อุตสาหกรรมแฟชั่นขึ้นชื่อเรื่องความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เทรนด์เสื้อผ้าเท่านั้นที่พัฒนาและเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง แต่การผลัดเข้าผลัดออกโฉมหน้าดีไซเนอร์คนใหม่เกิดขึ้นตลอดอย่างไม่มีวันจบเช่นเดียวกัน หลังจากโลกต้องช็อคกับสถานการณ์โรคระบาดที่เลวร้ายที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อุตสาหกรรมมากมายหลายแขนงต่างหยุดชะงักกว่าสองปีเพื่อรอให้ทุกอย่างคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น สำหรับปี 2022 ที่ผ่านมาถือเป็นปีแรกที่โลกสามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างเต็มที่ มนุษย์สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติรวมถึงธุรกิจที่เคยหยุดต่างกลับมาแบบค่อยเป็นค่อยไป


เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมแฟชั่นที่แม้จะปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตามการกลับมาแบบปกติย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว และเพื่อเป็นการเติมเชื้อเพลิงที่เกือบมอดการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นที่แบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ต้องกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความอยากอีกครั้ง เกมเก้าอี้ดนตรีของเหล่าดีไซเนอร์ดุเดือดไม่ต่างอะไรกับซีรีส์ House of Dragon การแย่งชิงบัลลังก์ที่มักเกิดขึ้นจากการคุยกันของคนใหญ่คนโตก่อนอำนาจะตกถึงมือใครสักคน ความท้าทายจริงๆ ไม่ใช่การเข้ามาแต่การนั่งคลองบัลลังก์ต่างหากที่ยากกว่าหลายเท่าตัว ตัวอย่างดูได้จากการลาออกกะทันหันของ Alessandro Michele ที่แม้ว่างานของเขายังขายได้และเป็นที่ต้องการแต่เมื่อไม่สามารถทำตัวเลขกำไรได้ตามที่บอร์ดอยากได้เขาก็มีสิทธิ์หลุดจากบัลลังก์ได้ทันที



ทำไมต้องเปลี่ยนดีไซเนอร์อยู่ตลอดเวลา? คำถามที่สามารถตอบได้ง่ายมากๆ ก็เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับแบรนด์อีกครั้งนั่นเอง เราเคยผ่านยุคดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Tom Ford , John Galliano , Marc Jacobs หรือ Raf Simons มาแล้ว ในปัจจุบันการหาดีไซเนอร์เข้ามาดูแลแบรนด์มีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น การได้ดีไซเนอร์ชื่อดังไม่ได้การันตีว่าแบรนด์จะประสบความสำเร็จอีกต่อไป แบรนด์และ CEO เริ่มมองหาชื่อของดีไซเนอร์ที่ตัวเล็กลงมา หวังจะใช้แพสชั่นและความใหม่ของพวกเขาเข้ามาเขย่าให้ภาพหลักแบรนด์เก่าแก่ดูทันสมัยขึ้น เช่น Alessandro Michele ที่ Gucci (ปัจจุบันลาออกแล้ว), Demna Gvasalia ที่ Balenciaga และ Anthony Vaccarello ที่ Saint Laurent นี่คือตัวอย่างของดีไซเนอร์นอกสายตาที่สามารถปรับทิศทางของแบรนด์ได้อย่างอัศจรรย์
ความหลากหลายเป็นประเด็นหลักที่แบรนด์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา การเข้ามาของ Virgil Abloh ที่ Louis Vuitton Men สร้างปรากฏการณ์มากมายให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น เขาไม่ใช่แค่คนดำที่รับบทบาทสำคัญแต่ยังเปิดกว้างให้อุตสาหกรรมแฟชั่นที่เคยถูกมองสำหรับคนเฉพาะกลุ่มให้สามารถเข้าถึงคนทุกระดับมากขึ้นได้ ที่ Chanel การเข้ามาของ Leena Nair ผู้หญิงคนแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง CEO ของแบรนด์มีเป้าหมายเพื่อสร้างตระหนักเรื่องความหลากหลายในองค์กรด้วยเช่นเดียวกัน
