#ELLEMEN5FACTS ถอดรหัส 5 เรื่องน่าสนใจของ Matthieu Blazy แม่ทัพคนใหม่แห่ง Chanel

การประกาศแต่งตั้ง Matthieu Blazy (แมทธิว บลาซี) ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส-เบลเยียม วัย 40 ปี ขึ้นเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่ของ Chanel ถือเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการแฟชั่นส่งท้ายปี 2024 อย่างแท้จริง โดยการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการคาดเดาและข่าวลือหนาหูตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือน นับตั้งแต่ Virginie Viard (เวอร์จินี วียาร์) ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายน ท่ามกลางรายชื่อดีไซเนอร์ระดับแม่เหล็กมากมายที่ถูกจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น Hedi Slimane (เอดี้ สลิมาน), John Galliano (จอห์น กัลลิอาโน), Marc Jacobs (มาร์ค เจคอบส์), Simon Porte Jacquemus (ซีมง ปอร์ต ฌักมูส), Pierpaolo Piccioli (ปิแอร์เปาโล ปิคชิโอลี), Daniel Roseberry (แดเนียล โรสเบอร์รี่), Jeremy Scott (เจเรมี สก็อตต์) หรือแม้แต่ Pieter Mulier (ปีเตอร์ มูลิเยร์) การมาถึงของ Matthieu ซึ่งเพิ่งประกาศอำลาตำแหน่งที่ Bottega Veneta เพียง 45 นาทีก่อนหน้า จึงเปรียบเสมือนการปิดฉากการรอคอย และเปิดศักราชใหม่ให้กับหนึ่งในเมซงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

การเข้ารับตำแหน่งของ Matthieu นับเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ Chanel เพราะเขาคือหัวหน้านักออกแบบรายที่ 4 ในรอบกว่าศตวรรษของแบรนด์ ต่อจากผู้ก่อตั้ง Gabrielle Chanel (กาเบรียล ชาเนล) ตามด้วยไกเซอร์ Karl Lagerfeld (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์) ผู้เป็นตำนาน และ Virginie Viard ผู้สืบทอดคนล่าสุด เขาจึงถูกจับตามองมากที่สุดในฐานะของคนที่ทาง Chanel ได้เลือกไว้ ทางฝั่ง Matthieu เองนั้นก็สร้างชื่อจากการประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพลิกฟื้น Bottega Veneta ให้กลับมาเป็นแบรนด์แถวหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่เน้นงานฝีมือ นวัตกรรม และความหรูหราแบบไม่ต้องตะโกน

แม้ชื่อเสียงของ Matthieu จะโด่งดังจากผลงานที่ Bottega Veneta แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจและเรื่องราวที่น้อยคนจะรู้ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ Chanel มองเห็นศักยภาพในการนำพาเมซงแห่งนี้ก้าวสู่ทศวรรษต่อไป บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเบื้องลึก เบื้องหลัง มากกว่าแค่พาดหัวข่าว ผ่าน #ELLEMEN5Facts กับ 5 ข้อเท็จจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ Matthieu Blazy เพื่อถอดรหัสเส้นทาง ความคิด และปรัชญาการออกแบบ ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่วิสัยทัศน์ใหม่ที่เขาจะนำมาสู่ Chanel

1. ความคิดสร้างสรรค์แบบฉบับเบลเยียม จากศิษย์เก่า La Cambre สู่การเจียระไนโดย Raf Simons

จุดเริ่มต้นเส้นทางสายแฟชั่นของ Matthieu Blazy ต้องย้อนกลับไปที่สถาบัน École Nationale Supérieure des Arts Visuels de La Cambre (ENSAV) สถาบันศิลปะและการออกแบบอันทรงเกียรติในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ที่มีชื่อเสียงในด้านการเรียนการสอนที่เน้นความเข้มข้นทางแนวคิด และส่งเสริมความเป็นปัจเจกของนักศึกษา ความเฉพาะตัวจากการเรียนรู้ในรอบรั้วสถาบันแห่งนี้ได้ทำการบ่มเพาะรากฐานทางความคิดที่แข็งแกร่งให้กับเขา

