WORDS: Thamzien Gamer
หากต้องจำแนกความเพลิดเพลินในการเล่นเกม เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับ อย่างแรกคืออยากเล่นจนจบ เกมสนุก เนื้อเรื่องดี อยากพาตัวเองไปให้ถึงบทสรุป ส่วนประเภทที่สองคือเกมที่หลงเปิดแล้วหาปุ่มปิดไม่เจอ อยากให้ชั่วโมงที่นับนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องราวดำเนินไปก็กลัวว่าจะใกล้ตอนจบ ซึ่งตลอดชีวิตของผู้เขียนที่ติดเกมพอตัว ยกให้ความเพลิดเพลินในระดับที่ 2 มีไม่มากนัก ทั้งนี้ Baldur’s Gate 3 ทำให้มนุษยชาติค้นพบเกมดีไปอีกขั้น ไม่ใช่แค่อยากรู้ตอนจบ หรือไม่อยากให้อวสาน แต่อยู่ในเกณฑ์ที่ว่าหากเล่นจบแล้วมีเล่นอีกรอบแน่นอน คำเตือนเดียวที่อยากดอกจันไว้คือบริหารเวลาของคุณให้ดี เพราะคุณจะเสพเกมนี้เป็นอย่างแรกและอย่างสุดท้ายในแต่ละวัน
จาก 1974 ถึง 2023
Baldur’s Gate 3 คือทุกความทันสมัยในนาทีนี้ คุณนั่งอยู่บ้าน กดโหลดเกม แล้วเข้าไปอยู่ในโลกคู่ขนานได้เลย โลกที่มีระบบการควบคุมพร้อมงานภาพ/เสียงไร้ที่ติที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีปัจจุบันได้อำนวย ทั้งนี้ก่อนจะดูเหมือนพวกคลั่งโลกดิจิทัลจนเกินไป เราอยากให้คุณทราบว่ารากของเกมแห่งปีล่าสุดนั้นมาจากเกมตั้งโต๊ะหรือ Tabletop RPG จากจักรวาล Dungeons & Dragons ซึ่งเริ่มจำหน่ายครั้งแรกในปี 1973
Baldur’s Gate ภาคที่สามเป็นภาคแรกของหลายคน
Baldur’s Gate ภาคที่สามเป็นภาคแรกของหลายคน ในขณะที่จักรวาล Dungeons & Dragons เป็นเพียงชื่อที่คุ้นหู เคยได้ยินแต่ไม่ได้รู้จัก ส่วนเกมประเภท Tabletop RPG นั้นยิ่งแล้วใหญ่ โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่เกิดมาก็โอบล้อมด้วยโลกดิจิทัลแล้วยิ่งไกลห่าง (เราเองก็เช่นกัน) ขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ให้เห็นภาพว่า Tabletop RPG คือการละเล่นที่ชวนเพื่อนมนุษย์มานั่งล้อมโต๊ะกัน แล้วสวมบทบาทเป็นตัวละครในเกม โดยเกมที่ว่าจะดำเนินเกมโดย GM หรือ Game Master โดย Dungeons & Dragons จะเรียกว่า DM หรือ Dungeon Master กล่าวคือองค์ประกอบเบื้องต้นได้แก่ ผู้เล่น ซึ่งมักมีประมาณ 4 คน กับผู้ดำเนินเกม 1 คน
เหตุที่ต้องอธิบายที่มาตรงนี้เพราะว่า Baldur’s Gate เป็นเกมที่พัฒนาวิธีการเล่นจากต้นฉบับและยังคงเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่การสร้างตัวละครสมมติและสวมบทบาท ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัย ทักษะพิเศษ ความถนัดการใช้อาวุธ ฯลฯ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ของตัวละครจะส่งผลต่อเกมทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าขณะยามต่อสู้หรือการตัดสินใจในแอ็กชั่นทั้งหลาย โดยจะสำเร็จหรือไม่มีหัวใจสำคัญ วัดผลด้วยการทอยเต๋า
