ย้อนตำนานสุดยอดนาฬิกา Patek Philippe ที่คุณอาจไม่เคยรู้

“You never actually own a Patek Philippe. You merely look after it for the next generation.” หนึ่งในสโลแกนที่ทรงพลังที่สุดในโลกเรือนเวลา—และเป็นคำประกาศที่สะท้อนแก่นแท้ของแบรนด์ที่ไม่ได้ขายเพียงนาฬิกา แต่ขาย “เวลา” ที่ถูกส่งต่อข้ามศตวรรษ

Patek Philippe อาจเป็นชื่อที่คุ้นหูในหมู่คนรักนาฬิกาหรู แต่เบื้องหลังโลโก้ที่สลักบนหน้าปัดนั้นคือประวัติศาสตร์อันยาวนานและเปี่ยมด้วยความหมาย ทั้งด้านศิลปะ งานฝีมือ วิศวกรรม และมรดกทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับผู้หลงใหลในนาฬิกา และนักสะสมทั่วโลก นี่คือ 3 เรื่องลับในตำนานของแบรนด์ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

1. ราชวงศ์คือผู้จุดประกายความคลั่งไคล้

ก่อนที่ชื่อของ Patek Philippe จะกลายเป็น statement piece ในโลกของแรปเปอร์ ผู้หลงใหลในนาฬิกา หรือเซเลบริตี้สมัยใหม่ รากเหง้าของแบรนด์นี้เริ่มต้นในหมู่ชนชั้นสูงของยุโรป โดยเฉพาะราชวงศ์

ย้อนกลับไปในปี 1851 ณ งานนิทรรศการ The Great Exhibition ณ พระราชวังคริสตัลพาเลซ กรุงลอนดอน สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษได้เสด็จทอดพระเนตรบูธของ Patek Philippe และทรงเลือกเรือนเวลาขนาดเล็กที่ออกแบบพิเศษประดับเพชรน้ำงาม สวมใส่ในรูปแบบเข็มกลัดติดฉลองพระองค์ นาฬิกาเรือนนั้นไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ รสนิยม และเทคโนโลยีล้ำยุคในเวลานั้น

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำความล้ำค่า คือ ภาพพอร์ตเทรตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1984 ซึ่งทรงสวมนาฬิกา Patek Philippe รุ่น Golden Ellipse ที่ประดับกรอบหน้าปัดด้วยเพชร 30 เม็ด คู่กับเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ

นับจากนั้นมา Patek Philippe ได้กลายเป็นนาฬิกาประจำข้อมือและกระเป๋าของกษัตริย์และราชินีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิแห่งจีน ซาร์แห่งรัสเซีย ไปจนถึงสุลต่านแห่งออตโตมัน แบรนด์จึงได้กลายเป็นตัวแทนของ “รสนิยมระดับราชวงศ์” ที่ส่งต่อมายังชนชั้นนำในยุคต่อมา

2. The Graves Supercomplication: เรือนเวลาที่แพงที่สุดในโลก

เมื่อพูดถึงนาฬิกาที่ “ซับซ้อนที่สุดในโลก” ชื่อของ The Graves Supercomplication มักถูกหยิบยกขึ้นมาในหมู่คนรักกลไก แต่เบื้องหลังเรือนเวลานี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันด้านความหรูหรา หากเป็นการแข่งขันด้าน “ปัญญาและเกียรติยศ”

ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สองมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน Henry Graves Jr. และ James Ward Packard ต่างแข่งขันกันอย่างเงียบๆ เพื่อเป็นเจ้าของนาฬิกาที่มีฟังก์ชันซับซ้อนที่สุดในโลก Graves ได้ว่าจ้าง Patek Philippe ให้สร้างนาฬิกาพกที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การพัฒนากินเวลานานกว่า 8 ปี และผลลัพธ์คือ “The Graves Supercomplication” ที่ประกอบด้วยฟังก์ชันล้ำยุคถึง 24 รายการ อาทิ ปฏิทินถาวร แผนที่ท้องฟ้า เสียงระฆังโบสถ์ และเวลาอาทิตย์ขึ้น-ตกในนิวยอร์ก

