เจมีไนน์-โฟร์ท-ปอนด์-ภูวินทร์ เคมีลงตัวของคนเจนใหม่ที่เข้ากันได้และเข้ากับสไตล์อเมริกันคลาสสิก

Words: Panicha Imsomboon

ยกให้เป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายวงการแฟชั่นและวงการบันเทิงไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เมื่อแบรนด์แฟชั่นสัญชาติอเมริกันอย่าง Tommy Hilfiger ประกาศให้สี่หนุ่ม เจมีไนน์-นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์, โฟร์ท-ณัฐวรรธน์ จิโรชน์ธิกุล, ปอนด์-ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์ และ ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ทำหน้าที่แฟชั่นไอคอนรุ่นใหม่ผู้ถ่ายทอดดีเอ็นเอแบบอเมริกันคลาสสิกของแบรนด์ผ่านเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่

การเลือกนักแสดงเจเนอเรชั่นใหม่ที่แมตช์กับสไตล์ American Preppy และการเลือกทั้งสี่คนที่มีบุคลิกแตกต่างกันแต่เป็นกลุ่มเพื่อนที่เข้ากันได้ดี กลายเป็นเคมีอันลงตัวที่ทำให้สไตล์ของแบรนด์เป็นรูปธรรมมากขึ้น พร้อมกับตอกย้ำกระแส T-wave ที่ส่งผลให้ชื่อของประเทศไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานแฟชั่นระดับโลก

รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกับ Tommy Hilfiger ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ชาวไทยที่กำลังปลุกกระแส T-wave

เจมีไนน์: รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติครับ ชอบที่มีโอกาสได้ทำอะไรใหม่ๆ นี่เป็นครั้งแรกในอาชีพของผมที่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเสื้อผ้า ดีใจที่เขาให้โอกาสเราและจะทำอย่างเต็มที่ครับ 

โฟร์ท: ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระแส T-wave ครับ ดีใจที่ได้ทำให้กระแสนี้บูมขึ้นไปอีก

ปอนด์: ประทับใจและดีใจมากๆ เลย จริงๆ ตั้งแต่มีโอกาสได้ไปแฟชั่นวีคของ Tommy Hilfiger ครั้งแรกเมื่อตอนต้นปีที่แล้วก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นและแปลกใหม่มาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เราได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลก พอไปครั้งที่สองที่เราได้รับตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็ยิ่งประทับใจมาก อยากจะนำเสนอเสื้อผ้าและสไตล์ของแบรนด์อย่างเต็มที่ครับ

ภูวินทร์: รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ครับ แล้วก็มองว่าในช่วงนี้ที่ทั้ง T-pop เอง ทั้งวงการบันเทิงของไทยก็กำลังมาแรงในไทยและในต่างประเทศ เราได้ไปพรีเซนต์ความเป็นไทยของเรา ทำให้วงการบันเทิงของไทยออกสู่สายตาชาวต่างชาติเหมือนที่เกาหลีทำได้เมื่อหลายปีก่อนก็ยิ่งเป็นเกียรติมาก

คิดอย่างไรกับคำว่า T-wave

เจมีไนน์: ผมว่าคนไทยมีศักยภาพและมีความสามารถเยอะมากนะ อย่าง T-pop นี่มีเสน่ห์มาก เพราะเราอยู่กันเหมือนครอบครัว มีน้ำใจต่อกันมาก มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ T-wave เลยที่เราพร้อมจะซัพพอร์ตและเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

ปอนด์: สำหรับผม T-wave เหมือนตัวแทนของประเทศ อย่างพวกเราสี่คนก็เป็นเหมือนตัวแทนคนไทยกลุ่มแรกที่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Tommy Hilfiger ซึ่งเราไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกขนาดนี้

