สวมวิญญาณนักซิ่งไปกับ TAG Heuer ผู้ผลิตนาฬิการะดับหรูจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่ล่าสุดเปิดตัวนาฬิการุ่นล่าสุดให้กับคอลเล็กชั่น Monaco ไอคอนของแบรนด์ กับ 3 เรือนใหม่ มาในช่วงเวลาของการจัดการแข่งขัน Monaco Grand Prix ครั้งที่ 80 เพื่อแสดงถึงความเป็นพันธมิตรที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของ TAG Heuer และยังเป็นครั้งแรกที่คอลเล็กชั่น Monaco มาพร้อมกับหน้าปัดแบบสเกเลตัน แต่ละเรือนที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาในคอลเล็กชั่นจะมีเรื่องราวและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ที่เป็นเฉพาะตัว

แน่นอนว่ารุ่น Monaco ได้รับการยอมรับและถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือของนักแข่งระดับตำนานของวงการไม่ว่าจะเป็น Joe Siffert (โจ ซิฟเฟิร์ต), Jochen Rindt (โจเชน รินด์ท) และบุคคลที่เป็นตัวแทนและถือเป็น Friend of Brand อย่าง Steve McQueen (สตีฟ แม็คควีน) ซึ่งสวมใส่ TAG Heuer Monaco ในภาพยนตร์เรื่อง Le Mans เมื่อปี 1971 จนสร้างชื่อเสียงให้กับ Monaco และตัวนาฬิกาเองก็เปรียบ เสมือนกับภาพสะท้อนตัวตนของเขาเองด้วยเช่นกัน



Notes: นับจากของการเปิดตัวในปี 1969 นาฬิการุ่น Monaco ของ TAG Heuer ได้รับการยอมรับและกลายเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ถูกจัดให้เป็นนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์ซึ่งถูกจดจำมากที่สุดเรือนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งเรือนเวลา ในช่วงเวลานั้น ด้วยความโดดเด่นจากการออกแบบตัวเรือนทรงเหลี่ยมและนวัตกรรมในด้านการจับเวลาที่มีความล้ำสมัยของนาฬิกาเรือนนี้ เป็นส่วนประกอบที่ยากจะหาได้อย่างครบถ้วนในนาฬิกาเรือนเดียว และนั่นทำให้ Monaco ได้กลายมาเป็นตัวแทนของแบรนด์ พร้อมกับได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ชื่นชอบรถแข่ง เช่นเดียวกับคนรักนาฬิกาทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
TAG Heuer Monaco ตำนานแห่งโลกความเร็ว
นับตั้งแต่การเปิดตัว TAG Heuer Monaco ได้สะท้อนถึงความโดดเด่นในด้านการออกแบบที่มีความล้ำสมัย และนับจากการใช้สีน้ำเงินเข้มและสีขาวสว่างในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ไปจนถึงการใช้โทนสีเทาที่ตัดกันอย่างโดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ 1970 นาฬิกา Heuer Monaco สะท้อนถึงวัฒนธรรมป๊อบหรือ Pop Culture ขณะเดียวกันก็ท้าทายข้อจำกัดในการออกแบบ ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น จนกระทั่งปลายทศวรรษที่ 1970 เมื่อ TAG Heuer Monaco Chronograph ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงด้วยตัวเรือนสีดำด้านและหน้าปัดที่มีความโดดเด่นจนได้รับการจดจำนั่นก็คือ รุ่น ‘Dark Loard’
หลักชัยแห่งความสำเร็จของ TAG Heuer Monaco ได้รับการปักลงอย่างมั่นคงในปี 1971 ขณะที่ Steve McQueen ได้สวมนาฬิการุ่นนี้เข้าฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์ Le Mans ด้วยบุคลิกของ McQueen ในบท Michael Delaney (ไมเคิล เดลานีย์) ได้กลายเป็นตัวแทนในการนำเสนอนาฬิกาเรือนนี้ตลอดช่วงเวลาของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เป็นการตอกย้ำและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงตัวตนที่แท้จริงของนาฬิกาในฐานะของกระแสทางวัฒนธรรมในยุคนั้น
จากนั้น เรือนเวลารุ่นนี้ได้เดินหน้าอย่างมั่นคงในฐานะของผู้ที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดในการออกแบบและการนำเสนอนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัย ในปี 1998 TAG Heuer Monaco ได้มีการเปิดตัวรุ่นผลิตใหม่ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Vintage Series ของแบรนด์ โดยนำเสนอนาฬิกาที่มีการผลิตใหม่ที่ยังมั่นคงและยึดมั่นในเรื่องของรูปแบบดั้งเดิมของการออกแบบ และอีกครั้งในปี 2003 ได้มีการเปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่ที่มาพร้อมกับกลไก คาลิเบอร์ 360 ซึ่งมีความสามารถในการจับเวลาที่ละเอียดขึ้นถึงในระดับ 1/100 วินาที
ปัจจุบัน TAG Heuer Monaco ยังคงเป็นหนึ่งในนาฬิการะดับไอคอนของแบรนด์และได้รับการจดจำมากที่สุดเรือนหนึ่ง มีการเปิดตัวนาฬิการุ่นพิเศษแบบผลิตจำกัดมากมายหลายรุ่น รวมถึงรุ่นที่ผลิตเพื่อแสดงจิตคารวะต่อประวัติศาสตร์ของโลกนาฬิกาและการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเร็วของมอเตอร์สปอร์ต กลายเป็นนาฬิกาที่อยู่เหนือกาลเวลาและเป็นที่รักของผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาทั่วโลก ด้วยแรงปรารถนาของแบรนด์ที่จะต้องมีการนำเสนอนวัตกรรมและการออกแบบใหม่ๆ ที่ก้าวข้ามกรอบเดิมๆ TAG Heuer Monaco หน้าปัดสเกเลตัน ได้รับการเปิดตัวและถือเป็นอีกก้าวย่างที่สมบูรณ์แบบของแบรนด์ในการตอบสนองและนำเสนอความสง่างามที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ

