ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวน่าสนใจจากต่างประเทศเด้งบนหน้าฟีดโซเชียลมีเดียของผม “ใครครอบครองนาฬิกาสีรุ้ง เจอโทษจำคุกสูงสุดนาน 3 ปี!” … แค่เห็นพาดหัวข่าวก็ชวนให้สงสัยทันทีว่าอะไรคือนาฬิกาสีรุ้ง และเจ้านาฬิกาสีรุ้งที่ว่าอันตรายเพียงใด ทำไมผู้ครอบครองถึงต้องโดนโทษที่ค่อนข้างหนักขนาดนั้น แต่เมื่อได้ทราบเนื้อหาเบื้องต้นว่าที่มาของข่าวเกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย และจำเลยในคราวนี้ก็คือคอลเล็กชั่น นาฬิกาสีรุ้งของ Swatch ที่เคยเป็นประเด็นก่อนหน้า ก็พอเดาเนื้อหาต่อไปได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
เป็นอีกครั้งที่ทางการมาเลเซีย นำโดยกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติการที่เรียกได้ว่าเป็นการป้องปรามพฤติกรรมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQIA+ เพราะย้อนกลับไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ร้านของ Swatch ทั้ง 11 สาขาในมาเลเซียก็ถูกบุกค้นและยึดนาฬิกาคอลเล็กชั่น Pride ไปจำนวนร้อยกว่าเรือน โดยทางการให้เหตุผลของการดำเนินการทั้งสองกรณีไปในทิศทางเดียวกัน “นาฬิกาจากซีรีย์นี้มีองค์ประกอบที่สื่อถึง LGBTQIA+” ซึ่งเล็งเห็นแล้วว่าขัดต่อศีลธรรมของสังคม นาฬิกาพวกนี้อาจทำให้เกิดผลเสียต่อประเทศด้วยการส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่ม LGBTQIA+ ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนทั่วไป และจะทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ โทษดังกล่าวจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติการพิมพ์และสิ่งพิมพ์ปี 1984 เป็นที่มาของบทลงโทษ ‘ใครก็ตามที่พิมพ์ นำเข้า ผลิตหรือมีนาฬิการุ่นดังกล่าวไว้ในครอบครองจะต้องโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และบุคคลใดก็ตามที่สวมใส่หรือแจกจ่ายอาจจะถูกปรับเป็นเงิน 20,000 ริงกิตมาเลเซียหรือราว 153,000 บาท’

“สำหรับตัวเองไม่เซอร์ไพรส์กับข่าวนี้ เพราะอันดับแรกสิ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องทำก็คือการเทคแอคชั่นให้เห็นว่าทำในสิ่งที่เป็นไปตามหลักของศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะกับประเทศมาเลเซียที่มีอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ มีชาวมุสลิมมากกว่า 60% ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ” – ฟิตตี้-อภิตรี อดุลภักดี ชาวมุสลิมที่เคยไปศึกษาปริญญาโท และใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในประเทศมาเลเซียร่วมแสดงความเห็นกับเรา แถมปัจจุบันนี้ยังทำงานในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ได้คลุกคลีกับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง เธอจึงทราบบริบทของสังคมในประเทศมาเลเซีย และเข้าใจหลากมิติเกี่ยวกับประเด็นข่าวนี้เป็นอย่างดี โดยเหตุและผลทั้งหมดนั้นล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาอิสลาม
แต่อีกประเด็นน่าสนใจที่เธอเปรยไว้ให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นชาวมุสลิมได้ฉุกคิดคือการแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า “มาเลเซียเคร่งไปหรือไม่?” เพราะความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ทางการของมาเลเซียทำคือการยึดความถูกต้องตามหลักศาสนาและเข้มงวดในการปฏิบัติใช้กฏหมาย ซึ่งแน่นอนว่าในเมื่อเป็นกฏหมายที่สอดคล้องกับหลักของศาสนาอิสลาม จึงอาจทำให้ ‘คนนอก’ เกิดการมองต่างมุม เนื่องจากมีทัศนคติและความเชื่อที่ต่างออกไป