ตัวเรือนผลิตจากทองคำ 18 กะรัต ใช้กลไกที่ละเอียดประณีตกว่า 900 ชิ้น และทุกชิ้นส่วนผลิตขึ้นด้วยมือโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติใดๆ ทั้งสิ้น เรือนเวลานี้ถูกประมูลในปี 2014 ด้วยมูลค่ากว่า 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 782 ล้านบาท และยังไม่มีนาฬิกาพกใดสามารถทำลายสถิติได้จนถึงปัจจุบัน

3. Patek Philippe ไม่เคยหยุดนิ่ง: Calibre 89 และความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

แม้จะมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี แต่ Patek Philippe ไม่เคยนิ่งเฉยอยู่กับความสำเร็จในอดีต ในปี 1989 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีของแบรนด์ Patek ได้เปิดตัวนาฬิกาที่ชื่อ Calibre 89 ซึ่งในตอนนั้นกลายเป็นเรือนเวลาที่ “มีความซับซ้อนที่สุดในโลก” ด้วยกลไกมากถึง 33 ฟังก์ชัน ประกอบด้วยชิ้นส่วนกว่า 1,700 ชิ้น และต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการพัฒนา

หนึ่งในฟังก์ชันที่น่าทึ่งที่สุดคือการคำนวณ “วันอีสเตอร์” ที่แม่นยำตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางดาราศาสตร์ขั้นสูงและตรรกะทางคณิตศาสตร์ระดับดั้งเดิม อีกทั้งยังรวมไปถึงโหมดจับเวลา เสียงตีบอกเวลา ฟังก์ชันโครโนกราฟ และเข็มนาฬิกาแสดงตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

Calibre 89 เป็นเหมือนแถลงการณ์ที่ประกาศว่า Patek Philippe ไม่ได้แค่ ผลิต นาฬิกา แต่ยังเป็นผู้ สร้างนวัตกรรมแห่งกาลเวลา และกำหนดมาตรฐานของ “ศาสตร์และศิลป์แห่งเรือนเวลา” ที่แบรนด์อื่นเพียงแค่มองตาม

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมสโลแกนของแบรนด์นี้จึงไม่ใช่การขายนาฬิกา แต่เป็นการขาย มรดกแห่งเวลา

ไอคอนเหนือกาลเวลา: เรือนเด่นของ Patek Philippe ที่นักสะสมทั่วโลกหลงใหล

ในโลกของนาฬิกา บางรุ่นถูกผลิตออกมาเพื่อ “ขาย” แต่บางรุ่น—ถูกผลิตขึ้นเพื่อเป็น ตำนาน

Patek Philippe เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่สามารถสร้างเรือนเวลาซึ่งก้าวข้ามจากข้อมือสู่ตำราประวัติศาสตร์งานดีไซน์ได้อย่างแท้จริง นี่คือ 3 คอลเล็กชั่นสำคัญที่สะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ในแต่ละมิติ ทั้งงานศิลป์ งานกลไก และการออกแบบเชิงสัญลักษณ์

1. Nautilus: ความหรูหราในคราบสปอร์ต

เปิดตัวครั้งแรกในปี 1976 โดยดีไซน์เนอร์ระดับตำนาน Gérald Genta ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Audemars Piguet Royal Oak รุ่น Nautilus ออกแบบมาในยุคที่โลกเริ่มแสวงหาความหรูหราในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่แค่ทองคำและเพชร แต่คือ สเตนเลสสตีล และความมินิมัลที่ขัดเกลาจนงามสง่า

Nautilus เปิดตัวครั้งแรกในปี 1976

ด้วยหน้าปัดทรงแปดเหลี่ยมมน สายโลหะที่ถูกดีไซน์ให้กลืนเป็นชิ้นเดียวกับตัวเรือน และดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “หน้าต่างเรือเดินสมุทร” Nautilus กลายเป็นเรือนเวลาที่มี waiting list ยาวนับสิบปี โดยเฉพาะรุ่น Ref. 5711/1A ที่ถูกยกเลิกการผลิตในปี 2021 และส่งให้รุ่นนี้มีมูลค่าพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในตลาดนักสะสม

2. Calatrava: นิยามของความคลาสสิกแบบไร้กาลเวลา

เปิดตัวครั้งแรกในปี 1932 Calatrava คือนาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ Bauhaus ยิ่งน้อย ยิ่งมาก ทุกองค์ประกอบของเรือนเวลานี้ถูกออกแบบให้สมดุล เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของความหรูหราแบบผู้ดี

