‘ไบร์ท นรภัทร’ ในวันที่ตระหนักได้ว่ารางวัลไม่ใช่เครื่องวัดความสำเร็จ

ถ้าใครลองหยิบชื่อ ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์ ไปใส่ใน Google จะเห็นว่าบทบาทที่นักแสดงคนนี้ได้รับส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นหนุ่มเพลย์บอยมากรัก เช่นเดียวกับตัวละครล่าสุด นนท์ ในซีรีส์คอเมดี้เรื่อง Love Lesson 010 แบบฝึกรักไม่รู้ล้ม ที่ออกอากาศทางช่อง one31 และเพิ่งปิดฉากอวสานไปหมาดๆ ก็ยังไม่ทิ้งคราบแบดบอยตัวฉกาจ บวกกับข่าวคราวเรื่องความรักความสัมพันธ์ในชีวิตจริงของไบร์ทเองที่ค่อนข้างหวือหวา คนจึงติดภาพและขนานนามให้เขาเป็น ‘พระเอกรักสนุก’ ไปโดยปริยาย

ไบร์ทยึดโยงอาชีพนักแสดงเป็นหลักมานาน 4 ปี ฝากผลงานละครไว้ทั้งหมด 15 เรื่อง และยังคิดจะทำต่อไปเรื่อยๆ ในวันที่แอลเมนพูดคุยกับไบร์ท นอกจากรอยสักลายไม้กางเขนบนแผงอกที่เรียกความสนใจได้ตั้งแต่แรกเห็น เรายังสัมผัสได้ถึงความเรียบง่ายผ่านท่วงท่าสบายๆ แววตาที่ปราศจากความแข็งกร้าว และรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ทั้งหมดทั้งมวลบ่งบอกว่าเขากำลังอยู่ในโหมดผ่อนคลาย ไร้กำแพงปิดกั้น พวกเราจึงคุยกันเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องคำสอน ศาสนา กีฬายิงปืน และอีกสารพัดเรื่องราว ทำให้บทสนทนาครั้งนี้กินเวลายืดยาวเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้

ความเปลี่ยนแปลงทางความคิด มุมมองต่อชีวิต และทัศนคติด้านการแสดงที่มุ่งมั่นแต่ถอดความมุทะลุดุดันออก ทำให้เราเห็นตัวตนอีกด้านของไบร์ทที่ชวนเซอร์ไพรส์พอสมควร ซึ่งเอาเข้าจริง ตัวตนของคนเป็นเรื่องที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ตามแต่ประสบการณ์จะพาไปพานพบกับอะไร ระหว่างทางเราอาจเจอทั้งสิ่งที่ใช่และสิ่งที่ไม่ใช่ เจอจุดที่ทับซ้อนหลากหลาย หาจุดตายตัวได้ยาก ตัวไบร์ทเองเคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ 5 ปีก่อนกับนิตยสารเล่มหนึ่งถึงเป้าหมายของอาชีพนักแสดงว่า กำลังมุ่งมั่นสั่งสมบารมีและชื่อเสียงเพื่อสร้างเส้นทางแห่งความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลจากเวทีอันทรงเกียรติมาครอบครองให้จงได้

ปัจจุบันไบร์ทยังคงแน่วแน่ เพียงแค่ผ่อนจังหวะลง ไม่ได้คึกคะนองแบบวัยรุ่นเลือดร้อน รู้วิธีรักษาสมดุลให้ชีวิตแต่ละด้านทั้งบทบาทคนทำงานและบทบาทลูกชาย เขาคุยกับตัวเองบ่อยขึ้น ถอยออกมาให้เห็นว่าตัวเองกำลังทำอะไร สิ่งที่ทำอยู่พาไปสู่ชีวิตที่ต้องการจริงไหม 

บทสัมภาษณ์นี้จะเผยให้เห็นว่าวันเวลากอปรกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อตัวตนและความคิดของคนคนหนึ่งมากน้อยเพียงใด

คำถามหนึ่งที่นักแสดงมักเจอคืออยากเล่นบทอะไร ความท้าทายแบบไหนที่ไบร์ทมองหาในคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ

พอดีผมเพิ่งดูซีรีส์ของเกาหลีเรื่อง The Eight Show แล้วชอบมาก ถ้ามีโอกาสก็อยากลองเล่นแนวนี้สักครั้ง มันเป็นซีรีส์เกี่ยวกับเกมล่ารางวัลที่กำหนดภารกิจมาให้ทำ ตัวละครจะต้องแข่งกันทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด เอารัดเอาเปรียบกันต่างๆ นานา เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ จะค่อยๆ เผยสันดานดิบให้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์ เหมือนพวกเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มันคงสนุกและแปลกใหม่สำหรับผม

4 ปีในวงการบันเทิงกับสิ่งที่ได้เรียนรู้

จากเด็กที่ไม่มีเป้าหมายจริงจังในชีวิตก็โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อก่อนอยากได้อะไรก็ต้องได้ เป้าหมายมีไว้พุ่งชนจนไม่แคร์สิ่งรอบข้าง บางครั้งหลงลืมคนใกล้ตัว ถึงแม้จะกลับบ้านเจอหน้าพ่อแม่ทุกวัน แต่รู้ตัวอีกทีก็พบว่าพวกเขาแก่ตัวลงมาก พอทำงานนานเข้าจึงเริ่มรู้จักบาลานซ์เพราะไม่อยากเสียดายทีหลัง ผมเลยพยายามให้ความสำคัญกับทุกอย่าง ไม่ได้เทน้ำหนักเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา อะไรที่เคยตั้งเป้าไว้ก็ทำสำเร็จมาแล้วหลายอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เป็นไปตามฝันคืออยากได้รางวัลการแสดงสักครั้ง อยากให้คนยอมรับในความสามารถ อยากให้คนนั้นคนนี้มองว่าเราเก่ง ซึ่งตอนนี้ความคิดมันเปลี่ยนไป ทำไมเราต้องเอาความสุขไปผูกไว้กับคนอื่นด้วยล่ะ พอซื่อสัตย์กับตัวเองจึงได้รู้ว่าความสุขแท้จริงที่ผมต้องการคืออะไร