อย่างที่หลายท่านทราบว่าตามความเชื่อทางศาสนาของชาวมุสลิมนั้นผู้ที่เกิดเป็นบุรุษหรือสตรี ต้องมีวิถีชีวิตตามครรลองของเพศตามกำเนิด และถือเป็นอีกหนึ่งหลักปฏิบัติที่เคร่งครัด การดำรงชีพตามวิถีของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQIA+ ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะจะไม่ได้รับการยอมรับเนื่องจากเป็นการสั่นคลอนศีลธรรมและหลักความเชื่อของศาสนา แม้ว่าในช่วงสองทศวรรษให้หลังมีการนำเสนอประเด็นละเอียดอ่อนเหล่านี้ให้กลายเป็นหัวข้อชวนถกตามหน้าสื่อก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่สำหรับประเทศที่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติอย่างมาเลเซีย
“ตอนเรียนที่นั่นก็มีเพื่อนที่เป็น LGBTQIA+ เรารู้ และเพื่อนๆ ที่สนิทกันก็รู้ แต่เขาจะแสดงออกให้รู้กันเฉพาะในกลุ่มเพื่อน จะไม่แสดงพฤติกรรมวี๊ดว้ายในที่สาธารณะ หรือแม้แต่ชาว จีน-มาเล ที่เป็น LGBTQIA+ ก็จะไม่แสดงออกจนเกินงามในที่สาธารณะ น้อยมากที่จะมาแบบ Pround to Present ว่าฉันเป็นตุ๊ดเป็นเกย์นะ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ไม่ได้ให้การยอมรับและให้อิสระในการแสดงออกเหมือนในประเทศไทย แล้วในแง่ตามหลักของศาสนากับวิถีของ LGBTQIA+ คือเรื่องคู่ขนานที่คงไม่ได้มาบรรจบกัน ดังนั้นกรณีสั่งห้ามครอบครองนาฬิกาสีรุ้งของ Swatch ซึ่งทำออกมาเป็นสัญลักษณ์เพื่อเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ จึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักของศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน” – ฟิตตี้เล่าเพิ่มเติม

สอดคล้องกับประกาศจากกระทรวงฯ ในประเด็นนี้ที่ระบุว่า “รัฐบาลมาเลเซียยึดมั่นในการป้องกันการเผยแพร่องค์ประกอบที่อาจเป็นภัยหรือขัดต่อศีลธรรม ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งที่เราต้องการรับรองความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชน โดยติดตามและควบคุมสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายขององค์ประกอบ แนวคิด และการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกับโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของเรา”
และด้วยการถูกกล่าวหาที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ Nick Hayek ซีอีโอของ Swatch Group ได้ออกมาโต้ปฏิบัติการของรัฐบาลมาเลเซียในประเด็นดังกล่าว โดยเขาออกโรงแถลงการณ์ตั้งแต่ช่วงเดือน Pride ที่ผ่านมา “นาฬิกาไม่ได้มีส่วนในการส่งเสริมเรื่องกิจกรรมทางเพศใดๆ นาฬิการุ่นนี้เพียงต้องการจะสื่อสารถึงความสนุกสนาน ความสุข สันติภาพ และความรักเท่านั้น” โดยยังกล่าวเสริมแนวประชดประชันด้วยว่า “เราก็สงสัยว่าหน่วยงานจะบังคับใช้กฎหมายยึดรุ้งกินน้ำที่งดงามตามธรรมชาติซึ่งปรากฏเหนือท้องฟ้าของประเทศมาเลเซียนับพันครั้งต่อปีด้วยหรือไม่”


“ในมุมมองของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม อาจจะมองว่าประเด็นของ LGBTQIA+ คือเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่ก็ต้องเข้าใจในมุมมองตามหลักศาสนาอิสลามด้วย จริงๆ แล้วถ้าจะให้หยิบมาถกเป็นประเด็นก็คงไม่จบ เพราะบางเรื่องมันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อความศรัทธา เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องเคารพซึ่งกันและกัน เอาเป็นว่าทั้งสองเรื่องไม่ว่าจะสิทธิเสรีภาพของ LGBTQIA+ และความเชื่อทางศาสนา คือสิ่งที่ผู้เสพสื่ออ่านแล้วต้องพยายามคิดและไตร่ตรองแบบใจเขาใจเรา พยายามทำความเข้าใจทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญต้องเคารพซึ่งกันและกัน” – ฟิตตี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายได้น่าสนใจ
‘เคารพซึ่งกันและกัน’ คือสิ่งสำคัญที่ผมอยากให้เมื่อผู้อ่านได้อ่านข่าวนี้แล้วอย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าจะยืนอยู่ข้างใด หรือปรามาสว่าฝ่ายไหนทำสิ่งที่ควรหรือไม่ แต่ลองพยายามทำความเข้าใจในมิติต่างๆจนตกผลึกก่อนจะตัดสินใจว่าคิดเห็นอย่างไร และคอมเมนต์บนโลกโซเชียลกันอย่างถนอมน้ำใจผู้ที่มีมุมมอง ความเชื่อ ความศรัทธา … ซึ่งแตกต่างจากเรา