เส้นสายที่นิ่งสงบ ขนาดพอดีข้อมือ และฟังก์ชันพื้นฐานที่ครอบคลุมการใช้งานในชีวิตจริง Calatrava เป็นเหมือน “ชุดทักซิโด้ของนาฬิกา” ใส่ไปที่ไหนก็ไม่พลาด ไม่ว่าจะงานประชุมใหญ่ งานเลี้ยงค็อกเทล หรืองานแต่งงานที่สำคัญ

รุ่น Ref. 5196 หรือ Ref. 5227 เป็นที่ต้องการสูงในหมู่นักสะสมมือใหม่ ไปจนถึงนักสะสมเชิงศิลปะ เพราะความคลาสสิกแบบไร้กาลเวลา

3. Grand Complications: ศิลปะกลไกระดับเทพ

หาก Nautilus คือความหรูหราที่ขี้เล่น และ Calatrava คือความเรียบที่สง่างาม Grand Complications คือ สนามแห่งความทะเยอทะยาน ที่ Patek Philippe ใช้แสดงความเป็นผู้นำในด้านวิศวกรรมกลไกระดับสูง

คอลเล็กชั่นนี้รวบรวมเรือนเวลาที่มีฟังก์ชันซับซ้อนที่สุดในโลก เช่น Perpetual Calendar, Minute Repeater, Tourbillon และ Split-Seconds Chronograph ซึ่งแต่ละเรือนใช้เวลาในการผลิตหลายเดือน หรืออาจถึงปี ด้วยกลไกที่ละเอียดกว่า 1,000 ชิ้น

เรือนที่โด่งดังที่สุดคือรุ่น Ref. 5208P หรือ 6301P ซึ่งมีเพียงไม่กี่เรือนในโลก และมักจะอยู่ในมือของนักสะสมระดับพิพิธภัณฑ์ หรือมหาเศรษฐีที่ต้อง “ได้รับเชิญ” เท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง

Patek Philippe กับตลาดการลงทุน: ของสะสม หรือหุ้นระยะยาว?

คนที่ซื้อ Patek Philippe มักคิดถึง มูลค่าทางวัฒนธรรมและเวลา มากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Patek Philippe คือหนึ่งในแบรนด์ที่ราคาขายต่อต่ำสุดมักจะ “สูงกว่าราคาตั้งต้น” โดยเฉพาะรุ่นที่ถูกยกเลิกผลิต เช่น Nautilus 5711/1A ที่เปิดตัวราคาเดิมเพียง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทย 977,000 กว่าบาท แต่กลับพุ่งทะยานถึง 150,000–200,000 ดอลลาร์ในตลาดมือสอง คิดเป็นเงินไทย 6.5 ล้านกว่าบาท

เรือนวินเทจจากยุค ’40s–’60s ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ราคาพุ่งขึ้นเฉลี่ยปีละ 10–15% และถูกจัดว่าเป็น “สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม” (Cultural Asset) โดยเฮาส์จัดประมูลใหญ่ๆ เช่น Phillips, Christie’s และ Sotheby’s

บทสรุป: นาฬิกา หรือ มรดก?

นาฬิกาจาก Patek Philippe ไม่ใช่แค่วัตถุที่มีราคา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวด้วยจังหวะของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และภูมิปัญญา

การจะได้ครอบครองเรือนเวลาสักหนึ่งเรือนจากแบรนด์นี้ อาจต้องรอคิวหลายปี แต่นั่นก็สะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของแบรนด์ที่ว่า: “ของที่ดีไม่ได้มีไว้ให้ทุกคนเข้าถึง แต่มันจะไปถึงคนที่มีเวลาเข้าใจ”

และในโลกที่เวลาวิ่งเร็วกว่านาฬิกาข้อมือเสียอีก บางทีสิ่งที่เราควรตามหาอาจไม่ใช่แค่ “เรือนเวลา” แต่คือ นาฬิกาอันเปี่ยมด้วยความหมาย ที่ยืนนานข้ามกาลเวลาเหมือน Patek Philippe ก็เป็นได้

Similar Articles

More