ผมยังมุ่งมั่นกับการพัฒนาฝีมือของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพียงแต่ไม่กดดันหรือคาดหวังกับวัตถุหรือตัวรางวัลมากขนาดนั้น เป้าหมายในปัจจุบันคือการใช้ชีวิตให้มีความสุขทุกวัน อยากเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองจริงๆ หมายถึงการได้ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย กินกาแฟสักแก้วสองแก้ว ปรับ pacing ให้ช้าลง ไม่อยากทำงานแบบบ้าคลั่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

รู้ตัวตอนไหนว่าไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว มีอะไรเป็นหมุดหมายที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านของวัยบ้าง

ก่อนเปิดกองเรื่อง Love Lesson 010 แบบฝึกรักไม่รู้ล้ม ผมออกไปปาร์ตี้บ่อยมากเพราะอยากซึมซับตัวละคร ‘นนท์’ ให้เต็มที่ พอทำแบบนั้นไปสักระยะก็เริ่มเบื่อ เหมือนจักรวาลส่งสัญญาณอะไรบางอย่างมาบอกให้เราหยุด จากนั้นก็ตัดสินใจเลิกทุกอย่าง เลิกเที่ยว เลิกดื่มเหล้า จากเดิมติดนิสัยนอนเช้าตื่นบ่ายก็เข้านอนเร็วขึ้น ไม่ดูหนังหรือดูยูทูบนานๆ ปรับไลฟ์สไตล์ไม่ให้มีสิ่งรบกวนมากเกินไป ประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนก็หลับแล้ว ช่วงเช้าเลยมีเวลายืดเส้นยืดสาย ชมนกชมไม้ ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ได้อ่านหนังสือ ได้พาตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น

ข้อจำกัดของตัวเองที่อยากก้าวข้ามผ่านไปให้ได้คืออะไร

คงเป็นเรื่องอารมณ์ ผมไม่ชอบตัวเองเวลาโมโห ที่ผ่านมาผมอาจจะควบคุมกิริยาได้ แต่ไม่สามารถเก็บสีหน้าได้ บวกกับได้มาเรียนยิงปืนก็ค้นพบว่าเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะกับคนใจร้อนเลยสักนิด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เลิกเหล้า เพราะไม่อยากให้ตัวเองขาดสติ 

ทำไมถึงเลือกกีฬายิงปืน 

สมัยเด็กผมเคยเรียนเทควันโด แต่ล่าสุดเลือกเรียนยิงปืนเพราะผมเริ่มรู้สึกกังวลตอนอ่านข่าวจลาจลที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในต่างประเทศ สมมติว่าวันหนึ่งเราต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นก็ควรมีความพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอ ผมอยากปกป้องตัวเองและคนที่ผมรักจากอันตราย เลยตัดสินใจเรียนศิลปะการต่อสู้ทั้งยิงปืน มวยไทย มวยสากล ตอนนี้เริ่มอยากเรียนยิวยิตสู (การป้องกันตัวระยะประชิดด้วยการปล้ำและจับล็อก) เมื่อก่อนผมเคยเป็นคนขี้โมโหและก้าวร้าว เพราะลึกๆ ผมรู้สึกไม่มั่นใจ เลยแสดงออกไปแบบนั้นเพื่อข่มคนอื่น พอเราได้เรียนอย่างจริงจังและฝึกฝนจนมั่นใจก็ไม่จำเป็นต้องโชว์ออฟอีกแล้ว สิ่งที่ได้จากการเรียนคอมแบตมันทำให้เรานิ่งขึ้น โดยเฉพาะการยิงปืนซึ่งเป็นอาวุธที่น่ากลัว ผมต้องแก้นิสัยใจร้อน ไม่อย่างงั้นจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย

เหลือบไปเห็นหนังสือที่ถือติดมือมาอ่านระหว่างรอเข้าเซ็ต อยากรู้ว่าไบร์ทเริ่มเข้าวงการนักอ่านตั้งแต่เมื่อไหร่ 

ผมเชื่อเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด หลังจากปรับพฤติกรรมตัวเองก็สังเกตว่าเริ่มมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ผมค่อยๆ สะสมหนังสือและได้เจอหนังสือหลายเล่มที่สร้างพลังงานดีๆ หนึ่งในนั้นคือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ The Miracle of Being Awake เขียนโดย Thich Nhat Hanh (ติช นัท ฮันห์) เล่มนี้คุณลุงเจ้าของร้านขายหนังสือเก่าที่ดองกี้เอกมัยเป็นคนแนะนำครับ เป็นหนังสือที่เขียนไว้นานมากแล้วแต่เนื้อหาค่อนข้างร่วมสมัย เกี่ยวกับการฝึกสติที่ประยุกต์พระพุทธศาสนามาใช้ ซึ่งจริงๆ ผมเป็นคริสเตียนนะ แต่คำสอนนี้ดีมาก ไม่ได้มีท่าทีแบ่งแยกหรือสอนสั่ง แต่อ่านแล้วรู้สึกว่าเขากำลังเตือนสติและเข้าถึงง่าย ทำอย่างไรจะสามารถอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนรอบข้างให้มีความสุข คำตอบคือเราต้องใช้ชีวิตทุกขณะอย่าง ‘มีสติ’ นั่นเอง

Similar Articles

More