สิ่งนี้บอกอะไรกับเราบ้าง ‘ความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบ’ เซอร์ไพรส์ที่ผู้บริโภคเองก็อาจไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง โอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นของดีไซเนอร์ Gen ใหม่ที่สามารถเป็นใครก็ได้ พวกเขาและเธออาจสามารถสร้างแรงกระเพื่อมแบบที่ Virgil ได้ทำเอาไว้ และเพื่อเป็นการเริ่มต้นใหม่เช่นเดียวกับ ELLE Men ที่เรากลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ทีมใหม่ และเอเนอร์จี้ใหม่ เราจึงอยากเริ่มต้นด้วยเหล่าลมหายใจใหม่ของอุตสาหกรรมแฟชั่น เหล่าดีไซเนอร์ความหวังใหม่ที่หลายคนรอให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงและสร้างความตื่นเต้นให้กับอุตสาหกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์นี้
Passing The Torsch
Daniel Lee for Burberry



เหมือนเป็นธรรมเนียมของทุกแบรนด์ไปเสียแล้วเมื่อเปลี่ยน CEO ย่อมต้องเปลี่ยนดีไซเนอร์ไปพร้อมกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นล่าสุดที่ Burberry เมื่อ Jonathan Akeroyd เข้ารับตำแหน่ง CEO คนใหม่ พร้อมการโบกมือลาของ Riccardo Tisci ที่กำลังจะหมดสัญญา และการเข้ามาของ Daniel Lee อดีตดีไซเนอร์หัวกะทิของ Bottega Veneta ในฐานะครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่มีจุดประสงค์ก็เพื่อทำให้ภาพรวมของแบรนด์ดูใหม่ขึ้นเปรียบเสมือนการเริ่มต้นศักราชใหม่ไปพร้อมกัน
สำหรับการรับช่วงต่อแบรนด์หรูสัญชาติอังกฤษอย่าง Burberry ถือเป็นงานหินสำหรับ Lee พอสมควร เมื่อเทียบขนาดสเกลของแบรนด์ Burberry ที่ใหญ่กว่า Bottega Veneta อยู่หลายเท่าตัว รวมถึง DNA ประวัติศาสตร์และมรดกอีกมากมายที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานเป็นโจทย์หินของดีไซเนอร์ทุกคนที่ต้องตีความสิ่งเหล่านี้ในบริบทใหม่ทั้งหมด ดังนั้นการที่เขาจะเล่นไม้เดิม เช่น การปิด Instagram ที่เขาเคยทำที่ Bottega Veneta อาจไม่สามารถทำได้กับแบรนด์นี้
การเป็นตัวเองสำคัญมากในงานสายครีเอทีฟนี้ แต่บางครั้งพวกเขาไม่ได้มีสิทธิ์วิ่งเล่นตามใจตัวเองได้ขนาดนั้น เมื่อยอดขายกลายเป็นปัจจัยหลักที่ดีไซเนอร์ยุคใหม่ต้องนึกถึงอยู่เสมอ งานครีเอทีฟที่ต้องสร้างเม็ดเงินได้ด้วยนั้นไม่ใช่โจทย์ง่ายเสมอไป ตัดสินจากพอร์ตงานที่ Bottega Veneta ตัว Lee เองน่าจะสามารถสร้างมนตร์ขลังบางอย่างให้กับ Burberry ได้ไม่ยาก จุดอ่อนจุดเดียวที่อาจทำให้ Tisci ต้องออกจาก Burberry ก็คือการที่เขากล้าเป็นตัวเองช้าไป ถ้า Lee เรียนรู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากดีไซเนอร์คนก่อนและกล้าที่จะตีความ Burberry ในบริบทของเขาเราเชื่อว่าเขาจะสามารถพาแบรนด์ไปได้ไกลเฉกเช่นเดียวกับที่เขาทำมาแล้วที่ Bottega Veneta
Matthieu Blazy for Bottega Veneta



