Words: Dolce Vita
โลกใบนี้มีเฉดสีมากมายที่บ่งบอกความรู้สึกและถ่ายทอดความมีชีวิตชีวาของทุกสิ่งอย่าง เช่นเดียวกับเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่แต่งแต้มภูมิทัศน์ด้วยสีสันสดใส ไล่เรียงตั้งแต่ถนนที่ประดับประดาด้วยสตรีทอาร์ต อาคารบ้านเรือนที่ถูกเพนต์สีหลากหลายแตกต่างกัน ตลอดจนวิวริมน้ำที่สะท้อนแสงตกกระทบของดวงอาทิตย์ จนกระทั่งเกิดเป็นแพนโทนสดใส กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้บรรดานักเดินทางตีตั๋วมาร่วมสำรวจ ราวกับว่าทุกตรอกซอกซอยเป็นผืนผ้าใบภาพวาดอันงดงามที่รอให้พวกเขามาค้นพบ และนี่คือ 6 เมืองสุดคัลเลอร์ฟูลที่ผู้หลงใหลในการท่องโลกไม่ควรพลาด!
Chefchaouen, Morocco
เชื่อว่าหลายคนอาจเคยเห็นภาพเมืองสีฟ้าจากหน้าฟีดบนอินสตาแกรม แต่คุณอาจไม่รู้มาก่อนว่ามันคือที่ไหน ที่นั่นคือเมืองเชฟชาอูน ประเทศโมร็อกโก ซึ่งการทาอาคารบ้านเรือนด้วยเฉดสีน้ำเงินนี้มาจากแนวคิดของชุมชนชาวยิวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 1471 เพราะพวกเขาเชื่อว่าสีนี้คือเฉดสีของเทพเจ้า ทั้งยังเป็นสีของท้องฟ้าและน้ำทะเล ดังนั้น ที่นี่จึงถูกฉาบด้วยสีน้ำเงินหลากหลายเฉด และถูกขนานนามว่าเป็นไข่มุกสีน้ำเงินแห่งโมร็อกโกนั่นเอง
นอกเหนือไปจากความพิเศษของบ้านเรือนสีฟ้าและสีน้ำเงิน ที่นี่ยังมีงานสถาปัตยกรรมสไตล์โมร็อกโกอีกมากมายที่คุณไม่ควรพลาดหาโอกาสมาชื่นชมสักครู่ เพราะเสน่ห์ของอาคารต่างๆ นี้ล้วนมาจากความพิถีพิถันในงานศิลปะที่ต้องเรียงกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับพัน สารพัดรูปทรง สีสัน งานฉลุ รวมทั้งลายโค้งมนต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงามอันละเอียดของวัฒนธรรมโมร็อกโกอย่างแท้จริง
Havana, Cuba
หากคุณกำลังโหยหาความคลาสสิกของเมืองเก่า เชื่อว่า ‘ฮาวานา’ เมืองหลวงของคิวบาจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์อย่างแน่นอน เพราะฮาวานาถูกยกให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก ด้วยความงามของสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมสเปนอันรุ่งโรจน์ มหาวิหารต่างๆ ตลอดจนอาคารสีพาสเทลหลากสีที่จะทำให้การเดินเล่นรอบเมืองของคุณเปรียบเสมือนหลุดเข้าไปในฉากหนังยุค ’80s
นอกเหนือจากการเดินชิลรอบเมือง คุณยังสามารถเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของฮาวานาได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นป้อมปราการ La Cabaña ที่มีพิธียิงปืนใหญ่ทุกคืน หรือพิพิธภัณฑ์ Museum of the Revolution ที่รวบรวมของสำคัญจากยุคปฏิวัติ หลังจากนั้นคุณอาจแวะไปชมทรอปิคานาคาบาเรต์คลับระดับตำนานที่มีมาตั้งแต่ปี 1939 ถ้าเป็นสายคาเฟ่แนะนำให้ลองจิบกาแฟพื้นเมือง เคล้ากับการลิ้มรสไอศกรีมอันเป็นเอกลักษณ์ของคิวบาจากร้าน Coppelia ก็จะทำให้ทริปของคุณรู้สึกประทับใจชนิดลืมไม่ลง
Guanajuato, Mexico
เม็กซิโกอาจขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสเลิศหรือชายหาดอันสวยงาม แต่เมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของศิลปะและดนตรีอย่าง ‘กัวนาฮัวโต’ ที่ยูเนสโกยกให้เป็นเมืองมรดกโลก ก็ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาเช็คอินเช่นเดียวกัน ถือเป็นอีกหนึ่งโลเคชั่นที่คนหลงใหลในงานศิลป์จะต้องหลงรัก เพราะเต็มไปด้วยงานสตรีทอาร์ตรอบเมือง นอกจากนี้ยังมีเสียงดนตรีที่เล่นสดๆ ขับกล่อมอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนน รวมทั้งบ้านพิพิธภัณฑ์ของศิลปิน Diego Rivera ผู้เป็นสามีของจิตรกรหญิง Frida Kahlo ตลอดจนเป็นแลนด์มาร์กของการจัดเทศกาลศิลปะประจำปีอย่าง Festival Cervantino อีกด้วย
นอกจากนี้ กัวนาฮัวโตยังมีจุดเด่นเป็นบ้านเรือนสีสันสดใส อาคารเก่าแก่จากสถาปัตยกรรมสไตล์บาโร้กที่ผสมผสานเข้ากับละตินอเมริกัน ทั้งยังมีโรงละครสุดหรูและพิพิธภัณฑ์มากมาย สะท้อนถึงการหลอมรวมของสองวัฒนธรรมระหว่างสเปนและเม็กซิกัน ไม่เพียงเท่านั้น ใครที่เป็นแฟนหนังเรื่อง Coco จะยิ่งหลงรักที่นี่เป็นพิเศษ เพราะเมืองกัวนาฮัวโตแห่งนี้คือต้นแบบฉากหลังให้กับแอนิเมชันเรื่องนี้ด้วย
Cinque Terre, Italy
ถ้าหากคุณได้ชมแอนิเมชันเรื่อง Luca เชื่อว่าจะต้องรู้จักเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งนี้อย่างแน่นอน เพราะหมู่บ้านมรดกโลกยูเนสโก ‘Cinque Terre’ (ชินเคว่ เตเร่) คือหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างฉากหลังของแอนิเมชันเรื่องนี้ ซึ่งที่นี่ประกอบไปด้วย 5 เมือง ได้แก่ Monterosso, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore แต่ละเมืองจะมีบ้านหลากสีตั้งอยู่บนริมหน้าผา ว่ากันว่า จุดประสงค์ของการทาสีให้บ้านมีเฉดสีแตกต่างกันนั้นตั้งใจทำเพื่อให้ชาวประมงในอดีตสามารถสังเกตเห็นบ้านของตัวเองได้ง่ายขึ้นในยามที่พวกเขากลับมาจากทำงานกลางทะเลนั่นเอง
ส่วนกิจกรรมที่คุณสามารถทำได้ก็คือการนั่งรถไฟเชื่อมไปยังแต่ละเมืองเพื่อชมบ้านเรือน ชมวิถีชีวิตของผู้คน ชมไร่องุ่นริมหน้าผา ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ลิ้มลองเมนูอาหารท้องถิ่น และอย่าลืมเตรียมกางเกงว่ายน้ำตัวโปรดติดกระเป๋าเดินทางไปด้วยเพื่ออาบแดดบนชายหาด สำหรับคนที่รักการผจญภัยก็สามารถเดินป่าไฮกิ้งแบบง่ายๆ เพื่อชมวิวแต่ละหมู่บ้านจากมุมสูงได้เช่นกัน
Jaipur, India
มหานครสีชมพู ‘ชัยปุระ’ แห่งรัฐราชสถานในประเทศอินเดีย เป็นแลนด์มาร์กที่ถูกฉาบด้วยสีชมพูทั่วทั้งเมือง โดยสีชมพูนี้มีที่มาจากผู้ปกครองรัฐในอดีต ‘มหาราชาสวาอี ราม สิงห์’ ที่ต้องการให้ประชาชนทาเมืองเป็นสีชมพูเพื่อต้อนรับการมาเยือนของราชวงศ์อังกฤษเมื่อปี 1876 จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของเมืองมาจนถึงปัจจุบัน ภายในเมืองชัยปุระยังมีพระราชวังสวยงามอีกหลายแห่งให้คุณได้เที่ยวชม ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังหลวง City Palace พระราชวังแห่งสายลม Hawa Mahal พระราชวังแห่งสายน้ำ Jal Mahal รวมถึงป้อมปราการเก่าแก่อีกมากมาย
หากคุณเดินท่องเที่ยวพระราชวังมาตลอดทั้งวันแล้วอยากจะแวะช็อปปิ้ง ในย่านเมืองเก่าของชัยปุระก็มีเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า พรม และผ้าคลุมเตียงสวยๆ ให้เลือก หรือหากจะลองกินอะไรอร่อยๆ สดชื่นๆ ขนมหวานเย็นฟาลูดาและไอศกรีมแท่งกุลฟี่รสพิสตาชิโออินเดียก็สามารถดับร้อนได้ดีเลยทีเดียว
Reykjavik, Iceland
แม้เมืองที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของโลกอย่าง ‘เรคยาวิก’ ประเทศไอซ์แลนด์จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ที่นี่เป็นเมืองแห่งสีสันที่คุณไม่ควรพลาดไปเยือนสักครั้งในชีวิต เพราะถ้าหากคุณขึ้นไปยืนบนหอคอยของโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองที่ชื่อว่า Hallgrímskirkja เพื่อชมวิวทิวทัศน์ คุณจะได้เห็นภาพเมืองสุดตระการตาจากมุมสูง ทั้งบ้านเรือนหลากหลายเฉดสี ตลอดจนวิวธรรมชาติอันแสนกว้างใหญ่ รวมถึงภูเขาและมหาสมุทรไกลโพ้น
ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้ลองทำในเมือง ทั้งการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ท่องโลกแกลเลอรีเพื่อดื่มด่ำกับงานศิลป์ ตามล่าหาสตรีทอาร์ตในตัวเมือง เดินเล่นในตลาดของคนท้องถิ่น นั่งชิลในสวน ปิกนิกริมทะเลสาบ กินฮอตด็อกเจ้าดังที่ร้าน Baejarins Beztu Pylsur หรือแม้แต่การแต่งตัวแบบไวกิ้งก็ยังได้!