อนันดา เอเวอริงแฮม ไม่ใช่คนแปลกหน้าของวงการบันเทิงไทย เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 14 ปี เติบโตผ่านบทบาทมากมายทั้งในจอเงินและจอแก้ว ทั้งหมดคือหลักฐานยืนยันถึงฝีมือการทำงานของเขาได้เป็นอย่างดี และเกิดเป็นภาพจำของผู้ชายที่มีความสุขุมลุ่มลึกในสายตาผู้ชม
วันนี้อนันดาในวัย 43 ไม่ได้พูดถึงความสำเร็จหรือสถานะในวงการ แต่มาบอกเล่าถึงโมเมนต์ที่ทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง กับความรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ใน ‘ช่วงเช้า’ อีกครั้ง เช้าในความหมายของการเริ่มต้นใหม่ หลังค่ำคืนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยบทเรียนและการค้นหาตัวตน
ทั้งยังเผยความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ล่าสุดที่ต้องประกบนักแสดงรุ่นใหม่ที่ให้ความรู้สึกต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง กับภาพยนตร์เรื่อง Delivery Man ที่เขานิยามว่า “แรงที่สุดเท่าที่เคยแสดงมา”

บทสนทนาต่อไปนี้คือการพูดคุยอย่างเป็นกันเองในช่วงเวลาที่อนันดาหวนกลับมามองเส้นทางที่ผ่านมาของตัวเอง และพร้อมจะมองทุกอย่างด้วยสายตาที่สงบกว่าเดิม
เวลาในความหมายของเขา
“คำว่า ‘เวลา’ สำหรับผมมันเป็นเรื่องของ ‘คุณภาพ’ มากกว่าปริมาณนะครับ” เขาเริ่มต้นตอบคำถามแรกอย่างชัดเจน “เราหยุดเวลาหรือบังคับมันไม่ได้อยู่แล้ว เวลามันเดินของมันไปตลอด แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ ‘เราใช้มันยังไง’ ผมเชื่อว่าเวลาที่มีคุณค่าคือเวลาที่เราจดจำได้ และเวลานั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีสติอยู่กับตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ในโลกมา distract เรา เช่น การไถ TikTok ไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ตัว”
อนันดายอมรับว่าเมื่ออายุมากขึ้น ความนิ่งในชีวิตก็มากขึ้นตาม และนั่นทำให้เขาเริ่มมองเห็นคุณค่าของเวลาในอีกแบบหนึ่ง “ทุกวันนี้ผมพยายามมีสติ ใช้เวลาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมไม่อยากปล่อยให้วันเวลาผ่านไปเฉยๆ”
“ถ้าจะเปรียบชีวิตกับช่วงเวลาในหนึ่งวัน ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ใน ‘ตอนเช้า’ เลยนะ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “เพราะตอนนี้เพิ่งแต่งงาน บ้านก็เพิ่งเสร็จ แล้วย้ายเข้าอยู่ได้แค่ไม่กี่เดือน เหมือนกำลังเริ่มวันใหม่ กำลังจะเข้าสู่เฟสใหม่ของชีวิต เป็นเฟสที่ไม่เร่งรีบเท่าเดิม ไม่ต้องแข่งกับอะไรเหมือนช่วงก่อน”

การเขียนคือยาวิเศษ
“ผมเพิ่งย้ายบ้านใหม่ พอได้อยู่บ้าน ไม่มีงานกองอยู่ตรงหน้า ก็เริ่มกลับมาเขียน เขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัว ทั้งบทหนัง เรื่องสั้น หรือคอนเซ็ปต์ต่างๆ แค่สองอาทิตย์ก็เขียนไป 12,000 คำแล้ว”
เขาเล่าว่าไอเดียหลายอย่างเกิดจากความฟุ้งซ่านในหัวที่เขามีมาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้นำพาไปสู่ความว้าวุ่น ทว่ากลับกลายเป็นบ่อความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีวันหมด “เมื่อก่อนเวลาทำงานเป็นนักแสดง เราก็ถ่ายทอดบทของคนอื่นที่เขียนมาให้เรา แต่พอได้เขียนอะไรที่เป็นของตัวเอง มันมีความสุขมาก เพราะมันมาจากรสนิยม ความรู้สึก และจินตนาการของเราจริงๆ”

คิดเป็นภาพ มองเป็นภาพ
“ผมเป็นคนมองอะไรเป็นวิชวลมากๆ ซึ่งน่าจะได้มาจากพ่อที่เป็นช่างภาพ” เขาเล่าย้อนถึงวัยเด็ก “ตอนเด็กๆ ผมมักจะตามติดพ่อไปถ่ายภาพ ช่วยถือกล้อง ช่วยเปลี่ยนฟิล์มให้พ่อ มันเป็นช่วงเวลาของพ่อลูกที่ผมจดจำได้ดี แล้วพอเห็นภาพผ่านเลนส์มากๆ มันเลยกลายเป็นวิธีคิดของเราโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างในชีวิตผมจะเริ่มจากภาพในหัวก่อน แล้วค่อยแตกออกเป็นเรื่อง”
อนันดาชอบหนังที่มีมิติและมีความเป็น cinematic เขายกตัวอย่างภาพยนตร์ในยุค golden era เรื่อง Lawrence of Arabia ที่โชว์ให้เห็นความกว้างใหญ่ของแลนด์สเคป รวมถึงผู้กำกับรุ่นใหม่อย่าง Denis Villeneuve ที่กำกับเรื่อง Sicario และ Dune ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานที่มีความ epic และลุ่มลึกในอารมณ์ “สิ่งที่ผมเขียนตอนนี้ก็เป็นเรื่องราวจากจินตนาการที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ มีความเชื่อเกี่ยวกับต่างดาวผสมกับศาสนา เหมือนจะสะท้อนอะไรบางอย่างในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกดี”