ก่อนจะจบการศึกษา Matthieu ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งลักซ์ชัวรีผ่านการฝึกงานที่ Balenciaga และ John Galliano (จอห์น กัลลิอาโน) ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่การทำงานในวงการแฟชั่น โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Raf Simons (ราฟ ซิมอนส์) หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินผลงานจบการศึกษาประทับใจในพรสวรรค์ ตัดสินใจจ้างเขาทันที Raf Simons เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่นบุรุษและมีแนวทางการออกแบบที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด Intellectually Driven Approach ไม่เพียงแต่เป็นนายจ้างคนแรกแต่ยังกลายเป็นเมนเทอร์คนสำคัญ เขาได้รับโอกาศให้ร่วมงานออกแบบคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าบุรุษ การได้รับคำแนะนำจากดีไซเนอร์หัวก้าวหน้าอย่าง Raf เป็นการวางรากฐานแนวคิดที่เข้มข้นและความกล้าที่จะทลายขอบเขต แม้ในผลงานยุคหลังของเขามีสไตล์ที่สุขุมกว่าก็ตาม

การผสมผสานระหว่างการศึกษาจาก La Cambre และการได้รับคำแนะนำจาก Raf Simons นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ La Cambre มอบกรอบความคิดเชิงคอนเซปต์ ในขณะที่  Raf Simons มอบทักษะเชิงปฏิบัติในการแปลงแนวคิดเหล่านั้นให้กลายเป็นแฟชั่นชั้นสูง สิ่งนี้หล่อหลอมให้ Matthieu มีสไตล์การออกแบบที่ผสมผสานความลุ่มลึกเข้ากับความประณีตในการสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว เขาไม่ได้เป็นเพียงศิษย์เก่าเบลเยียมแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดนักออกแบบเบลเยียมผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านแนวคิดและสุนทรียศาสตร์อันโดดเด่น (เช่น Raf Simons, Martin Margiela, Ann Demeulemeester) รากฐานของเขาจึงเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับวัฒนธรรมการออกแบบแฟชั่น

2. จากผู้อยู่เบื้องหลัง Maison Martin Margiela สู่ Céline และ Calvin Klein 205W39NYC

ก่อนจะก้าวขึ้นสู่แถวหน้า Matthieu Blazy ใช้เวลาหลายปีในการสั่งสมประสบการณ์ในฐานะบุคคลเบื้องหลัง หลังจากการร่วมงานกับ Raf Simons เขาได้ย้ายไปร่วมงานกับ Maison Martin Margiela ในปี 2011 รับผิดชอบดูแล Maison Martin Margiela Artisanal ซึ่งเป็นไลน์โอต์กูตูร์ ที่นี่เขาได้ฝึกฝนทักษะ Deconstruction การเล่นกับวัสดุ และเทคนิคคอลลาจขั้นสูง รวมถึงการทำงานกับเสื้อผ้าวินเทจและอาร์ไคฟ์ของแบรนด์ ในช่วงเวลานั้น Martin Margiela (มาแตง มาเจียลา) ยังคงรักษาธรรมเนียมการไม่เปิดเผยตัวตนของทีมดีไซเนอร์ แต่พรสวรรค์ของ Matthieu Blazy ก็ไม่อาจถูกปิดบังได้นานนัก เพราะในปี 2014 นักวิจารณ์แฟชั่นคนดัง Suzy Menkes (ซูซี่ เมนเกส) ได้เปิดเผยชื่อของเขาหลังจากการนำเสนอคอลเล็กพร้อมกล่าวว่า “คุณไม่สามารถเก็บซ่อนพรสวรรค์เช่นนี้ไว้ได้” นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ออกแบบหน้ากากประดับคริสตัลอันโด่งดังให้กับ Kanye West (คานเย เวสต์) สำหรับทัวร์คอนเสิร์ต Yeezus ปี 2013 

