Gucci Fall/Winter 2023 เสน่ห์ของการด้นสดและพลังแห่งการคอลลาบอเรชั่นที่ถูกถ่ายทอดผ่านคอลเล็กชั่นต้อนรับศักราชใหม่

โชว์เปิด Milan Men’s Fashion Week ฤดูกาล Fall/Winter 2023 กลายเป็นที่จับตา เพราะแฟนๆ ทั่วโลกรอชมว่า Gucci ในวันที่ไร้ Alessandro Michehe อดีตผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ที่ปลุกให้แฟชั่นเฮาส์อายุ 102 ปี กลับมาผงาด กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ร้อนแรงที่สุดของโลกแฟชั่นตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมาจะเดินไปในทิศทางใด? … แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วหากเราลองพิจารณาถึงการประสบความสำเร็จของอาณาจักร Gucci ไม่ว่าจะนักออกแบบรายใดเป็นผู้นำทัพก็ตาม สิ่งที่พวกเขาทำล้วนแต่เป็นการเคารพประวัติศาสตร์และรากเหง้า ดึงเอาผลงานที่ประสบความสำเร็จในช่วงค่อนปลายศตวรรษที่ 20 กลับมาปัดฝุ่นใหม่ แล้วใส่ลายเซ็นตัวเองลงไปในชิ้นงาน ดังนั้นภาพร่างแห่งจินตนาการที่เป็นสารตั้งต้นในการออกแบบผลงานสำหรับ Gucci จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พาแฟนคลับทุกเจเนอเรชั่นนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปสัมผัสช่วงเวลาต่างๆที่แบรนด์นั้นพีกถึงขีดสุด

Marc Ribot’s Ceramic Doc บรรเลงดนตรีสดระหว่างการแสดงแฟชั่นโชว์ Gucci Men’s Fall/Winter 2023
Courtesy of Imaxtree

เซนส์ของแฟชั่นยุค ’70s คือสิ่งที่ผู้ชมยังสัมผัสได้ในคอลเล็กชั่นล่าสุดนี้ที่ออกแบบโดยสตูดิโอทีม แม้ยังมีกลิ่นอายของผลงานสไตล์ Androgyny (อย่างท่อนล่างคล้ายกระโปรง) แต่ลดดีกรีฮิปปี้และบุปผาชนอย่างในยุคของอเลสซานโดรลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วแทนที่ด้วยเอลิเมนต์ที่สื่อถึงดนตรีแนวพังก์ร็อกในยุคเซเวนตี้ กระแสร็อกอะบิลลีที่กลับมาในทศวรรษที่ 1980 และแฟชั่นสปอร์ตตี้ (เสื้อโปโลลายขวาง ลายตาราง และแจ็กเก็ตโอเวอร์ไซส์) ทั้งในส่วนของรูปแบบผลงาน ไปจนถึงการแสดงสดโดย Marc Ribot’s Ceramic Doc โดยในโชว์โน้ตได้ระบุประเด็นน่าสนใจไว้ว่า ‘การด้นสดจะส่งผลต่อการทำงานที่สอดประสานกัน เมื่อแรงกระตุ้นทำให้ผู้เล่นแต่ละรายถ่ายทอดฝีมือออกมาอย่างเป็นอิสระ จะส่งผลต่อภาพรวมที่ต่างออกไป’ เปรียบการแสดงของดนตรีสดเป็นรากฐานของเหล่าผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เมื่อนักแสดงได้รับแจ้งให้เล่นแบบฟรีสไตล์ก็จะใช้สัญชาตญาณของตนในการถ่ายทอดฝีมือ ซึ่งเรื่องสัญชาตญาณและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เองที่สามารถนำมาเทียบเคียงได้กับเหล่าทีมช่างฝีมือของ Gucci 

การร่วมงานระหว่างทีมช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อร่วมกันรังสรรค์ชิ้นงานสุดเลอค่าของ Gucci ยังสะท้อนแนวคิดอันทรงพลังจากตระกูล Medici ที่ทั้งมีชื่อเสียง อำนาจ และอิทธิพลทางการเมืองและการปกครองของเมืองฟลอเรนซ์ในช่วงศตวรรษที่ 13 – 17 ‘เมดีซี’ มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงค์ฝรั่งเศสและอังกฤษ และมีชื่อเสียงจากการรวบรวมนักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ กวี และประติมากรมาเรียนรู้ร่วมกัน จัดสรร และแบ่งปันองค์ความรู้ จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในยุคที่ทั้งงานศิลปะ สถาปัตกรรม และนวัตกรรมรุ่งเรือง แนวคิด Medici Effect ยังถูกนำมาใช้ในโลกพาณิชย์ศิลป์โดยเฉพาะกับธุรกิจแฟชั่นเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งศตวรรษ และเราเห็นได้ชัดในช่วง 3 ปีนี้ที่ทาง Gucci เริ่มทำการคอลลาบอเรชั่นกับเหล่าแบรนด์ดัง เพื่อสอดประสานองค์ความรู้เฉพาะทางไม่เว้นแม้แต่ในฤดูกาลล่าสุด โดยเสน่ห์ของการด้นสดและพลังแห่งการคอลลาบอเรชั่นที่ถูกถ่ายทอดผ่านผลงานในคอลเล็กชั่นนี้ อาทิ การรวมร่างของผ้าพันคอไหมพิมพ์ลายชิ้นเลื่องชื่อที่เหล่า Jet-Set ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ต้องมีเข้ากับยีนส์ การใช้ทักษะทางด้านเครื่องหนังผนวกเข้ากับศาสตร์การตัดเย็บชุดสำหรับบุรุษ และศิลปะการรังสรรค์อาภรณ์ อย่างงานปักสำหรับเสื้อและกางเกงเลื่อมระยิบระยับราวกับชุดปาร์ตี้สำหรับใส่ฉลองรับศักราชใหม่

และเพื่อเติมเต็มให้ลุคแอนโดรจีนีของแบรนด์ร้อนแรงที่สุดประจำไตรมาสที่ผ่านมาจากการจัดอันดับโดย The Lyst Index สมบูรณ์แบบ ‘It-Bag’ ใบใหม่อย่างกระเป๋าไอคอนิกรุ่น Jackie จึงกลับมาอีกครั้งในเวอร์ชั่นที่ดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น อีกทั้งยังนำฮาร์ดแวร์ Piston Lock ที่สร้างสรรค์โดย Tom Ford อดีตผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเฮาส์ (ระหว่างปี 1994 – 2004) มาตกแต่งเพื่อเพิ่มรายละเอียดของชิ้นงานให้ดูน่าสนใจ ควบคู่กับการใช้ผ้าแคนวาสเคลือบ และโลโก้คริสตัล GG ที่เคยได้รับความนิยมในยุคของ ทอม ฟอร์ด เช่นกัน เรียกว่าเป็นคอลเล็กชั่นต้อนรับ Gucci ยุคใหม่ โดยเริ่มจากการเคารพประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของเฮาส์ในแต่ละยุค ก่อนจะเริ่มก้าวต่อไปอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้

Similar Articles

More