ตำแหน่งว่างที่ Bottega Veneta ถูกแทนที่ทันทีโดย Matthieu Blazy มือขวาของ Daniel Lee กว่าสามคอลเล็กชั่นที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า Blazy ที่ไม่เป็นที่รู้จักนักไม่ได้มีอาการปลาช็อกน้ำแต่อย่างใด กลับกลายเป็นว่าเขาเข้าใจแก่นของแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยมและสามารถเล่าเรื่องผ่านงานดีไซน์ในมุมมองของตัวเองได้ตั้งแต่คอลเล็กชั่นเปิดตัว การันตีฝีมือจากการทำงานร่วมกับดีไซเนอร์ชื่อดังมากมายหลายต่อหลายคน เช่น Phoebe Philo, John Galliano และ Raf Simons พอร์ตงานระดับเทพที่ไม่ใช่เรื่องฟลุคแน่นอนที่เขาสามารถต่อยอด Bottega Veneta ไปต่อได้อย่างสวยงาม
ความแตกต่างระหว่าง Blazy และ Lee คือวิธีการนำเสอ DNA ของแบรนด์ที่ต่างกัน ทั้งคู่ชูงานฝีมือระดับสูงอย่าง Intrecciato ซิกเนเจอร์หลักของแบรนด์ให้ทันสมัยรับกับฐานลูกค้าที่วัยรุ่นมากขึ้น Lee เลือกงานดีไซน์กึ่งทดลองที่ดุดันและหวือหวาท้าทายผู้สวมใส่ ในขณะที่ Blazy เลือกนำเสนอในทางที่เรียบง่ายแต่แอบซ่อนงานคราฟต์ลงลึกในดีเทลของแต่ละชิ้นแทน รากเหง้าของ Bottega Veneta คือกระเป๋าหนังสานอย่างที่เรารู้จักกันดี Lee อัดฉีดความเปรี้ยวและความเป็นแฟชั่นให้กับแบรนด์ที่เคยเงียบให้กลับมาเป็นกระแสได้อีกครั้ง หน้าที่ของ Blazy คือการบาลานซ์และคงสภาพสถานะพร้อมต่อยอดให้แบรนด์ขับเคลื่อนไปข้างหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าก้าวกระโดด
ไม่แปลกเลยที่เขาเลือกที่จะนำเสนอ Bottega Veneta ในรูปแบบที่เข้าถึงได้มากกว่า เสื้อผ้าเรียบง่ายที่มองด้วยตาเปล่าอาจไม่ได้วิเศษอะไร เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ที่หารู้ไม่ว่ามันคือหนังที่ค่อยๆ ถูกฟอกจนมีสีที่ใกล้เคียงกับสียีนส์มากที่สุด งานฝีมือระดับสูงที่ซ่อนอยู่ในดีเทลของชิ้นงานมากกว่าโชว์ออกมาโต้งๆ การล้างภาพจำอีกครั้งของ Bottega Veneta ที่ไม่ได้รู้สึกสะดุดแต่อย่างไรแต่กลับลงตัวมากขึ้นด้วยฝีมือของ Blazy
New Era, New Definition
Maximilian Davis for Ferragamo



อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีการเปลี่ยน CEO คนใหม่นั่นก็คือ Salvatore Ferragamo หรือชื่อใหม่อย่าง Ferragamo ที่ได้ Marco Gobbati อดีต CEO คนก่อนของ Burberry มาประจำตำแหน่งสูงสุดฝ่ายบริหาร ซึ่งการมาของเขามีผลทำให้ Paul Andrew หลุดจากตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ไป และเขาได้เลือกดีไซเนอร์หน้าใหม่ไฟแรงอย่าง Maximilian Davis มาทำหน้าที่แทน
ใครที่กำลังสงสัยว่าดีไซเนอร์ผิวดำอายุเพียง 27 ปีคนนี้ทำไมสามารถก้าวเข้ามาเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ดังในขณะที่ชื่อของเขายังไม่เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างนัก คงตอบได้แค่ว่ามันคือการเสี่ยงดวงของ Gobbati และ Ferragamo เพื่อจุดประกายไฟให้แบรนด์ที่เงียบเหงากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง การจ้างดีไซเนอร์หนุ่มจากอังกฤษเชื้อสายตรินิแดดและจาไมก้ามีนัยยะคล้ายกับ Louis Vuitton ที่ดึง Virgil Abloh เข้ามาดูแลฝั่งของเสื้อผ้าบุรุษ Davis เคยร่วมงานกับดีไซเนอร์อังกฤษชื่อดังหลายคน เช่น Grace Wales Bonner, Mowalola, Asai และ Supriya Lele แน่นอนว่าสิ่งที่ Gobbati ต้องการคือความสดใหม่ มุมมองที่ไม่เหมือนใคร เพื่อล้างภาพจำที่ไม่แข็งแรงของ Ferragamo ใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