ถ้าชีวิตคือภาพยนตร์
“ชีวิตผมคงเป็นหนัง mix genre เพราะมันมีทั้งช่วง struggle ดราม่า ตลก เงียบเหงา แล้วก็มีความเป็น coming-of-age อยู่เยอะมาก” เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเล่าต่อ “ตอนวัยรุ่นผมทำงานเพื่ออิสระ เพราะอยากเป็นอิสระจากทุกอย่าง อยากหาตัวเอง อยากหาประสบการณ์ พอเข้าวัย 20 ก็เริ่มจริงจังกับอาชีพนักแสดง แต่มันก็เป็นช่วงที่ทำงานด้วยการแบกความกดดันหลายอย่าง มันทั้งเหนื่อยทั้งทุกข์ เพราะเราดันเชื่อว่าการแสดงที่ดีต้องดิ่งลึกไปกับตัวละคร มันเลยกลายเป็นภาระทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว”
พอเข้าสู่วัย 30 ต้นๆ เขายอมรับว่าเผชิญวิกฤต midlife crisis ที่เข้ามาเยือนแบบเงียบๆ และเร็วกว่าคนอื่น “ผมอยู่เฉยๆ ไม่รับงาน อยู่ต่างจังหวัด นิ่งเงียบไปเลย 2-3 ปี ไม่มีแรงจะทำอะไร ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่หมดไฟจริงๆ” แต่แล้วสิ่งที่ช่วยเขาคือ ‘ความว่าง’ นั่นเอง “พอใจเราว่างมันก็ค่อยๆ คลาย เหมือนปมในใจก็คลายไปเรื่อยๆ จนเรากลับมาสนุกกับการทำงานอีกครั้งโดยไม่มีอีโก้ ไม่รู้สึกว่าต้องพิสูจน์อะไรแล้ว
“10 ปีหลังมานี้ ผมเล่นหนังแล้วสนุกมาก ไม่เครียด ไม่แบก ไม่กดดัน ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ผมไม่ได้มองว่าใครเป็นพระเอก ผมดูแค่ตัวละคร ถ้าบทดีผมก็อยากเล่น” การแสดงช่วงหลังกลายเป็น ‘ความสุข’ อย่างแท้จริง
ล่าสุดกับบทบาทใน Delivery Man เขาเล่าว่า “แรงที่สุดที่เคยเล่นมา” แต่กลับสนุกมากเพราะทีมงานและนักแสดงทุกคนใส่เต็มกันสุดๆ “มันไม่ใช่แค่ว่าบทแรง แต่เพราะผม connect กับมันจริงๆ แล้วผู้กำกับก็ให้เราพาไปสุดทาง สนุกมากครับ ไม่เครียดเลย”

เฟสถัดไปของชีวิตครอบครัว
“ตอนนี้เริ่มคิดเรื่องมีลูกแล้วครับ หลังจากโดนกล่อมมาอย่างหนัก (หัวเราะ) ทุกคนรอบตัวถามกันหมด สุดท้ายก็คิดว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้ว ตอนแรกไม่เคยคิดว่าจะมีนะ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าถ้ามีก็เป็นไอเดียที่ดี”
อนันดาเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากได้ลูกสาว เพราะครอบครัวเขามีแต่ผู้ชายหมด “แต่เอาจริงๆ ไม่ได้สนใจหรอก ขอแค่สุขภาพแข็งแรงและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีก็พอ แต่มีสิ่งเดียวที่ผมขอแน่ๆ คือเรื่อง manners ลูกผมต้องรู้จักเคารพผู้อื่น มีความรับผิดชอบ เพราะเราเห็นเด็กหลายคนที่โตมาแบบไม่มีสิ่งนี้ มันกลายเป็นคน self-centered ไปเลย”

สมมติว่าย้อนเวลากลับไปหาตัวเองในอดีต
“ถ้าย้อนกลับไปก็แค่จะไปด่าตัวเองแหละ ‘ไอ้โง่ ทำอะไรของมึงเนี่ย’ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ ชีวิตมันก็ต้องเรียนรู้แบบนั้นแหละ ทุกคนต้องผ่านจุดที่ไม่เข้าใจตัวเองบ้าง เพื่อที่จะมาถึงจุดที่เข้าใจมากขึ้นในวันหนึ่ง”

Credit Team:
Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan