เปิดใจ ‘พีพี-ปุญญ์ปรีดี’ นักแสดงรุ่นใหม่กับเส้นทางที่ไม่ได้มีแค่แสงไฟ

Photographer: Manosit Boonnon

ก้าวแรกสู่เส้นทางนักแสดงของ พีพี-ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์ จากจุดเริ่มต้นสู่ความท้าทายบนหน้าจอกับเส้นทางของนักแสดงแต่ละคนล้วนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับ “พีพี” นักแสดงรุ่นใหม่จากช่อง 3 ที่ก้าวเข้าสู่วงการด้วยโอกาสที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน และเติบโตขึ้นจากการเรียนรู้และลงมือทำจริง

บทสัมภาษณ์นี้เธอได้แชร์เรื่องราวตั้งแต่จุดเริ่มต้นในฐานะนักแสดง ความท้าทายของบทบาทต่าง ๆ ไปจนถึงมุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการแสดงที่เธอหลงใหล มาร่วมสำรวจเส้นทางและมุมมองของพีพีไปพร้อมกันได้เลย!

เส้นทางนักแสดงและมุมมองต่อวงการบันเทิง

พีพี นักแสดงรุ่นใหม่จากช่อง 3 กำลังเป็นที่จับตามอง ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวและความสามารถที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของพีพี รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับการแสดงและการเตรียมตัวในแต่ละบทบาทของเธอ

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง

พีพี: จุดเริ่มต้นจริงๆ มาจากพี่ที่ดูแลฝ่ายศิลปินของช่อง 3 ค่ะ ตอนนั้นหนูไปงานอีเวนต์กับผู้จัดการ แล้วพี่เขาเข้ามาทักและชวนไปแคสติ้งกับทางช่อง หลังจากแคสเสร็จ หนูก็ได้เริ่มเรียนแอคติ้งอย่างจริงจัง แล้วบังเอิญว่าช่วงนั้นพี่ลูกแก้ว (พิธีกร) กำลังตั้งครรภ์ ทำให้มีโอกาสเข้าไปแคสกับกอง สีสันบันเทิง ซึ่งตอนนั้นกำลังจะเปิดละครใหม่พอดี หนูก็เลยได้แสดง และจากจุดนั้นก็เริ่มทำงานในวงการมาเรื่อยๆ ค่ะ

ก้าวแรกในโลกการแสดง

พีพี: ในตอนนั้นที่พีจำได้คือถ่ายพร้อมกันสี่เรื่อง ซึ่งถือเป็นสี่เรื่องแรกในชีวิตละกัน เพราะว่ามันมาพร้อมกันเลย เลือดเจ้าพระยา,คุณหมีปาฏิหาริย์, คือเธอ, ปมสเน่ห์หา และระหว่างที่ถ่ายสี่เรื่องนี้อยู่ พรหมลิขิต ก็เข้ามาพอดี มันเป็นจังหวะที่เราถ่ายพร้อมกันเลย ไม่มีเรื่องไหนมาก่อนเลย แต่ระยะเวลาการออนแอร์แตกต่างกันออกไป เลยทำให้เรา ดูเหมือนเล่นมาเรื่อยๆ แต่จริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่แค่ว่าจังหวะของละคร ที่ออนแอร์มันแตกต่างกัน 

การเรียนรู้ด้านสังคมวิทยากับการแสดง

พีพี: มันเชื่อมโยงกันเยอะมากค่ะ เพราะรัฐศาสตร์ไม่ได้สอนแค่เรื่องการเมือง แต่ยังครอบคลุมเรื่องสังคมและมนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกอย่างในชีวิต เราอยู่ในสังคม การเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของสังคมทำให้เรามองเห็นความแตกต่างของแต่ละองค์กร เช่นเดียวกับที่แต่ละกองถ่ายก็มีวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างกัน

เวลารับบทละคร เราต้องเข้าใจว่าสังคมของตัวละครเป็นอย่างไร อะไรที่หล่อหลอมให้เขาเติบโตมาแบบนี้ คิดแบบนี้ มีมุมมองแบบนี้ ทุกอย่างส่งผลต่อบุคลิกและพฤติกรรมของเขา ซึ่งตรงกับสิ่งที่หนูเรียนมา—รากฐานของสังคม โครงสร้าง ความเหลื่อมล้ำ หรือแม้แต่สถาบันที่หล่อหลอมคน การเรียนรัฐศาสตร์ช่วยให้หนูมองเห็นรายละเอียดเหล่านี้ ทำให้เข้าถึงตัวละครได้ลึกขึ้น

ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ความเข้าใจเรื่องสังคมก็เป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอด และสำหรับการแสดง มันช่วยให้หนูเข้าใจตัวละครในมิติที่ลึกขึ้น ไม่ใช่แค่ท่องบท แต่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงคิดและรู้สึกแบบนั้นค่ะ