ตัวตนของ Davis จะเข้ากับ Ferragamo ได้ไหมนั้น คำตอบที่ต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะรู้แจ้ง แต่ที่แน่ๆ เขาคนนี้ไม่ธรรมดา Davis เคยมีผลงานเข้ารอบ Semi-Finialist ของการแข่งขันแฟชั่นชื่อดังอย่าง LVMH Prize มาแล้ว แม้จะต้องดรอปออกจากแข่งขันกลางคันเพราะได้งานที่ Ferragamo ก็ตาม ในฝากฝั่งคนดังงานดีไซน์ส่วนตัวของเขาเคยสวมใส่โดยเซเลบริตี้เอลิสต์ทั้งนั้น เช่น Rihanna , Kim Kardashian และ Dua Lipa แน่นอนว่าพวกเธอจะต้องตามงานของเขาต่อที่ Ferragamo เป็นแน่
คอลเล็กชั่น Spring/Summer 2023 งานดีไซน์เปิดตัวที่ผ่านมานั้น เขาสามารถผสานกลิ่นอายแคริบเบียนและเอสเซนส์ความเป็นอิตาเลียนได้กำลังพอดีไม่มีฝั่งไหนโดดเกินงาม งานเทเลอร์คมกริบบนซิลูเอ็ตต์เข้ารูปและสีสันที่ฉูดฉาดเอกลักษณ์ความเป็น Davis ที่แอบแทรกลงไปได้อย่างน่าสนใจ เขาเปลี่ยนโลโก้และตัดคำให้เหลือแค่ ‘Ferragamo’ รวมถึงการหยิบสีแดง Pantone 3546C มาเป็นสีประจำแบรนด์ หลายคนอาจตั้งคำถาม เพลย์เซฟ? เราคิดว่าใช่แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยที่จะลองผิดลองถูกไปก่อน Davis ยังมีเวลาอีกสักพักใหญ่ที่เขาสามารถเป็นตัวเองได้มากขึ้น แค่ครั้งแรกไม่ต้องรีบช็อกก็ได้
Harris Reed for Nina Ricci



นอกจาก Ferragamo แล้วยังมีอีกแบรนด์หรูสุดเก่าแก่ที่ต้องการดีไซเนอร์หน้าใหม่ไฟแรงเข้ามาปัดฝุ่นแบรนด์ให้ทันสมัยขึ้น นั่นก็คือ Nina Ricci แบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศสอายุร่วม 100 ปี ที่ปัจจุบันกราฟของแบรนด์นิ่งมากๆ จนแทบไม่มีใครพูดถึงอีกแล้ว ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาทางแบรนด์ได้ประกาศว่า ‘Harris Reed’ จะเข้ามาเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนล่าสุดของแบรนด์แทนที่คู่หูนักออกแบบอย่าง Lisi Herrebrugh และ Rushemy Botter จากแบรนด์ Botter ซึ่งออกจากตำแหน่งไปตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว
Harris Reed นั้นเป็นดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ-อเมริกันที่โด่งดังจากงานดีไซน์ที่ลื่นไหลทางเพศภายใต้ชื่อของเขาเอง งานดีไซน์ของเขาจัดจ้านและอาวองการ์ดในเวลาเดียวกันงานสุดดราม่าของเขาเข้าตาเซเลบริตี้ชื่อดังอย่าง Lil Nas X ที่สวมชุดของเขาที่งาน VMAs รวมถึงซูเปอร์โมเดล Iman ได้เลือกชุดของเขาสำหรับงาน Met Gala ในปี 2021
สำหรับเราแล้วทั้งคู่ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม มุมมองดราม่าไหลลื่นทางเพศดูน่าจะแมตช์เข้ากับความโรแมนติคติดกลิ่นอาวองการ์ดแบบ Nina Ricci ได้ ที่สำคัญงานของ Reed จัดว่าเป็น Semi-Couture เราอาจมีโอกาสเห็น Nina Ricci นำไลน์โอต์กูตูร์กลับมาอีกครั้งก็เป็นไปได้ อีกหนึ่งความท้าทายของการเข้ามาที่นี่คือไลน์น้ำหอมของแบรนด์ที่ถือว่าเป็นธุรกิจหลักในการโอบอุ้มแบรนด์ Nina Ricci ให้ยังลืมตาอ้าปากต่อลมหายใจไปได้อยู่เรื่อยๆ น้ำหอมกลิ่นไอคอนิคอย่าง ‘L’Air du Temps’ ยังคงขายดีจวบจนทุกวันนี้ Reed เองก็มีประสบการณ์ในการทำแบรนด์ Home Fragrance เป็นของตัวเอง จึงไม่แปลกที่เขาอาจเข้ามาร่วมพัฒนากลิ่นหอมตัวใหม่ให้กับ Nina Ricci ด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือการจ้างดีไซเนอร์ LGBTQ+ มากุมบังเหียนแบรนด์นั้นแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นเริ่มเปิดกว้างและไม่ได้อินกับกระแสความหลากหลายแค่ตามเทรนด์เท่านั้น แต่พวกเขากำลังปลูกฝังเมล็ดแห่งความหวังใหม่ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหนรสนิยมอย่างไรล้วนมีโอกาสที่จะไปยืดจุดเดียวกับดีไซเนอร์ทั้งสองที่เรากล่าวมา อนาคตของ Reed จะเป็นอย่างไรปี 2023 นี้น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ ตัวตนของเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญให้กับดีไซเนอร์ยุคต่อๆ ไป
Outside In, Inside Out
Filippo Grazioli for Missoni



นอกจากแบรนด์แฟชั่นขนาดใหญ่อย่าง Buberry, Bottega Veneta และ Ferragamo แล้วในปี 2022 ที่ผ่านมายังมีแบรนด์แฟชั่นอีกหลายแบรนด์ที่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็กเตอร์เพื่อเข้ามาปัดฝุ่นแบรนด์ให้มีน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแบรนด์ Missoni แบรนด์แฟชั่นที่ขึ้นชื่อเรื่อง Knitwear จากประเทศอิตาลีที่โดดเด่นเรื่องลายพิมพ์สีสันฉูดฉาด การเปลี่ยนตัวครีเอทีฟครั้งนี้ถือว่าช็อกพอสมควรเพราะ Missoni เป็นธุรกิจครอบครัวที่มักส่งไม้ต่องานดีไซน์จากรุ่นสู่รุ่น กว่า 42 ปีที่ Angela Missoni รับหน้าที่เป็นครีเอทีฟหลักให้กับแบรนด์ก่อนจะให้ Alberto Caliri มือขวาของเธอมารับหน้าที่ต่อเพื่อปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้แค่สองคอลเล็กชั่นเท่านั้น
แฟชั่นคือ ‘ธุรกิจ’ ถ้าขายไม่ได้ไม่มีคนพูดถึงแบรนด์ก็จบ ไม่ว่าคุณจะมีประวัติยาวนานแค่ไหนก็ตามที การเข้ามาของ FSI เมื่อ 2018 กองทุนสัญชาติอิลาตีที่เข้ากว้านซื้อหุ้นของ Missoni มากกว่า 41.2% สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก อย่างแรกคือการเข้ามาของ Livio Proli ในฐานะของ CEO ซึ่งเขาได้เปลี่ยนกลยุทธ์ของแบรนด์ใหม่ทั้งหมด เป็นที่มาของข้อสองที่เขาตัดสินใจจ้างดีไซเนอร์นอกครอบครัว Missoni เป็นครั้งแรกเข้ามารับตำแหน่งครีเอทีฟไดเรกเตอร์ และคนๆ นั้นก็คือ Filippo Grazioli อดีตมือขวาของ Riccardo Tisci ที่เคยทำงานร่วมกันทั้ง Givenchy และ Burberry
จุดแข็งของ Missoni คือซิกเนเจอร์ที่ชัดมาก ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนได้เหมือนกันถ้าไม่สามารถพามันไปต่อได้ เสื้อผ้าของ Missoni ดูห่างไกลจาก Gen Z ไกลโข การมาของ Grazioli ก็เพื่อให้ Missoni เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เด็กลงให้ได้ คอลเล็กชั่นแรกของเขา Resort 2023 ไปจนถึง Spring/Summer 2023 ที่ผ่านเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงทิศทางที่แบรนด์อยากมุ่งไป เขาเข้าใจดีว่าแบรนด์ระดับนี้ย่อมมี DNA ที่จะหายไปเลยไม่ได้แต่จะทำอย่างไรให้ออกมาดูทันสมัย มุมมองของคนนอกมักอยากยกระดับหรือเปลี่ยนแปลงมากกว่าคงสถานะอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพลักษณ์ที่แปลกตาจริงแต่ยังไม่เตะตาหรือน่าจดจำขนาดนั้น