ในปี 2014 เขาได้เข้าร่วมทีมของ Phoebe Philo (ฟีบี ไฟโล) ที่ Céline ในตำแหน่งดีไซเนอร์อาวุโสรับผิดชอบดูแล pre-collections ช่วงเวลานี้ช่วยขัดเกลาความละเอียดอ่อนในดีเทลต่างๆ การทำงานภายใต้การนำของ Phoebe ผู้เชี่ยวชาญด้านมินิมัลลิสม์ที่เน้นความสง่างามและตอบโจทย์ผู้หญิงยุคใหม่ ช่วยลับคมความเข้าใจของ Matthieu เกี่ยวกับความสวมใส่สบาย ความมั่นใจ และความแตกต่างอันละเอียดอ่อนของลักซ์ชัวรีสมัยใหม่

จากนั้นในปี 2016 เขาได้กลับมาร่วมงานกับ Raf Simons อีกครั้งที่ Calvin Klein ในตำแหน่ง Design Director ดูแลเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับผู้หญิง บทบาทนี้ทำให้เขาได้สัมผัสกับการทำงานในโครงสร้างของแบรนด์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ซึ่งแตกต่างจากเมซงในยุโรปที่เขาเคยร่วมงานมาก่อน ประสบการณ์นี้ถือว่าล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับการรับมือกับความท้าทายในสเกลที่ใหญ่อย่าง Bottega Veneta ในเวลาต่อมา

3. หัตถศิลป์ชั้นยอดและความธรรมดาอันน่าทึ่งใน Bottega Veneta

การเดินทางครั้งใหม่ของ Matthieu Blazy ใน Bottega Veneta เริ่มต้นขึ้นในปี 2020 ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบก่อนจะได้รับการแต่งตั้งอย่างรวดเร็วให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ในเดือนพฤศจิกายน 2021 ภายหลังการจากไปอย่างกะทันหันของ Daniel Lee (แดเนียล ลี) โดยเขารับช่วงต่อแบรนด์ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากยุคของ Daniel แต่ก็จำเป็นต้องมีทิศทางใหม่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ภารกิจของ Matthieu คือการต่อยอดความสำเร็จนั้น พร้อมกับผสานสัมผัสอันซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเข้าไป

ปรัชญาการออกแบบของ Matthieu ที่ Bottega Veneta มีความชัดเจนและหยั่งรากลึกในแก่นแท้ของแบรนด์ เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ Quiet Luxury หรือความหรูหราแบบไม่ต้องตะโกน โดยเน้นที่งานฝีมืออันประณีต ความละเอียดอ่อน และความสุขุม ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาดั้งเดิมของแบรนด์ที่ไม่เน้นการใช้โลโก้ ดังคำขวัญที่ว่า ‘When your own initials are enough’ มุมมองของการไม่มีโลโก้จึงถือเป็นจุดแข็งและเป็นสิ่งที่ทันสมัยมาก เขาเชื่อในความหรูหราที่ผู้สวมใส่เท่านั้นที่จะรับรู้ได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้เขายังมองว่า Bottega Veneta โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกระเป๋า คือเรื่องราวของ “การเคลื่อนไหว การเดินทางไปยังที่ใดที่หนึ่ง มันคือแนวคิดการใช้งานฝีมือขับเคลื่อนโลก” เป็นการให้ความสำคัญกับสไตล์ที่เหนือกาลเวลามากกว่าเทรนด์แฟชั่นที่ผ่านมาแล้วผ่านไป  

ผลงานสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ภายใต้การนำของ Matthieu ได้สร้างปรากฏการณ์และตอกย้ำความสำเร็จของ Bottega Veneta อย่างต่อเนื่อง เทคนิค Trompe-l’œil หรือการสร้างภาพลวงตา ผลงานชิ้นไอคอนิกคือเสื้อผ้าที่ทำจากหนังแต่กลับดูเหมือนผ้าในชีวิตประจำวัน ความเชี่ยวชาญนี้ทำให้เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น Magician of Milan เพราะเขาสามารถเบลอเส้นแบ่งระหว่างความธรรมดาสามัญกับความพิเศษเหนือระดับได้อย่างน่าทึ่ง ยกระดับงานฝีมือและการท้าทายความคาดหวังต่อความหรูหราอย่างมีชั้นเชิง นอกจากนี้ Matthieu ยังคงให้ความเคารพต่อลายสาน Intrecciato อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ แต่ได้นำมาตีความใหม่ผ่านรูปทรงและการใช้งานที่หลากหลาย เกิดเป็นกระเป๋ารุ่นฮิตที่สร้างปรากฏการณ์มากมาย เช่น Kalimero, Andiamo, Sardine และ Hop

