สองนักแสดงต่างขั้ว ‘จิมมี่ & ซี’ ขั้วหนึ่งสุขุมลุ่มลึก ขณะที่อีกขั้วสดใสหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา

ต้อนรับการมาเยือนของ จิมมี่-จิตรพล โพธิวิหค และ ซี-ทวินันท์ อนุกูลประเสริฐ สองหนุ่มต่างขั้วที่เส้นทางการแสดงขีดให้มาพบเจอกันในซีรีส์เรื่อง Vice Versa รักสลับโลก, Last Twilight ภาพนายไม่เคยลืม และ Our Skyy 2 พวกเขาจะมาบอกเล่าประสบการณ์ในแวดวงบันเทิงที่ทั้งสนุกและท้าทายให้ชาวแอลเมนได้รู้อย่างออกรส 

ตัวตนจริงๆ ของคุณทั้งคู่เป็นคนยังไง

จิมมี่: ผมคิดว่าตัวเองเป็นเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์ ถ้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วให้ผมวาดจุดตรงกลาง ผมจะทำให้มันอยู่กึ่งกลางจริงๆ ถ้าเบี้ยวหรือไม่บาลานซ์จะรู้สึกหงุดหงิดทันที เวลาทำงานผมเป็นคนประเภทชอบเก็บรายละเอียด ดีเทลเล็กๆ น้อยๆ และชอบใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ตอนเข้าวงการมาแรกๆ ต้องปรับตัวเยอะมาก เพราะงานแสดงต้องใช้อารมณ์ ซึ่งตอนนี้สามารถบาลานซ์ได้ค่อนข้างดี จึงรู้สึกสนุกที่ได้ท้าทายขีดความสามารถของตัวเอง บวกกับเป็นคนชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ เวลามีเกมให้เล่น ผมมักจะวางแผนก่อน ขอประชุมกับเพื่อนๆ เพื่อหาวิธีเอาชนะให้ได้ ถ้าแพ้ก็จะขอแก้มืออีกรอบ แต่ในแง่ของการใช้ชีวิตก็ไม่ได้ตึงเครียดขนาดนั้น ผมเข้าใจดีว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรเพอร์เฟ็กต์
ซี: ผมเป็นคนกวนๆ จอยๆ ขี้เล่น เวลาอยู่กับเพื่อนจะคุยเสียงดังกระโชกโฮกฮาก แต่ถ้ามีเรื่องเครียดเมื่อไหร่จะเข้าโหมดนิ่งทันที 

สิ่งที่ทำให้ซีเครียดส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอะไร

ซี: ส่วนใหญ่เป็นการเตรียมตัวก่อนจะเริ่มงาน เพราะผมอยากให้งานออกมาดีที่สุด เลยต้องทำการบ้านเยอะๆ เวลาอยู่หน้างานจะได้แสดงศักยภาพให้เต็มที่

จากการทำงานร่วมกัน มีมุมไหนที่ทำให้รู้สึกประทับใจ

จิมมี่: ซีเป็นคนตรงต่อเวลา อ่อนน้อมถ่อมตนตลอดเวลา สามารถร่วมงานกับทุกคนได้ เป็นคนที่มีระเบียบวินัยค่อนข้างสูง
ซี: เขาเป็นคนมีระเบียบวินัย ทำงานเป๊ะมาก ด้วยความที่เป็นหมอก็จะเข้มงวดนิดนึง แต่มันดีนะ ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นเพื่อจะตามเขาให้ทัน

ในการถ่ายทำซีรีส์แต่ละเรื่อง คุณรู้สึกเอนจอยกับ Process ไหนมากที่สุด

ซี: ตอนเข้าเซตผมจะรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย เหมือนเรากระโจนเข้าไปเป็นตัวละครนั้นได้อย่างเต็มที่ แต่มันต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน ถือเป็นโมเม้นต์ที่ผมเอนจอยที่สุด
จิมมี่: ส่วนผมชอบตอนก่อนเปิดกล้องครับ! ชอบเวลาผู้กำกับและนักแสดงทุกคนมานั่งคุยกัน นัดอ่านบท ทำเวิร์กช็อป หรือออกไปดูสถานที่ถ่ายทำด้วยกัน เหมือนเราเริ่มจากศูนย์ ผ่านการตีโจทย์ว่าจะทำยังไงให้จิมมี่กลายเป็นตัวละครนั้น 

คิดว่าตัวเองเหมาะกับซีรีส์แนวไหน

จิมมี่: ที่จริงผมมีเซ้นซ์คอเมดี้นะ แต่เวลาเล่นซีนตลกๆ หรือแม้แต่แนวรอมคอมก็จะมีอาการเขิน ถือเป็นข้อจำกัดที่วันหนึ่งผมอยากก้าวผ่านไปให้ได้ นักแสดงหลายคนที่ผมรู้จัก ส่วนใหญ่จะบอกว่าคอเมดี้เป็นแนวที่ยากที่สุด มันต้องอาศัยจังหวะและเคมีของคนในกอง ผมเลยคิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะเหมาะกับแนวดราม่ามากกว่า
ซี: ผมเคยเล่นแนวคอเมดี้เหมือนกันนะ จำได้ว่าเครียดเลย จังหวะมันต้องได้จริงๆ ผมเลยคิดว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับแนวโรแมนติก-ดราม่า

แล้วสำหรับอาชีพนักแสดง คุณคิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้วรึยัง

จิมมี่: ผมคิดว่ายังไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา เมื่อมีโอกาสเข้ามาผมก็โฟกัสและตั้งใจทำให้ดีที่สุด ช่วงแรกในฐานะเด็กใหม่ก็ชอบสังเกตนักแสดงที่อยู่หน้ากล้องว่าเขามีเทคนิคอะไร เราก็อาศัยครูพักลักจำ พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมองถึงคนรอบข้างที่อยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่ตากล้อง ช่างไฟ ฝ่ายเสียง หรือในพาร์ตการถ่ายแบบ ผมก็อยากเข้าใจการทำงานในภาพรวมมากยิ่งขึ้น เริ่มศึกษาว่าแต่ละฝ่ายต้องทำอะไรบ้าง ทั้งช่างภาพ ช่างหน้า ช่างผม สไตลิสต์ ถ้ามีตรงไหนที่ช่วยซัปพอร์ตทีมงานได้ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะงานชิ้นหนึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย

วางเป้าหมายในอนาคตไว้อย่างไร

ซี: ผมอยากเป็นศิลปินที่ทำอะไรได้รอบด้าน ไม่ใช่แค่การแสดงอย่างเดียว ผมชอบร้องเพลง ชอบดนตรี เลยอยากพัฒนาตัวเองไปในด้านนี้ด้วย ส่วนในพาร์ตงานแสดงก็อยากลองเปลี่ยนคาแร็กเตอร์ให้หลากหลาย ผมมีต้นแบบเป็นพี่เต๋อ-ฉันทวิชช์ เวลาเล่นหนังหรือละครเขาจะพลิกบทบาทได้เรื่อยๆ ทำให้ผมรู้สึกอะเมซิ่งมาก 
จิมมี่: ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่วงการบันเทิงได้อีกนานแค่ไหน ส่วนตัวอยากทำงานด้านนี้อีกเรื่อยๆ เพราะยังสนุกกับทุกบทบาทที่ได้รับ ถ้าถึงจุดอิ่มตัวจริงๆ ก็คงผันไปทำงานตรงสาย กลับไปเป็นหมอตามที่ได้เรียนมา

Similar Articles

More