บทบาทที่ท้าทายที่สุด

พีพี: รักสุดใจ ยัยตัวแสบ ค่ะ เพราะคาแรกเตอร์ “แก้ว” มีความซน ขี้เล่น และตรงไปตรงมา ซึ่งหนูต้องหาวิธีทำให้เขาดูน่ารักและมีเสน่ห์ โดยไม่ให้น่ารำคาญ ความยากคือ แก้วค่อนข้างต่างจากตัวหนูพอสมควร เขาชิลล์แบบสุดๆ ใช้ชีวิตอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ห่วงสวย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง กล้าสู้คน ขี่มอเตอร์ไซค์ เตะต่อยได้

ความท้าทายคือการหาจุดสมดุล ทำให้แก้วดูเป็นผู้หญิงที่มั่นใจ ไม่ยอมคน แต่ยังคงมีเสน่ห์แบบธรรมชาติ และมีมุมขี้อ้อนเล็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูต้องปรับตัวและเรียนรู้เยอะมากในการแสดงบทนี้ค่ะ

กระบวนการเตรียมตัวก่อนเข้าฉาก

พีพี: อย่างแรกเลยคือทำการบ้านค่ะ อ่านบทให้ละเอียด แล้วพยายามวิเคราะห์ว่าอะไรทำให้ตัวละครมีนิสัยและพฤติกรรมแบบนี้ เข้าใจพื้นฐานของเขาในเชิงทฤษฎี จากนั้นก็ต้องปรับใช้กับการแสดงจริง ทั้งเรื่องการเคลื่อนไหวร่างกาย การหายใจ และท่าทางให้สอดคล้องกับตัวละคร

อีกสิ่งที่สำคัญมากคือการเรียนรู้และปรับตัวในกองถ่าย เพราะ รักสุดใจ ยัยตัวแสบ เป็นเรื่องแรกที่หนูรับบทนำเต็มตัว ผู้จัดและทีมงานช่วยแนะนำและปรับการแสดงของหนูเยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องการคงคาแรกเตอร์ของตัวละคร แต่รวมถึงการพัฒนาการแสดงโดยรวมด้วย มันเลยเป็นความท้าทายที่ต้องโฟกัสหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งการเป็นตัวละครและการพัฒนาฝีมือทางการแสดงไปพร้อมๆ กันค่ะ

หนัง ‘Happy Monday (s) : สวัสดีวันจันทร์(ส)’ และการเตรียมตัว

พีพี: ตอนนี้หนูมองว่าการแสดงเป็นศิลปะที่ไม่ต้องมีแบบแผนตายตัว 100% ไม่จำเป็นต้องเซ็ตหรือเตรียมทุกอย่างล่วงหน้า สิ่งที่หนูให้ความสำคัญคือดูแลตัวเองให้พร้อม ทั้งรูปร่าง หน้าตา และการพักผ่อน ส่วนเรื่องการแสดง หนูอ่านบท ทำความเข้าใจตัวละคร และพูดคุยกับผู้กำกับเยอะๆ เพื่อให้เห็นภาพตรงกัน ที่เหลือคือการอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าบนเซ็ต เพราะสุดท้ายแล้ว การแสดงที่ดีที่สุดคือการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโมเมนต์นั้น

ความแตกต่างระหว่างละครและภาพยนตร์

พีพี: ต่างกันมากค่ะ โดยเฉพาะเรื่องกล้องและจำนวนเทค ละครอาจถ่ายเพียง 2-3 ครั้งก็เก็บครบทุกมุม แต่ภาพยนตร์ใช้กล้องตัวเดียว ถ่ายแยกฝั่งนักแสดง และอาจต้องถ่ายหลายมุม หลายวัน ทำให้ต้องคอนทินิวอารมณ์ให้ได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นความท้าทายมากที่สุด เพราะบางทีฉากเดียวกันแต่ถ่ายกันคนละวัน เราต้องรักษาความรู้สึกของตัวละครให้คงที่เสมอ

เสน่ห์ที่ทำให้แฟนคลับรักพีพี

เมื่อถามถึงสิ่งที่ทำให้แฟนคลับรักเธอ พีพีมองว่าความเป็นตัวเองคือจุดเด่นของเธอ เธอไม่พยายามแสดงให้ดูเกินจริง และมีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งแฟน ๆ มักจะพูดถึงรอยยิ้ม แววตา และบุคลิกขี้เล่นของเธอที่ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับเธอ

สรุป

พีพีเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่มีเสน่ห์และความสามารถโดดเด่น เธอใช้ความรู้จากสังคมวิทยามาปรับใช้ในการสร้างตัวละคร และมองการแสดงเป็นศิลปะที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยความมุ่งมั่นและแนวคิดที่เปิดกว้าง พีพีกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเราต่างรอคอยผลงานของเธอในอนาคตอย่างใจจดใจจ่อ

Similar Articles

More