เผยให้เห็นถึงความลับที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้าปัด
กว่า 50 ปีหลังจาการถือกำเนิดของ Heuer Monaco ทาง TAG Heuer ได้เปิดตัวนาฬิกาใหม่ 3 รุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับในอีกขั้นของการออกแบบตัวเรือนอันมีเอกลักษณ์ของ Monaco ด้วยการใช้หน้าปัดแบบสเกเลตัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของคอลเลกชั่นนี้ที่เผยให้เห็นกลไกที่อยู่ในภายนาฬิกาผ่านพื้นหน้าปัด



นาฬิกาหน้าปัดสเกเลตันที่มีความทันสมัยมาพร้อมกับการตกแต่งด้วยสีสัน 3 แบบ คือ “Original Blue” สีน้ำเงินดั้งเดิม, “Racing Red” แดงเรซซิ่ง และ “Turquoise” ฟ้าเทอร์คอยส์ ทั้งหมดเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่เคยซ่อนอยู่ข้างในตัวนาฬิกา การออกแบบนำเสนอในเรื่องของการตีความใหม่อีกครั้งในโลกแห่งความเร็วที่มาพร้อมกับความหรูหรา และนำเสนอรูปแบบที่มีความร่วมสมัยซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับนักสะสมหรือผู้ที่มีความเยาว์วัยอยู่ในตัว
TAG Heuer Monaco สร้างสีสันจากโลกแห่งการแข่งขัน
TAG Heuer Monaco รุ่นหน้าปัดสเกเลตันแต่ละละรุ่นแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป โดยสี “Original Blue” ได้แรงบันดาลใจมาจากหน้าปัดแรกคือสีน้ำเงินของ TAG Heuer Monaco รุ่นแรก สีน้ำเงินและแดงถูกนำเสนอและใช้ในการตกแต่งบนหน้าปัด คอลัมน์วีล์ของระบบจับเวลาและโรเตอร์ขึ้นลานมีการสลักลาย มากับสีน้ำเงิน โดยภาพรวมของการออกแบบทั้งหมดเป็นการระลึกถึง TAG Heuer Monaco รุ่นปี 1969 และความสำเร็จที่เกิดขึ้น

สี “Racing Red” สื่อถึง DNA แห่งการแข่งขันที่ฝังอยู่ตัวของ TAG Heuer Monaco โดยสีแดงมักจะถูกอ้างอิงถึงสีสันแห่งความร้อนแรงที่เกิดขึ้นในสนามแข่ง ขณะที่สีดำและสีเงินที่อยู่บนหน้าปัดให้สัมผัสที่มีความโดดเด่นอย่างเป็นพิเศษอย่างสังเกตได้อย่างชัดเจน ควบคู่กับชุดจักรคอลัมน์วีลที่เป็นสีแดง การสลักและการเคลือบสีแดงเอาไว้บนพื้นผิวของโรเตอร์ขึ้นลานที่ถูกสลักเอาไว้ ซึ่งทั้งหมดช่วยก่อให้เกิดสัมผัสแห่งความเร้าใจจากสนามแข่งได้เป็นอย่างดี

สี “Turquoise” เป็นนาฬิกาเรือนที่ 3 ของคอลเล็กชั่นทรงเหลี่ยมนี้ นำเสนอความสดใสที่ผสมผสานกับความหรูหราแห่งการออกแบบของ TAG Heuer Monaco โดยสี Turqouise จะเป็นแนวเส้นที่วางเรียงอยู่โดยรอบของขอบหน้าปัดและหน้าปัดย่อย พร้อมกับมีสีแดงแทรกตัวอย่างโดดเด่น นอกจากนั้นสี Turqouise ยังปรากฏอยู่บนชุดจักรคอลัมน์วีลและอยู่บนพื้นผิวโรเตอร์ขึ้นลานที่ถูกสลักเอาไว้ ซึ่งเป็นการเติมความโดดเด่นให้กับนาฬิกาที่มีความโดดเด่นในระดับไอคอนของแบรนด์

