เมื่อปีที่ผ่านมา Nothing แบรนด์สมาร์ตโฟนและโทรศัพท์สุดอินดี้โดย Carl Pei (คาร์ล เป่ย) อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus ได้ส่ง Nothing Ear (2) ลงสู้สนามหูฟัง Active Noise Cancellation (ANC) และสร้างกระแสในตลาดด้วยดีไซน์ที่เน้นความโปรงใสสุดอินดี้ มาพร้อมขนาดกะทัดรัดและสเปคที่อัปเกรดมาอย่างพร้อมสรรพ มาในปีนี้ทางแบรนด์ไม่รอที่จะสร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วย Nothing Ear และ Nothing Ear (a) พร้อมกันถึงสองรุ่น อีกทั้งยังชูเทคโนโลยี ChatGPT เป็นเจ้าแรกของวงการ!

“การรวม ChatGPT เข้ากับหูฟัง Nothing Ear และ Ear (a) รุ่นใหม่ล่าสุด และ Nothing OS เราได้เริ่มต้นเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงแล้ว และในอนาคตอันใกล้จะพัฒนาเทคโนโลยีอีกมากมาย โดยเรายังคงรับฟังคำติชมจากชุมชนของเราเสมอมา”
Carl Pei
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งของ Nothing
Nothing Ear (a)

เริ่มต้นด้วยหูฟังโมเดล Nothing Ear (a) ที่ชูสีเหลืองสดเป็นตัวไฮไลต์สะท้อนความสดใหม่ของดีไซน์ และนับว่าหูฟังรุ่นเริ่มต้นเจาะตลาดกลางที่เปิดราคามาต่ำกว่าหูฟังรุ่น Nothing Ear (Stick) เสียอีก ดีไซน์ใหม่แบบถอดด้ามผลงานการดีไซน์ของสตูดิโอทีมในลอนดอน ยังคงชิกเนเจอร์การออกแบบที่เน้นความคอนทราสความโปร่งใสและความทึบของวัสดุได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับไดรเวอร์วัสดุ PMI + TPU น้ำหนักของตัวเคสเบาเพียงแค่ 39.3 กรัม และยังรองรับมาตรฐานทนน้ำ IP54 ที่ตัวหูฟัง และ IPX2 45db และยังเสริมด้วยฟีเจอร์ Smart ANC และระบบการขยายเสียงเบส

ในส่วนของระบบการตัดเสียงรบกวน ANC หัวใจหลักของโมเดลนี้ สามารถทำได้ดีเหมือนรุ่นใหญ่ที่ 45db และยังเสริมด้วย Smart ANC ฟีเจอร์ที่จะช่วยตรวจสอบรอยรั่วของเสียง และสร้างคลื่นยับยั้งเสียงรบกวนจนเกิดเป็น Adaptive ANC และระบบการขยายเสียงเบส รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3, Google Fast Pair และ Microsoft Swift Pair แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ Codec จะรองรับเพียง LDAC เท่านั้น


มาพร้อมกับแบตเตอรี่เท่ากับรุ่นใหญ่ ตัวหูฟัง 46 mAh และ 500 mAh สำหรับตัวเคส สามารถใช้งานโดยไม่เปิด ANC ได้นานสูงสุดถึง 9.5 ชั่วโมง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จสามารถใช้ได้นานสูงสุด 42.5 ชั่วโมง (มีบางฟีเจอร์ถูกตัดออกไปไม่ครบครันเหมือนรุ่น Nothing Ear ) รองรับการชาร์จผ่านสาย USB ด่วน 10 นาที และใช้ได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง ทว่าไม่รองรับระบบการชาร์จไร้สาย เปิดตัวพร้อมกันถึง 3 สี เหลือง, ขาว และดำ สนนค่าตัวอยู่ที่ 3,799 บาท
Nothing Ear

การเปิดตัวรุ่นที่ 3 ของซีรีย์ Ear ที่มาต่อจาก Nothing Ear (2) แต่ว่าตัดเลขตัวหลังออกเหลือเพียง Nothing Ear มาพร้อมดีไซน์ที่คุ้นเคย แม้ว่าตัวเคสจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมชนิดที่เรียกได้ว่า 100% แต่ว่าตัวหูฟังมีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิมเล็กน้อย และเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาเป็นจาก 4.5 กรัม เป็น 4.62 กรัม ลบจุดด้อยของรุ่นก่อนที่แบตหมดไวเมื่อกับหูฟังรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด และยังคงรองรับมาตรฐานทนน้ำ IP54 ที่ตัวหูฟัง และ IP54 ที่ตัวเคสเช่นเดิม

หูฟัง Nothing Ear แม้ว่าหน้าตาจะไม่ชวนให้ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก แต่ภายในอัปเกรดเทคโนยีใหม่ๆ มากมาย อาทิ ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ Smart ANC ที่ช่วยตรวจจับรอยรั่วของหูฟังกับช่องหูแบบอัตโนมัติ ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีกว่ารุ่นเดิมถึง 1.8 เท่า เลยทีเดียว และฟีเจอร์เร่งเสียงเบสด้วยอัลกอริทึม และในด้านของฮาร์ดแวร์ที่ เปลี่ยนมาใช้เป็นไดรเวอร์แบบเซรามิกขนาด 11 มม. เพิ่มระบบการระบายอากาศสองแห่งทำให้อากาศไหลเวียนดีมากกว่าเดิมและทำให้เสียงมีความเที่ยงตรงมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับ LHDC5.0 และ LDAC เพื่อการสตรีมของเสียงความละเอียดสูงผ่าน Bluetooth 5.3 และเชื่อมต่อได้รวดเร็วผ่าน Google Fast Pair และ Microsoft Swift Pair


สุดท้ายกับการเสริมแบตเตอรี่ตัวหูฟังจาก 36 mAh เป็น 46 mAh และตัวเคสที่ให้ความจุ 500 mAh ฟังเพลงแบบไม่เปิดระบบการตัดเสียงรบกวนนานถึง 8.5 ชั่วโมง และเมื่อใช่ร่วมกับเคสจะสามารถใช้ได้ยาวนานถึง 42.5 ชั่วโมงเลยทีเดียว รองรับการชาร์จแบบไร้สาย 2.5W และแบบชาร์จผ่านสาย USB-C และปิดท้ายด้วยฟีเจอร์ชาร์จด่วน 10 นาที ใช้ได้นาน 10 ชั่วโมง สนนค่าตัวอยู่ที่ 5,599 บาท
EDITOR’S NOTE (Nothing Ear)
- ดีไซน์มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
- วัสดุมีความแข็งแรงทนนาน
- พื้นผิวมีความเงาจึงเป็นรอยขนแมวได้ง่าย
- ขนาดเคสกำลังดี พกพาสะดวก
- ตัดเสียงรบกวนได้ดีเกณฑ์ดีมาก
- การใช้งานไมค์โครโฟนสำหรับการโทรออกอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
- เนื้อเสียงของนักร้องมีความคมชัดใส แยกกับเสียงเครื่องดนตรีได้ชัดเจน
- เบสค่อนข้างหนักกว่ารุ่นก่อนหน้า
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
- คุณภาพเสียงทำได้ดีเกินขนาดตัว