4. มุมมองที่เฉียบขาดสู่ความสำเร็จและการเป็นที่จับตามอง

ความสำเร็จของ Matthieu Blazy ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ แต่ยังรวมถึงความสำเร็จเชิงพาณิชย์อย่างสูง เขาพลิกฟื้นให้ Bottega Veneta กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดแบรนด์หนึ่งแห่งยุค และสร้างยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับ Kering (บริษัทแม่) แม้ในช่วงที่ตลาดลักซ์ชัวรีทั่วโลกต่างชะลอตัว (ยอดขายเพิ่มขึ้น 4% ใน 9 เดือนแรกของปี 2024) ผลงานของเขาปรากฏบนพรมแดงผ่านเรือนร่างของหล่าเซเลบริตี้ชื่อดัง อาทิ Rihanna (ริฮานนา), Jennifer Lawrence (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์), A$AP Rocky (เอแซ็ป ร็อคกี้), Jacob Elordi (เจค็อบ เอลอร์ดี) และ Julianne Moore (จูลีแอนน์ มัวร์) ทว่ายังคงรักษาความเอ็กซ์คลูซีฟ และให้ความรู้สึกที่ไม่ใช่แค่กระแสแฟชั่นฉาบฉวย นอกจากนี้เขายังเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับวัฒนธรรมร่วมสมัยผ่านแคมเปญที่ใช้ภาพถ่ายสไตล์ปาปารัซซี่ และการร่วมงานออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับ Venice Dance Biennale แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในบริบททางวัฒนธรรมที่กว้างกว่าแค่เทรนด์แฟชั่น

ปรัชญาการออกแบบ Perverse Banality หรือ ความธรรมดาอันตราตรึง นี้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคหลังโรคระบาด ที่โหยหาความยั่งยืน คุณภาพที่แท้จริง และความหรูหราที่ไม่ต้องตะโกนบอกใคร ส่งผลให้ Bottega Veneta ได้รับทั้งเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และความสำเร็จทางธุรกิจ แนวทางของ Matthieu แตกต่างจาก Daniel Lee (แดเนียล ลี) ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้า ซึ่งเน้นสไตล์ที่โดดเด่นและสร้างแรงกระแทกมากกว่า ความหรูหราแบบเงียบของ Matthieu ไม่ใช่แค่ความเรียบง่าย แต่คือความซับซ้อนทางเทคนิคที่ซ่อนอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น เขาสร้างโลกทั้งใบผ่านสถานที่จัดแสดงโชว์, ภาพแคมเปญ และการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอัตลักษณ์และงานฝีมือของอิตาลี แนวทางแบบองค์รวมนี้ชี้ให้เห็นว่าเขาเข้าใจการสร้างแบรนด์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่โฟกัสที่ตัวผลิตภัณฑ์

5. ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำวิสัยทัศน์แห่งเมซง Chanel

บทบาทอันรุ่งโรจน์ของ Matthieu Blazy ที่ Bottega Veneta สิ้นสุดลงในระยะเวลาเพียง 3 ปี เขาประกาศการอำลาตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งถือเป็นการปิดฉากยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าจดจำ ทิ้งไว้ด้วยผลงานอันน่าทึ่งพร้อมคำกล่าวอำลาอย่างเรียบง่าย “ถึงทีมงาน Bottega Veneta ที่ยอดเยี่ยมทุกคน ขอบคุณสำหรับการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่” แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนในวงการคือ การประกาศแต่งตั้ง Matthieu ให้ดำรงตำแหน่ง Artistic Director หรือผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Chanel เกิดขึ้นหลังประกาศลาออกจาก Bottega Veneta แบบทันทีทันใด โดยเขาจะเข้าไปแทนที่ Virginie Viard ที่เพิ่งอำลาตำแหน่งไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2024