กลไกของ TAG Heuer Monaco
กลไก Heuer-02 เครื่องอินเฮาส์ที่ผลิตขึ้นโดย TAG Heuer จะรับหน้าที่ในการขับเคลื่อนเรือนเวลาทั้ง 3 รุ่นนี้ ถือเป็นความแตกต่าง แต่ก็กลมกลืมไปกับนาฬิกา เมื่อมองจากกลไกที่ถูกขับเคลื่อนให้กับ TAG Heuer Monaco รุ่นดั้งเดิมในทศวรรษที่ 1970 กลไกใหม่นี้มาพร้อมกับจักรของระบบคอลัมน์วีล ซึ่งจะช่วยทำให้การทำงานของระบบจับเวลามีความเที่ยงตรงขึ้น และขณะเดียวกันกลไกก็ได้รับการพัฒนาให้มีกำลังสำรองสูงสุดถึง 80 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นกลไกที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นจับเวลาที่มีกำลังสำรองสูงที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมนาฬิกา ณ ตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ชิ้นส่วนของกลไก Heuer 02 ยังได้รับการขัดและตกแต่ง โดยเฉพาะโรเตอร์ขึ้นลานให้มีความสวยงาม สามารถมองผ่านฝาหลังแบบใสผนึกด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์
ความโดดเด่นของ Monaco Skeleton
Monaco Skeleton มาพร้อมกับความโดดเด่นทางด้านเทคนิคพร้อมภาพลักษณ์ที่ดูเข้มและสปอร์ต ต้องขอบคุณเทคนิคการยิงทรายลงบนพื้นผิวของวัสดุตัวเรือนที่เป็นไทเทเนียม เกรด 2 ซึ่งจากการที่เป็นวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูงนั้น ไทเทเนียมมีความโดดเด่นในเรื่องคุณสมบัติความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา ขณะเดียวกันก็มีความทนทานต่อการกัดกร่อน คุณสมบัติที่เด่นๆ ทั้งหมดได้กลายเป็นองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
TAG Heuer Monaco เรืองแสงในที่มืด
สารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนว่าถูกแต้งลมลงบนหลักชั่วโมงบนหน้าปัดและชุดเข็มของตัวนาฬิกาเพื่อช่วยเพิ่มความโดดเด่นและสัมผัสที่ดูมีความล้ำสมัยของนาฬิกาในคอลเล็กชั่นนี้ บริเวณกรอบของช่องแสดงวันที่ก็มีการแต้มสารเรืองแสงด้วยเช่นกัน และถือเป็นครั้งแรกของ TAG Heuer Monaco เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกในการมองเห็นเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย หรือที่มืด นอกจากนั้น ชุดเข็มยังมีการแต้มสารเรืองแสง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นในทุกสภาวะไม่ว่าจะในช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ Jack Heuer ให้ความใส่ใจอยู่เสมอ

ความเป็นเลิศของ TAG Heuer Monaco Skeleton รุ่นใหม่ล่าสุด
TAG Heuer Monaco Skeleton รุ่นใหม่ล่าสุดได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันและได้รวบรวมความเป็นเลิศทางด้านเทคนิคพร้อมกับความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่มีอยู่ในนาฬิกา และอีกคุณสมบัติที่ถือว่าพิเศษของนาฬิการุ่นนี้คือสายที่เป็นแบบวัสดุผสมผสาน หรือ Bi-Material ซึ่งเป็นการนำวัสดุอย่างยางและหนังมาจับคู่กัน เพื่อส่งมอบความสวยงามที่มีสไตล์ และความสะดวกสบายในขณะสวมใส่ โดยสายเหล่านี้จะมีทั้งสีดำและสีน้ำเงิน (ตามลำดับ) และจะช่วยเพิ่มความโดดเด่นของนาฬิกาที่มีกลิ่นอายจากสนามแข่งให้เพิ่มขึ้น



นาฬิกา TAG Heuer Chronograph ใหม่ทั้ง 3 รุ่นนี้ นับเป็นการเข้ามาช่วยเพิ่มสีสันและความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับนาฬิการะดับไอคอนของแบรนด์ โดยโมเดลทั้ง 3 แบบนี้มาพร้อมกับการออกแบบที่โดดเด่นซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความสง่างามเข้าด้วยกัน โดยบริษัทมุ่งเน้นด้านการสร้างสรรค์โดยที่ไม่หลงลืมความยิ่งใหญ่ในอดีต และผสมผสานเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย ผลที่ได้คือ เรือนเวลาที่มีความเรียบและมีความซับซ้อน อันมาจากการสร้างสรรค์โดยอยู่บนพื้นฐานของจินตนาการที่เกิดขึ้นจากบุคคลหนึ่งและการยึดมั่นในสิ่งที่ได้ให้สัญญาเอาไว้