Words & Photo: Kant Jominta
“น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชั่น” เรียกว่าเป็น ‘โรงแรมในฝัน’ เลยก็ว่าได้สำหรับโรงแรม DDD HOTEL (Triple D) ซึ่งมีคอนเซปต์หลักมาจากคำว่า Design – Development – Destination จะอธิบายความเท่ของโรงแรมนี้อย่างไรดีนะ อย่างแรกเลย คือมีความมินิมัล เรียบง่าย แต่ไฮโซอยู่เบาๆ คุมโทนด้วยสีเขียว Moss Green สีขาว และดำ สถาปนิกบอกว่าดูแล้วสบายตาดี มีความตัดกับสีเหลืองส้ม Warm White ของไฟ และทองเหลือง ดูลงตัวมาก


อยากจะเล่าเรื่องราวของการออกแบบโรงแรมนี้สักนิด เดิมตรงนี้เป็นตึกโรงแรมเก่า อายุเกือบ 40 ปี แต่ทำเลดีมาก คืออยู่ติดสถานีรถไฟ Bakurocho เดินทางง่าย ตอนออกแบบเจ้าของคิดว่า สังคมข้างนอกวุ่นวายอยู่แล้ว เต็มไปด้วยเรื่องราวข่าวสารมากมาย ดังนั้น นักธุรกิจหรือคนที่จะมาพักก็น่าจะอยากได้ความสงบ เกิดความผ่อนคลาย มีสมาธิ ได้รับการพักผ่อนที่มีคุณภาพมากที่สุด
จนกลายมาเป็นอาคารก่ออิฐสีน้ำตาล ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอาคารน้อยใหญ่ในโตเกียว ย่าน Bakurocho ย่านขายผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บ คล้ายกับพาหุรัดของญี่ปุ่น ประตูสีทองเหลืองที่แปะป้ายเล็กๆ บอกไว้ด้านซ้าย แทบจะไม่มีข้อมูลอื่นใดให้รู้เลยว่านี่คือ ‘โรงแรม’ กวาดตามองชั้นล่าง ไม่มีผู้คนใดๆ ไม่วุ่นวายเหมือนโรงแรมทั่วไป มีเพียงผนังโล่งๆ และงานศิลปะหนึ่งชิ้น ที่จัดเก้าอี้ไว้ให้เรานั่งมอง


ที่เราชอบมากคือการเล่นกับแสงและเงา บนความว่างเปล่าของพื้นและผนัง ทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายคล้ายกับว่าได้หยุดพักจากความวุ่นวายของเส้น สี แสง เสียงภายนอก มาสู่โลกแห่งการพักผ่อนที่สงบนิ่ง ก่อนที่จะไปเผชิญโลกใบเดิมในวันใหม่ต่อไป ขณะเดียวกัน หากเราหันไปอีกด้าน มองผ่านกระจกใสบานใหญ่ออกไปข้างนอก นั่นคือความพลุกพล่านของผู้คน รถราวิ่งกันวุ่นวายตามประสาเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ช่างเป็นภาพที่คอนทราสต์กันทางความรู้สึกอย่างยิ่ง



ด้านซ้ายเป็นทางไปแกลเลอรีชื่อ Parcel เป็นพื้นที่รวมงานศิลปะดีๆ ที่อยากให้คนที่ผ่านไปมาได้แวะเข้ามาชม ออกแบบอย่างเรียบง่าย ล้อไปกับความเป็นโรงแรม โถงกลางบนชั้น 2 มีโต๊ะตั้งอยู่หนึ่งตัวเท่ากับโคมไฟ ล็อบบี้เปิดโล่งให้เห็นพื้นด้านล่างคล้ายกับบ่อน้ำ ส่วนผนังเจาะหน้าต่างกว้างให้รับแสงธรรมชาติและเห็นวิวจากด้านนอก แทนการใช้ภาพประดับตกแต่งทั่วไป อีกด้านจัดเป็นเก้าอี้พร้อมเคาน์เตอร์บาร์ สามารถมานั่งจิบกาแฟดีๆ ได้ที่ ABNO Cafe’ & Bar ที่เสิร์ฟกาแฟแบบแรร์ไอเท็ม ส่วนใครอยากจะหอบโน้ตบุ๊กมาทำงานที่นี่ ก็มีบริการปลั๊กไฟและ Wi-Fi ให้พร้อม



ห้องพักบนชั้น 8 ของเราตกแต่งแบบเรียบง่าย ใช้สีเขียวมอสเป็นหลัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ยกเว้นทีวี ห้องที่พักไม่ใหญ่นัก ราวๆ 14 ตารางเมตร มีเตียงเดี่ยวขนาดควีนไซส์ เพียงพอสำหรับการพักคนเดียว มีหมอนจัดไว้ให้ 3 ใบกับไฟหนึ่งดวง
การตกแต่งเน้นหลักการเปิดโล่ง ใช้กระจกหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเปิดรับแสงแดดธรรมชาติจากภายนอก สามารถมองเห็นภาพความวุ่นวายของโตเกียว แต่ด้านในเข้าใจว่ากระจกคงหนามาก จนไม่ได้ยินเสียงอะไรลอดเข้ามา การตกแต่งใส่มู่ลี่และม่านไม้เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง ส่วนสีเขียวมอสเมื่อต้องแสงจะสว่างขึ้น ช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย กลายเป็นการรีบูตตัวเองไปโดยปริยายและทำให้ห้องสว่างขึ้น หัวเตียงมีเพียงไฟหนึ่งหลอด วางไอแพดที่คอยสั่งการและให้ข้อมูลด้านต่างๆ เกี่ยวกับที่พัก