แม้ในช่วงแรก Matthieu อาจถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งแต่ไม่หวือหวาเท่ารายชื่ออื่น และชื่อของเขาเพิ่งจะปรากฏเป็นข่าวอย่างจริงจังในช่วงไม่นานนัก นักวิเคราะห์ในวงการแฟชั่นชี้ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบหลายประการของ Matthieu ที่ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ประการแรกคือการที่เขาไม่มีแบรนด์ของตัวเอง ทำให้สามารถทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับ Chanel ประการต่อมาคือความสามารถที่ถูกพิสูจน์แล้วในการปรับปรุงมรดกของแบรนด์ให้ทันสมัยได้โดยไม่สูญเสียแก่นแท้ วิสัยทัศน์ที่สดใหม่ในฐานะดีไซเนอร์วัย 40 ปี ที่มาพร้อมกับประสบการณ์อันโชกโชน ทั้งหมดคือสิ่งที่แบรนด์ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการทำงานที่เน้น ‘วิวัฒนาการมากกว่าการปฏิวัติ’ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ Chanel ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ความรวดเร็วและเด็ดขาดในการแต่งตั้งครั้งนี้บ่งชี้ว่าเมซงโลโก้ C ไขว้ อาจจับตามองและเล็งเห็นศักยภาพของเขามาตั้งแต่เนิ่นๆ และมองว่าเขาคือการลงทุนระยะยาวสำหรับอนาคตของเมซง การเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงพลวัตที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมลักซ์ชัวรีระหว่างกลุ่มบริษัท Kering ที่ต้องเสียบุคลากรคนสำคัญไปกับแบรนด์อิสระที่สามารถดึงตัวเขามาได้สำเร็จ

บทสรุป

Matthieu Blazy คือดีไซเนอร์ผู้มีรากฐานแกร่งด้านคอนเซปต์และงานฝีมือ ประสบการณ์โชกโชน ความสามารถฟื้นฟูแบรนด์ใหญ่ด้วยวิสัยทัศน์ซับซ้อน และเข้าใจนิยามความหรูหราสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง การเข้ารับตำแหน่งที่ Chanel คือการแบกรับมรดกอันยิ่งใหญ่และความคาดหวังมหาศาล ความท้าทายสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการเคารพอดีตกับการขับเคลื่อนสู่อนาคต การผสานปรัชญาเฉพาะตัวของ Matthieu กับรหัสตำนานของ Chanel นับเป็นบทสนทนาใหม่ที่น่าจับตา การจับคู่สุนทรียะเบลเยียมกับมรดกฝรั่งเศสนี้พร้อมดึงดูดทุกสายตาความคาดหวังหลักคือการที่ Matthieu จะสร้างสมดุลระหว่างการเคารพรหัสอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ ผ้าทวีด, ไข่มุก, ดอกคามิเลีย, Little Black Dress เข้ากับความต้องการนวัตกรรมและความทันสมัย

เหล่าผู้เชี่ยวชาญเชื่อมั่นในความสามารถของ Matthieu ที่จะปรับปรุงมรดกให้ทันสมัยโดยไม่เสียแก่นแท้ คาดว่าจะได้เห็นการสานต่อความสำคัญต่องานฝีมือชั้นยอดผ่านเครือข่าย Métiers d’Art การออกแบบที่ละเอียดอ่อนแต่ทรงพลัง นวัตกรรมทางด้านวัสดุ การปรับปรุงซิลูเอตให้สมบูรณ์แบบและเป็นที่ปรารถนา เชื่อมโยงลูกค้าทั้งหน้าเก่าและใหม่ อาจรวมถึงการเล่าเรื่องที่เน้นการทำงานร่วมกันและงานฝีมือให้มากขึ้น โดยคอลเล็กชั่นแรกของ Matthieu ภายใต้แบรนด์ Chanel คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 สำหรับฤดูกาล Spring-Summer 2026

Similar Articles

More