ภูวินทร์: T-wave ก็เหมือนกระแสที่หลายๆ ประเทศผ่านมาแล้วก่อนหน้านี้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือเกาหลี ที่ทั้งดนตรี ซีรีส์ วงการบันเทิงของเขาได้ออกไปสู่ในเลนส์ของชาวโลกและมีผู้ติดตามจากประเทศอื่นๆ ที่มากไปกว่าประเทศตัวเองและประเทศเพื่อนบ้าน เราได้เข้าสู่สเตจที่เป็นระดับโลกมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศเราเหมือนกัน จุดเด่นของ T-wave ผมว่าอยู่ตรงที่คำว่า ‘อิสระ’ ผมว่าคนไทยมีอิสระที่หลายชาติไม่มี ไม่ใช่ว่าชาติอื่นเขาไม่มีอิสระนะ แต่หมายถึงอิสระในการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองแบบคนไทย เรานำเสนอสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารู้สึกได้ในแบบที่ค่อนข้างฟรีมากๆ ผมเชื่อว่านี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกหันมาสนใจตัวนักแสดงไทย ศิลปินไทย และดนตรีไทยครับ

แคมเปญ T-wave และการทำงานกับแบรนด์ระดับโลกจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงให้กับผู้คนในแง่ไหนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้คนรอบข้างหรือแฟนคลับเรา

เจมีไนน์: อย่างเวลาเราเห็นคนไทยไปแข่งโอลิมปิก หรือเห็นพี่ลิซ่าที่เขาดังมากๆ เราก็จะภูมิใจและมองว่าคนไทยสามารถไปได้ไกล ในส่วนที่ผมอยู่ในแคมเปญนี้ ผมว่าผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนต่างประเทศรู้จักคนไทยมากขึ้น รู้ว่าคนไทยทำแบบนั้นแบบนี้ได้ เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศไทยได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งก็จะทำให้ดีครับ 

โฟร์ท: ผมว่ามันเปิดโอกาสให้ดาราหรือศิลปินไทยสร้างชื่อเสียงหรือแสดงความสามารถให้คนต่างประเทศได้เห็น

ปอนด์: ผมรู้สึกว่าเสื้อผ้าของ Tommy Hilfiger เป็นไลฟ์สไตล์ที่ดูดีและเข้าถึงง่าย ใส่ในชีวิตประจำวันได้ สำหรับใน T-wave ใครๆ ก็ใส่ได้

ภูวินทร์: สุดท้ายแล้วมันคือคำว่า influence หรือ influencer ก็คือการมีอิทธิพลต่อชีวิตคนอื่น มีอิทธิพลต่อตัวเอง ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีและจะส่งผลดีต่อเมืองไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และผู้คนที่ได้เข้าสู่สเตจโลก มีโอกาสมากขึ้นในการทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง

การได้ร่วมงานกับ Tommy Hilfiger จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

เจมีไนน์: เราคงไปเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ไม่ได้ แต่เราอาจจะทำให้ภาพของ Tommy Hilfiger มีความสดใสขึ้น ดู energetic ขึ้น ด้วยความที่เราเป็นกลุ่มเพื่อนกัน 

โฟร์ท: แต่ก่อนเราจะเห็นฝรั่งใส่เสื้อของแบรนด์นี้เป็นส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเห็นในเอเชียมากขึ้น ตั้งแต่ที่ Stray Kids มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แล้วก็รู้สึกว่ามันน่าจะทำให้เข้าถึงง่ายขึ้น

ความเป็นตัวเรามีจุดที่คลิกกับดีเอ็นเอของ Tommy Hilfiger ตรงไหนบ้าง

เจมีไนน์: ผมว่าเสื้อผ้าของ Tommy Hilfiger มีความคลาสสิกที่ใส่ความโมเดิร์นเข้าไป ทำให้ทันสมัยตลอดเวลา คนสมัยนี้ใส่ได้ ไม่ใช่แค่คนที่เป็นผู้ใหญ่ แต่คนเจนใหม่ก็ใส่ได้เหมือนกัน ตัวผมเองก็อาจจะเป็นตัวแทนที่แสดงออกถึงความเป็นเด็กเจนใหม่ในตัวของแบรนด์ เสื้อผ้าของแบรนด์ก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้ด้วย เพราะช่วยให้ภาพลักษณ์เราดูดีขึ้น