#ELLEMENtips: ปลั๊กไฟเป็นแบบหัวแบนตามสไตล์ญี่ปุ่น หากใครมีสายชาร์จหรือปลั๊กหัวกลม อาจจะต้องเตรียมหัวปลั๊กอินเตอร์ติดมาด้วย แต่ส่วนมากเราจะนิยมพกไว้ในกระเป๋าเดินทางเลย เพราะไม่รู้ว่าโรงแรมไหนจะเจอปลั๊กแบบไหน เอาหัวแปลงแบบเดินทางได้ทั่วโลกมาใช้ด้วยจะดีที่สุด

ทางโรงแรมจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะลูกค้ามักจะมาพร้อมกับกระเป๋าบรีฟเคสหนึ่งใบ เหมือนพักบิสิเนสโฮเต็ลทั่วไป ส่วนชุดนอน ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน มีดโกน มาเอาที่โรงแรมได้ จึงต้องเตรียมไว้ให้พร้อม ตู้เย็นจะซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งซ่อนในผนังข้างเตียงอีกที มีน้ำเปล่าขวดเล็กๆ ให้ ดีไซน์สวยดี ดูเรียบง่าย จนต้องเก็บขวดกลับมาไทยเป็นที่ระลึก
ห้องน้ำแบบเรียบๆ มีฝักบัวแต่ไม่มีอ่างอาบน้ำ ส่วนการจัดแสงและตกแต่งในห้องน้ำทำออกมาได้สวยดี วิวจากหน้าต่างห้องนอน เราถ่ายขอบหน้าต่างมาเป็นกรอบรูปด้วย สวยดี กลิ่นดิฟฟิวเซอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะของโรงแรมให้ความรู้สึกลึกลับแต่ไม่ซับซ้อน กลิ่นติดจมูกมาก จนอยากถามว่ามีขายไหม และที่นี่มีร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อสุดเก๋ Nôl การันตีโดยเชฟมิชลิน 2 ดาวชาวญี่ปุ่นมาทำให้กิน แต่จะแนะนำให้จองล่วงหน้า มิเช่นนั้นจะอดเหมือนเรา


โรงแรมให้บริการอาหารเช้าด้วย ใช้พื้นที่เดียวกับล็อบบี้และคาเฟ่ เมนูก็มีอย่างเรียบง่ายตามสไตล์คนญี่ปุ่น หลักๆ เลยคือ สลัด ไส้กรอก ไข่ แฮม คอนเฟลก โยเกิร์ต กาแฟ น้ำผลไม้ ฯลฯ อาหารเช้าที่นี่เกือบคลีน เรากินสลัดไป 2 จาน เพราะอยากลองน้ำสลัดที่มีให้เลือกหลากหลาย ส่วนไข่ต้มญี่ปุ่นจะสีขาว ครัวซองต์คือดีมาก กินกับกาแฟก็เข้ากัน เราชอบความคริสปี้ของเบเกอรีที่บางแต่กรอบ เนื้อนุ่มไม่หนัก มุมอาหารเช้าที่นี่มีหลากหลาย เลือกได้ตามใจชอบ มีหนังสือเกี่ยวกับครีเอทีฟเก๋ๆ ให้บริการยืมอ่าน กินเสร็จแล้วให้นำถาดจานชามไปไว้ที่ชั้นวางให้เรียบร้อยก่อนลุกกลับ



โรงแรมแบบนี้ถ้ามาเจอกับกลุ่มเพื่อนคอเดียวกันก็จะสนุกสนานกับการแลกเปลี่ยนทัศนะ คุยกันเรื่องศิลปะ ไลฟ์สไตล์ วัฒนธรรม สังคม คุยกันได้เรื่อยเปื่อย จนบางทีแทบไม่ได้ออกไปไหน
DDD Hotel เลยกลายเป็นคอมมิวนิตี้สำหรับคนเก๋ๆ อาร์ตๆ มีความชอบศิลปะ มีไลฟ์สไตล์แบบมินิมัล รสนิยมในการใช้ชีวิตดีๆ ให้มารวมกันตรงนี้ คนที่ชอบนอนโรงแรมเก๋ๆ อาร์ตๆ มีความยูนีคควรมานอนที่นี่ เพราะราคาไม่แพงนัก แต่ถูกจริตคนติดดีไซน์เก๋ๆ มินิมัลไลฟ์ เดินทางง่าย ใกล้รถไฟฟ้าไม่ถึง 1 นาที



การเดินทาง
ใช้รถไฟ JR ลงสถานี Bakurocho ทางออก 6-C4 เดินต่อ 1 นาที / หรือใช้รถไฟ Toei สาย Asakusa ลงสถานี Asakusabashi ทางออก A2 จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
