ฉลาม ความกลัว และพฤติกรรมทางเพศ! การกลับมาของที่สุดความโหดผู้ครองพื้นที่จอเงินตลอดกาล

ฉลามกลับมาอีกแล้ว! … สัตว์ดุแห่งท้องทะเล อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของความน่ากลัวในโลกภาพยนตร์ระทึกขวัญสั่นประสาท กลับมาครองพื้นที่ในปี 2023 เพราะมีภาพยนตร์ระทึกขวัญทั้งฟอร์มใหญ่และเล็กนับสิบเรื่องที่ยกให้ฉลามยักษ์เป็นตัวเอก อาทิ ภาคต่อของโคตรฉลาม The Meg ในชื่อ The Meg: The Trench ที่หลายคนรอคอย The Black Demon ที่อาจไม่ถูกพูดถึงเท่ากับรายแรก แต่เมื่อได้ลองชมภาพยนตร์ตัวอย่างแล้วน่าสนใจไม่แพ้กัน และ Ninja vs Shark หนังพล็อตแปลก ที่จับความต่างให้มาเจอกันได้ ทำเอาคนที่หลงใหลภาพยนตร์แนวนี้ (รวมผมด้วยนั้น) ต้องถูกใจ เพราะเฉลี่ยแล้วแทบจะมีให้ชมกันเกือบทุกเดือน

การกลับมาของเจ้าฉลามยังสะท้อนภาพในอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลกว่า ภาพยนตร์ Thriller/Horror ที่ทำให้ผู้ชมลุ้นระทึก ผ่านการสนองความอยากรู้อยากเห็นด้านมืดของมนุษย์และประสบการณ์ที่ไม่กล้าเผชิญในโลกความจริงนั้น สามารถเรียกเม็ดเงินและยอดเข้าใช้บริการสตรีมมิ่งได้ทุกยุคสมัย แต่ละปีจะมีภาพยนตร์แนวนี้ออกมาตอบสนองความต้องการของท้องตลาดกันเป็นปกติ เพียงแต่ปีนี้ ปีที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคโพสต์โควิดอย่างเป็นทางการและผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตบนวิถีที่คุ้นชินนั้นมีออกมามากสักหน่อย เพราะหนังระทึกขวัญครองอันดับต้นๆ ของหมวดภาพยนตร์ที่กวักมือเรียกให้ผู้ชมชักชวนกันเข้าไปชมในโรง หรือเตรียมขนมขบเคี้ยวสำหรับทานระหว่างนั่งชมในบ้านช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

‘ฉลาม’ ถือเป็นอีกสัญลักษณ์ของความน่าสะพรึงกลัวในโลกภาพยนตร์ที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนมานานครึ่งศตวรรษ โดยสูตรความสำเร็จที่ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายใต้ท้องทะเลครองสถานะนี้และสามารถนำมาทำกำไรให้ค่ายหนังได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต้องยกความดีความชอบให้ผู้กรุยทางนาม สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) จากอดีตที่อยู่ในสถานะผู้กำกับหน้าใหม่ กลายมาเป็น ‘พ่อมดแห่งโลกภาพยนตร์’ ได้ด้วยงานมาสเตอร์พีซระดับตำนานปี 1975 เรื่อง Jaws เจ้าฉลามกินคนสามารถสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง จนทำให้ไม่มีคนกล้าลงเล่นน้ำอยู่พักใหญ่ เป็นการนำเรื่อง ‘ความกลัว’ มาใช้เป็นจุดขายที่ทำให้ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเกินคาด

สตีเวนได้พลิกโฉมการทำการตลาดภาพยนตร์สำหรับเข้าฉายในช่วงหน้าร้อน หรือ Summer Blockbuster ซึ่งในยุค ’70s นั้นยังถือเป็นช่วงโลว์ซีซัน เขาใช้วิธีโปรโมตกันแบบโต้งๆ ว่าในหนังเรื่องนี้กำลังจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฉลามกินคน จะได้พบกับเลือดสาดกระเซ็นเต็มหน้าจออย่างที่หนังเกรด B นิยมโปรโมตกัน ทำการโฆษณาผ่านทางโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้เป็นวงกว้าง จำกัดโรงฉายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำไปเล่าแบบปากต่อปาก นอกจากทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกอยากชมแล้ว ยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่รวดเร็วและได้ผลในยุคที่โลกยังไม่ถูกขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดีย

อีกมุมน่าสนใจที่มาคู่ประเด็นการประสบความสำเร็จของภาพยนตร์แนวนี้คือผลงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า ผู้คนจำนวนมากที่ชื่นชอบเรื่องระทึกขวัญและความกลัวนั้นไม่ใช่ ‘สายดาร์ก’ หรือจมอยู่กับมุมมืดแต่อย่างใด โดยผลงานวิจัยในต่างประเทศระบุว่าผู้ที่นิยมชมภาพยนตร์แนวนี้เป็น ‘กลุ่มคนที่สามารถรับมือและยังแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ รวมทั้งเอาชีวิตรอดได้เป็นอย่างดี’ สอดคล้องกับแนวคิดพื้นฐานของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักธรรมชาติวิทยาผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อและนำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ “ความกลัวจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากเราไม่รับรู้ว่าสิ่งนั้นน่ากลัว และความกลัวยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอยู่รอดของบรรดาสิ่งมีชีวิต ความกลัวเป็นสัญชาตญาณที่ถูกถ่ายทอดต่อกันมา”

ความกลัวกลายมาเป็นอีกกลไกในการช่วยชีวิต ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจว่า ‘จะสู้หรือถอย’ ซึ่งเป็นวิถีธรรมชาติในการป้องกันตัวเองของทั้งมนุษย์และสัตว์ เป็นดังที่ วิสลาวา ซิมบอร์สกา (Wisława Szymborska) นักเขียนชาวโปแลนด์คนสำคัญได้อธิบายถึงเรื่องความน่ากลัวในนิทานสำหรับเยาวชน ‘แท้จริงแล้วเด็กส่วนใหญ่ชื่นชอบการเสพความกลัวจากนิทาน เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมความต้องการเผชิญหน้าและรับมือกับสิ่งต่างๆ นิทานสำหรับเด็กมีทั้งเรื่องให้ตื่นเต้นจากการผจญภัยและเรื่องลุ้นระทึกคละเคล้ากันไป เป็นการเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ให้แก่หนูน้อยที่ยังมีประสบการณ์ชีวิตไม่มากนัก’

อีกรายที่เปิดเผยถึงด้านดีของการเกิดความกลัวและลุ้นระทึกขณะชมภาพยนตร์คือนักจิตบำบัดคนดัง จอห์น คูเซล (John Kuziel) เขาได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนสร้างความตื่นเต้น ‘อะดรีนาลิน’ และฮอร์โมนแห่งความเครียด ‘คอร์ติซอล’ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ว่านี้มีความสำคัญต่อการรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้อวัยวะส่วนต่างๆ ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ

และอีกเรื่องที่อาจทำให้ชาวแอลเมนชอบใจคือการชมภาพยนตร์แนวนี้ยังส่งผลต่อเรื่องความสุขทางเพศ เมื่อมีผลการทดลองของนักจิตวิทยาที่ทำการทดสอบ ให้ชายหนุ่มเดินข้ามสะพานสูงเป็นร้อยเมตร มีทั้งสะพานที่มั่นคงและโคลงเคลง โดยมีปลายทางเป็นสาวหน้าตาดีที่รอแจกเบอร์โทร ผลการทดลองคือผู้ชาย 9 คน จาก 33 คนบนสะพานโคลงเคลงนั้นจะโทรหาสาวหน้าตาดีที่ว่า ขณะที่อีกฝั่งมีเพียงแค่ 2 คนที่โทรหา เมื่อรวมกับการศึกษาพฤติกรรมด้านอื่นควบคู่กัน จึงพอสรุปได้ว่าความกลัวมีส่วนในการกระตุ้นพฤติกรรมเรื่องเพศ ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจว่าทำไมคู่รักหลายรายมักจูงมือกันไปชมภาพยนตร์ระทึกขวัญ เพราะนอกจากใช้ทริคทำเป็นแนบชิดยามถึงซีนทำให้ตกใจได้แล้ว ความรู้สึก ‘อยากเป็นที่พึ่งพา’ ประชิดตัวเข้าหาคนข้างกายจะเกิดควบคู่กันไป … ขอให้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์ระทึกขวัญกันถ้วนหน้าครับ

Similar Articles

More