ก่อนจะมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ มองแบรนด์นี้อย่างไร

ภูวินทร์: ผมใส่ Tommy Hilfiger มาก่อนอยู่แล้ว แต่พอมาอยู่ในตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ทำให้เราได้เห็นหลายอย่างที่นอกเหนือจากที่เราคุ้นเคย อย่างตอนเราเป็นคนใส่เฉยๆ ของที่เราคุ้นที่สุดก็คือเสื้อและกางเกงที่เป็น Tommy Jeans พอได้ทำงานแบบใกล้ชิดถึงเห็นว่า องค์ประกอบแต่ละอย่างก่อนที่จะออกมาเป็นเสื้อผ้าแต่ละลาย แต่ละชิ้น มันมีความพิถีพิถันและมีไอเดียในนั้นเยอะ ก่อนหน้านี้เราอาจจะไม่รู้ว่าโปรดักต์แต่ละชิ้นมีความหมายลึกซึ้งขนาดนี้

ประสบการณ์อะไรที่น่าจดจำจากการได้ร่วมงานกับ Tommy Hilfiger 

เจมีไนน์: การไปถ่ายภาพก่อนที่จะประกาศว่าพวกเราสี่คนเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ตอนที่ไปถ่าย เรารู้สึกว้าวว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ที่ได้ไปนิวยอร์กแฟชั่นวีคก็ประทับใจอยู่แล้ว เพราะไปกับเพื่อนด้วย สนุก ได้เจออะไรใหม่ๆ เจอสังคมใหม่ๆ แต่การถ่ายภาพก่อนประกาศมันมีทั้งความตื่นเต้นและความภาคภูมิใจ แล้วผมใส่แบรนด์นี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าไปดูรูปตอนเด็ก ยังมีรูปผมใส่เสื้อสีเหลืองของ Tommy Hilfiger อยู่เลย

โฟร์ท: การได้ไปอเมริกาพร้อมกับอีกสามคนเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม ประทับใจที่มีแฟนคลับที่นั่นมาให้กำลังใจเราในวันที่เราไปชมแฟชั่นโชว์ เราไม่คิดว่าจะมี แต่ก็มีทั้งฝรั่งและคนไทยที่นั่น

ปอนด์: สำหรับผมทริปที่ได้ไปแฟชั่นวีคเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเป็นทริปที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลย เพราะได้ออกไปเปิดโลกกว้างจริงๆ ครั้งแรกตอนเดือนกุมภาพันธ์ก็ดี แต่ตอนนั้นเราใหม่มาก พอครั้งที่สอง เรารู้ไวบ์ รู้บรรยากาศ และไปในฐานะตัวแทนที่ Tommy Hilfiger เลือก มันเป็นโมเมนต์ที่ผมจะไม่ลืมเลย แล้วยิ่งไปกับภูวินทร์ เจมีไนน์ โฟร์ท เป็นมิตรภาพที่สนุกจริงๆ เราตื่นมาออกกำลังกายกันแต่เช้า ได้ไปทำนู่นทำนี่ ออกไปหาอะไรกิน ได้เจออะไรหลายอย่างเลย มันดีมากๆ

ภูวินทร์: เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากครับ ดีใจและขอบคุณที่ได้ทำงานกับแบรนด์ แล้วยิ่งพวกเราสี่คนมาอยู่ด้วยก็ยิ่งสนุก ถ้าน่าจดจำที่สุดน่าจะเป็นการไปนิวยอร์กแฟชั่นวีคด้วยกันสี่คน เพราะนอกจากจะได้ไปกับเพื่อนๆ แล้ว ยังได้เจอสถานการณ์ใหม่ๆ อย่างแฟชั่นโชว์บนเรือเฟอร์รีที่ไป Staten Island ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก

แต่ละคนมองเรื่องแฟชั่นกันอย่างไร มีผลต่อการเลือกเสื้อผ้าแค่ไหน

เจมีไนน์: ผมว่าแฟชั่นเป็นเรื่องแล้วแต่คนเลย อยากจะลองใส่แบบไหน ตัวตนเป็นยังไง แต่ถ้าตัวผมเองก็แล้วแต่เรื่องที่ต้องทำในวันนั้น วันไหนอยากใส่ลุคที่ดูสตรีตหน่อยก็ใส่เสื้อผ้าโอเวอร์ไซส์ วันไหนอยากได้ลุคผู้ดีก็ใส่ Tommy Hilfiger เลย ใส่เสื้อพอดีตัวนิด เสื้อคอปก กางเกงสแล็ก แล้วแต่วัน แล้วแต่โอกาสว่าเราจะไปทำอะไรและเลือกใส่ให้ถูกกาลเทศะ