Baldur’s Gate 3 เกมแห่งปีที่ 2023
ใช่แล้ว เกมแห่งปีที่ 2023 ใช้วิธีเดียวกับเกมกระดานแห่งยุค ’80s (ลองนึกภาพบรรยากาศจากซีรีส์ Stranger Things) ลบภาพเต๋าหกด้านที่คุ้นเคยไปก่อน ลูกเต๋าที่ว่ามีหลายดีไซน์และออกได้หลายตัวเลข อย่างเช่น เต๋า D20 สามารถออกเลขได้ถึง 20 โดยการใช้ลูกเต๋าก็ขึ้นอยู่กับความยาก (Difficulty Class) ของแอ็กชั่นทั้งหลาย เช่น การเปิดประตูซึ่งง่าย ก็ทอยแค่ให้ได้ตั้งแต่มากกว่า 3 หรือถ้ายากขึ้น เช่น การสะเดาะกลอนหีบสมบัติ ต้องได้ผลลัพธ์มากกว่า 20 ขึ้นไป ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องทอยให้ได้ 20 เท่านั้น แต่ผลลัพธ์สุดท้ายสามารถนำไปรวมกับทักษะของตัวละคร สมมติว่าตัวละครมีทักษะด้านการขโมย +5 ก็ทอยให้ถึง 15 เป็นอย่างต่ำแทน
เหตุที่มันสนุกโคตรประกอบด้วย 2 ปัจจัย
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน อย่างเช่น เมื่อเข้าสู่ช่วงต่อสู้จะเข้าโหมด Turn-Based ซึ่ง Baldur’s Gate 3 ทำได้เร้าใจเกินคาด หากพูดแบบห้วน ๆ เกมประเภท Turn-Based มีลักษณะคล้ายการเดินหมากรุก โดยหมากรุกที่ว่าคือตัวละครต่าง ๆ ที่มีทักษะต่างกัน อาจเป็นระยะการต่อสู้ใกล้หรือไกล หรือเป็นการใช้กำลังหรือเวทมนตร์ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เหตุที่มันสนุกโคตรประกอบด้วย 2 ปัจจัย ประการแรกคือมันท้าทายใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูระดับบอสก็ยากแล้วหากทีมของเราเตรียมตัวไปไม่พร้อม หรือเริ่มกระดานด้วยยุทธศาสตร์ที่เสียเปรียบ อีกประการที่เรารู้สึกว่าการต่อสู้ในเกมนี้ถูกออกแบบมาดีมาก ๆ คือเราไม่จำเป็นต้องสู้ก็ได้
ทั้งนี้เกมประเภท RPG มักมีวิธีการผ่านศัตรูที่หลากหลายอยู่แล้ว แต่เรามักอยากไปบวกกับมันเพราะความสะใจและรางวัลหลังจากเผชิญหน้า ในขณะที่ Baldur’s Gate 3 ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว เหตุผลส่วนตัวที่ประทับใจคือระบบเลเวลของตัวละคร เกมนี้ไม่ใช่เกมที่ต้องใช้เวลาไปกับการฟาร์มเพื่อพัฒนาเลเวล ค่าประสบการณ์สามารถเพิ่มได้จากการบรรลุจุดประสงค์ต่าง ๆ ไม่ว่าด้วยวิธีการใด อีกทั้งการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังมักพาไปสู่การดำเนินเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เห็นมิติของตัวละครประเภท NPC (Non-Player Character) ผ่านบทสนทนาและการพัฒนาของตัวละคร เหนือสิ่งอื่นใดค่าประสบการณ์ในเกมนี้ไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น เพราะเลเวลตัวละครทีมเราจะสุดที่เลเวล 12 อีกทั้งตัวละครทุกตัวยังมีเลเวลที่เติบโตไปพร้อม ๆ กัน ไม่จำเป็นต้องสลับตัวเพื่อฟาร์มเลเวล