การบ้านของเขาคือทำอย่างไรก็ได้ให้ Gen Z อยากใส่ Missoni อีกครั้ง ซึ่งบอกตรงๆ ว่าไม่ง่ายเลย การบ้านชิ้นนี้ต้องการเวลาและการซัพพอร์ตจากทีมหลังบ้าน ด้วยประวัติการทำงานที่น่าประทับใจเราหวังว่าเขาจะอยู่ได้นานกว่าครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนที่แล้ว เช่นเดียวกับอิสระภาพด้านงานดีไซน์ที่เราหวังจริงๆ ว่า Grazioli จะได้สัมผัสสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน การลงทุนครั้งนี้เวลาแค่นั้นเลยจะเป็นตัวตัดสินหวังว่าทุกฝ่ายจะอดทนมากพอ
Marco De Vincenzo for Etro



อีกหนึ่งแบรนด์ที่มี DNA และความเป็นมาคล้ายกับ Missoni มากๆ นั่นก็คือ Etro แบรนด์ที่มีซิกเนเจอร์หลักอย่างหลายพิมพ์ และการเข้ามาของบุคคลที่สามอย่างบริษัทเอกชนมาพร้อมตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็กเตอร์คนใหม่ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของ Etro อีกต่อไป ซึ่งชื่อของเขาก็คือ ‘Marco De Vincenzo’
Etro ได้ขายหุ้นจำนวนมากให้กับ ‘L Catterton’ บริษัทเอกชนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว สาเหตุนี้เองที่ Vincenzo ได้เข้ามารับตำแหน่งหัวเรือที่แบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาเลียนแบรนด์นี้ โดยเขาเข้ามาแทนที่ Veronica และ Kean Etro สองสมาชิกของครอบครัวที่ดูแลแบรนด์มาอย่างยาวนาน
สำหรับเส้นทางแฟชั่นของ Vincenzo นั้นเรียกว่าไม่ธรรมดาเลยเพราะเขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการออกแบบแฟชั่นที่มิลานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การดำรงตำแหน่งหัวหน้านักออกแบบเครื่องหนังที่ Fendi ไปจนถึงงานอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้เขามีชื่อเสียงในแวดวงดีไซเนอร์มาพักใหญ่ ที่สำคัญงานดีไซน์ของเขาที่ขึ้นชื่อล้วนเป็นงานประเภทสิ่งทอและลายพิมพ์ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการเข้ามาที่ Erto อย่างมาก
สถานะของ Erto ไม่ต่างอะไรกับ Missoni มากนัก แบรนด์ที่เคยบูมมากๆ ในยุค 90s และ 00s พยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองอยู่ในกระแสอีกครั้งในยุค 2020s นี้ การเข้ามาของ Vincenzo เพื่อเปลี่ยนแปลงภาพเดิมที่ตัวเจ้าของแบรนด์ไม่สามารถก้าวข้ามได้ ภาระครั้งนี้จึงหนักพอสมควรเพราะการจะทำให้แบรนด์น่าสนใจได้อีกครั้งในยุคที่แบรนด์เล็กๆ ก็เริ่มฉีกและมีคาแรกเตอร์ที่ชัดมากกำลังไล่บี้มาติดๆ มุมมองที่สดใหม่จึงสำคัญมาก ประสบการณ์และแบคอัพของ Vincenzo ถือว่าเหนือกว่าหลายแบรนด์ในท้องตลาดตอนนี้ อยู่ที่เขาแล้วว่าจะสามารถสร้างเมจิกให้กับแบรนด์ Etro ได้อีกครั้งไหม
คอลเล็กชั่นแรกแม้หลายจะเริ่มเห็นทิศทางที่เปลี่ยนไปแต่มันยังไม่แข็งแรงพอที่จะถือว่าเป็นคอลเล็กชั่นที่ดี อย่างไรก็ตามการที่ลมเปลี่ยนทิศนี่เหละมันกำลังบ่งบอกอะไรเราบางอย่างเราอาจได้เจอเซอร์ไพรส์ในอนาคตและ Etro อาจจะคืนฟอร์มกลายเป็นแบรนด์ที่คน Gen นี้อยากจะสวมใส่และต้องการอีกครั้งก็เป็นได้ ปี 2023 นี้จึงถือเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมแฟชั่นอย่างแท้จริง