โฟร์ท: แฟชั่นน่าจะเป็นความเป็นตัวเอง เรารู้สึกเราเหมาะกับเสื้อผ้าแบบไหน นั่นก็คือแฟชั่นแล้ว ส่วนตัวจะเลือกเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ตามโอกาส ตามงานที่ทำ ตามกาลเทศะ ถ้าเที่ยวก็ใส่เสื้อผ้าสบายๆ แต่ถ้าทำงานก็เลือกที่มันสวยงาม มีดีไซน์

ปอนด์: ผมสนใจเรื่องแฟชั่นมานานแล้ว อย่างเส้นทางวงการบันเทิง ผมได้เต้น ได้เป็นนักแสดง ได้เพอร์ฟอร์มบนเวที แต่สิ่งที่ยังอยากทำก็คืออยากรันวงการแฟชั่น เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้วที่พยายามจะหาคาแร็กเตอร์ของตัวเองว่าเหมาะกับอะไร พยายามมิกซ์แอนด์แมตช์ จนเราได้ไปแฟชั่นวีคครั้งแรกก็รู้แล้วว่า Tommy Hilfiger นี่ดูเป็นเราเข้ากับไลฟ์สไตล์เรา 

ภูวินทร์: แฟชั่นเป็นอะไรที่อิสระ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตอนนี้คนไทยกับแฟชั่นเริ่มไปด้วยกันได้มากขึ้น มันคือการใส่เสื้อผ้าที่แล้วแต่คน แล้วแต่สไตล์จริงๆ ถ้าเราคิดว่าสวยและชอบ ผมว่าแค่มีสองอย่างนี้ไปด้วยกันก็ทำให้ออกมาเป็นแฟชั่นแล้ว คล้ายๆ กับคนไทยที่มีความอิสระนี่ละ อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเป็นอะไรก็เป็น อย่างตัวผมจะชอบสไตล์เรียบๆ ชอบความน้อยแต่มาก อาจจะไม่ได้ใส่หลายชิ้น เน้นใส่เรียบๆ ง่ายๆ แต่อยากให้ออกมาดูดี

คิดว่าแฟชั่นในปัจจุบันควรจะเป็นแบบไหน

เจมีไนน์: แฟชั่นไม่ตายตัวอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบไหน อาจจะแล้วแต่เทรนด์ตอนนั้นด้วย แต่ต่อให้แต่งตัวตามเทรนด์หรือไม่ตาม ผมว่ามันไปได้หมดเลย มันยืดหยุ่นมาก

โฟร์ท: เป็นแบบไหนก็ได้ครับ แล้วแต่เลย เอาที่ตัวเองมีความสุข อยากใส่ กับแล้วแต่กาลเทศะด้วย

ปอนด์: ผมว่าทุกอย่างคือแฟชั่น อย่างส่วนตัวก็อยากลองแต่งแนวเฟมินีนเหมือนกัน เพราะมองว่าเป็นอีกสไตล์หนึ่งที่เรายังไม่เคยทำ เพราะถ้าเราชอบแฟชั่นแล้ว เริ่มทำงานทางสายนี้ เราต้องเอาอยู่ทุกลุคในคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน

ภูวินทร์: ยังไงก็ได้เลยครับ ไม่ตายตัวเลย ไม่มีคำว่า ‘ควรจะเป็นแบบไหน’ ด้วย คือถ้าคุณคิดว่าอะไรดี คิดว่าสวย คุณชอบ คุณใส่ มันอาจจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าคุณชอบ แค่นั้นก็พอแล้ว

Credit
Editor-in-Chief:
 Nichakul Kitayanubhongse
Deputy Editor: Patmavut Pothichapan
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan
Digital Editor: Khanakon Phettrakul
Digital Content Editor: Patsaraporn Chanamueng
Digital Content Creator: Poohchiss Kuanpiputkul
Photographer: Wassu Sukatocharoenkul
Videographer: Ketsara Leecharoen
Makeup: Torranit Jirasirikan, Sutipat Pinchum
Hair: Sirasit Sirikarin, Kongkiat Krissakree

Similar Articles

More