทั่วโลก
ก็ต้องมาดูกันว่า ‘บัลลังก์แชมป์ และโทรฟี่ใบใหญ่ง ที่ใครก็ถวิลหา ท้ายที่สุดแล้ว จะตกเป็นของ ‘กระทิงดุ‘ หรือ ‘สิงโตคำราม’ กันแน่…..
