หลงลืมห้วงเวลาในดินแดนฟ้าจรดทราย ‘Morocco’

Words & Photo: Kant Jominta

‘โมร็อกโก’ (Morocco) ประเทศที่มีทั้งทะเลและทะเลทรายในตัว งดงามราวกับอัญมณีเม็ดงามแห่งโลกตะวันออกกลางแต่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ติดต่อทั้งชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ห่างจากสเปนเพียงแค่ช่องแคบยิบรอลตาร์กั้น ถือว่ามีเสน่ห์ในตัวอย่างน่าประหลาดใจ ทีแรกอิดออดไม่ค่อยอยากมา เพราะคิดว่าน่าจะร้อนและเดินทางเหนื่อย แต่พอมาเที่ยวแล้วก็ประทับใจ วิธีการเที่ยวมีหลายแบบ จะเลือกแบบจ้างไกด์กับคนขับแล้วมาเที่ยวกันเองแบบนี้ก็ได้ สนุกดี และมีความเป็นส่วนตัว

โมร็อกโกเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์เยอะมาก ระหว่างเดินทางเราจะพบซากปรักหักพังกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ มี ‘มาร์ราเกช’ (Marrakesh) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมแอฟริกันเป็นเมืองแรกเมื่อปี 2020 เป็นไฮไลต์ของทริป แต่เชื่อไหมว่าใจเรากลับจดจ่ออยู่ที่ดินแดนฟ้าจรดทราย อยากไปขี่อูฐที่ซาฮารา เพราะว่าชอบนัท มีเรียมาก

ลงเครื่องที่สนามบิน Anfa International Airport ไม่ไกลกันนักเป็นสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Mosque of Hassan II) มีหอขานละหมาดรูปจัตุรัสตั้งทำมุมกับตัวสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลกถึง 210 เมตร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากนครเมกกะ ซาอุดีอาระเบีย เป็นสุเหร่าที่งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโก ตัวสุเหร่าปูหินอ่อนสีไข่ไก่ สลักลวดลายสวยงาม หลังคาเป็นกระเบื้องสีเขียว นักท่องเที่ยวจะได้รับอนุญาตให้เดินชมได้แต่ภายนอกเท่านั้น อยากแนะนำให้เผื่อเวลาไปเดินเล่นรอบๆ สุเหร่าด้วย เพราะเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกที่สวยมาก

ขับรถต่อไปยังเมืองราบัต (Rabat) เพื่อไปชมพระราชวังหลวง ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่ประทับแห่งกษัตริย์โมร็อกโกแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางในการบริหารประเทศอีกด้วย ใกล้กันเป็นซากเสาของสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาของสุหร่าไว้เป็นที่ระลึก 365 ต้น อยู่ด้านหน้าของสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อนอิตาลีสีขาวสะอาด เป็นสถาปัตยกรรมโมร็อกโกแท้ๆ ภายในมีลวดลายแกะสลักวิจิตรสวยงาม

เราแวะไปเดินเล่นที่ป้อมไอดูยะ เป็นป้อมปราการขนาดมหึมาตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณที่ปากแม่น้ำบรรจบกับมหาสมุทร บรรยากาศชิลล์มาก ลมพัดเย็นสบายตลอดทั้งวัน ตัวป้อมมี 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นลานกว้างบนหน้าผาสูง ส่วนชั้นที่ 2 เป็นพื้นที่กว้างตั้งอยู่บนชั้นแรกอีกที ทัศนียภาพกว้างไกล มองเห็นออกไปได้รอบทิศทาง

จากนั้น ขับรถต่อไปที่เมืองแทนเจียร์ (Tangier) เพื่อจะไปเที่ยวทะเลและชมถ้ำเฮอร์คิวลีส ตามตำนานเล่าว่าเป็นเพราะเทพเฮอร์คิวลีสต้องการเดินทางผ่านไปยังสุดขอบตะวันตกจึงยกแผ่นหินออก ทำให้เกิด ‘ช่องแคบยิบรอลตาร์’ ขึ้น ทำให้แทนเจียร์เป็นเมืองท่าที่สำคัญ คั่นแบ่งระหว่างทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา มองเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศสเปนด้วย

เราเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นในเมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) กันบ้าง เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ บรรยากาศคึกคักดี มีความเก่าแก่แต่ว่าสวยงามคลาสสิก บ้านเรือนทาด้วยสีฟ้าและสีน้ำเงินเป็นสีหลัก ผนัง หลังคา ประตู กระถางต้นไม้ ต่างถูกระบายเป็นโทนสีเดียวกัน ตามความเชื่อทางศาสนาที่ว่า สีฟ้า-สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์และเป็นตัวแทนของเทพเจ้า

จากนั้น ไปเที่ยวเมืองโรมันโบราณโวลูบิลิส อดีตเมืองแห่งจักรวรรดิโรมัน ที่ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต ถือว่ามีความสำคัญในสมัยศตวรรษที่ 3 และล่มสลายลงในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1997

แต่ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นการได้ไปเดินเล่นภายในเมดินาของเมืองเฟส (Fes) ภายในมีทั้งศาสนสถาน มัสยิด โรงเรียนสอนพระคัมภีร์ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีตมาก บริเวณเขตเมืองเก่าที่ถูกแบ่งออกเป็นย่านต่างๆ ตามการค้าขาย มีตรอกซอกซอยย่อยออกไปกว่าหนึ่งหมื่นซอย แบ่งออกเป็นย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง ย่านขายพรม ขายผ้า อาหาร โรงงานถ้วยชามเซรามิก เรียกว่าเป็นการได้ไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวโมร็อกโกแท้ๆ แต่ที่สร้างความฮือฮาให้กับนักท่องเที่ยวแบบเราก็คือ บ่อฟอกหนังและย้อมสีหนังแบบโบราณอายุกว่าพันปีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ปัจจุบันถูกอนุรักษ์ไว้โดยยูเนสโก 

เราขับรถผ่านเทือกเขาแอตลาสที่เมืองอิเฟรน (Ifrane) บรรยากาศสองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากป่าไม้ตัดสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา ผ่านหุบเขาดาเดส (Dades Gorge) ซึ่งเป็นแนวเขาธรรมชาติที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ จากนั้นก็มาแวะเปลี่ยนเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เมืองเออร์ฟอด (Erfoud) อดีตเป็นศูนย์กลางทางการค้าขายของกองคาราวานซึ่งเดินทางมาจากซาอุดีอาระเบีย และซูดาน แล้วเราก็นั่งรถโฟร์วีลเข้าสู่ทะเลทรายที่เมืองเมอร์ซูกา (Merzouga) ประตูแห่งท้องทะเลทรายซาฮารา ค่อนข้างสมบุกสมบันแต่มันมาก

‘ซาฮารา’ เป็นทะเลทรายร้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (เท่ากับอเมริกาทั้งประเทศ) ระหว่างทางเราผ่านภูเขาหินที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลหอยและแมงกะพรุน ในอดีตเมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน เพราะดินแดนแถบนี้เคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อน ต่อมาเมื่อเปลือกโลกเคลื่อนตัวทำให้แผ่นดินผุดขึ้นมา จึงทำให้พวกหอย แมงกะพรุนที่อยู่ใต้ท้องทะเลถูกดินทับถมอยู่เป็นเวลานานจนกลายเป็นฟอสซิลอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

โรงแรมที่เราไปพักชื่อ Tombouctou ตั้งอยู่กลางทะเลทราย อากาศค่อนข้างร้อนและลมพัดทรายปลิวตลอดเวลา ต้องปิดหน้าต่างประตูให้สนิท (แต่ก็ยังมีเล็ดลอดมาได้) ตอนเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะเป็นช่วงไฮไลต์ เพราะไปขี่อูฐกลางทะเลทรายเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น เป็นภาพที่สวยงามมาก

จากความร้อนแรงของทะเลทราย เราขับรถเข้าเมืองมาร์ราเกช ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเรียกว่าเมืองโอเอซิสเพราะเป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้า ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดที่จะไปเดินเล่นที่จัตุรัสกลางเมือง Djemaa Fnaa Square และตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปชมสวนฌาร์แด็ง มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือสวนอีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent) สถานที่พักของดีไซเนอร์ชื่อดังที่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานแฟชั่นหลายคอลเลกชั่นที่นี่ ใครที่เป็นแฟนของ Saint Laurent แนะนำว่าไม่ควรพลาด ถือเป็นการส่งท้ายทริปโมร็อกโกได้อย่างสุดประทับใจและอยากกลับไปเที่ยวอีกหากมีโอกาส

Similar Articles

More