Photo: Top Ponpisut
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan
‘เจฟ-วรกมล ซาเตอร์’ ที่สุดของตัวแทนความไหลลื่นทางเสียงเพลงและเจตคติ ณ โมเมนต์นี้ สำหรับเจฟ เพลงคือสิ่งที่ฝังอยู่ในเซลล์ เปรียบเสมือนขาที่พาก้าวเดินไปหลายที่ในโลก และนำทางไปในที่ที่ไม่คาดคิดว่าจะสามารถไปถึงได้ ทุกๆ ผลงานของเจฟถูกการันตีโดยยอดวิวและพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นศิลปินที่น่าทึ่งแค่ไหน… เพราะตัวเลขไม่โกหก

ตอนนี้เจฟทำอะไรอยู่บ้าง และผลงานในอนาคต
ตอนนี้กำลังทำอัลบั้มอยู่ครับ แล้วก็มีเพลงที่ปล่อยออกมาคือเพลง ‘ก่อนที่เธอจะลืมฝัน’ สามารถฟังได้ใน YouTube แล้วก็ Music Streaming ทุกช่องทางครับ แล้วก็ MV เพลงนี้ได้ เนเน่-พรนับพัน มาเล่นเป็นนางเอก MV ด้วย ช่วงปีหน้าก็จะมีซีรีส์และโปรเจกต์ที่น่าสนใจอีกเยอะมากๆ นะครับ อ้อ แล้วก็จะมีทัวร์คอนเสิร์ตซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงต้นๆ ปีหน้าครับ

รู้ตัวว่าชอบดนตรีและเสียงเพลงตั้งแต่เมื่อไร
คิดว่าเริ่มชอบเพลงตั้งแต่เด็กมากๆ ประมาณ 9 ขวบ 10 ขวบ จำได้ว่าฟังเพลงเยอะมากๆ ในยุคนั้นยังเป็นซีดีกับเทปแคสเซ็ตอยู่เลยครับ ชอบฟังศิลปินหลายคนและหลายแนว ส่วนใหญ่จะฟังเพลงเมทัลมากกว่า เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เรียนน่าจะเป็นกีตาร์คลาสสิกตอนอยู่ ป.3 แต่พอวิ่งกระสอบแล้วเราล้ม นิ้วร้าว ก็เลยเลิกเล่นกีตาร์ไป แล้วก็มาคิดว่าเรียนอะไรดี ก็เลยมาเรียนกลอง แต่เรียนแป๊บเดียวแล้วก็เลิกไปครับ จากนั้นก็มาฟอร์มวงกับเพื่อนตอนช่วง ม.ต้น แล้วก็เริ่มเล่นดนตรีจริงจังช่วง ม.5 – ม.6 ครับ
จริงๆ ผมรู้สึกว่าที่ชอบดนตรีเพราะน่าจะรู้สึกว่า มัน Drive คนให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ได้ อย่างคนที่ชอบฟังเพลงร็อก ดนตรีของเพลงจะบิลต์อารมณ์ให้เรารู้สึกกระตุ้นและฮึกเหิม ทำให้เราดิ่งแล้วก็ไฮกับดนตรีที่มันเกิดขึ้น แล้วก็อีกอย่างครับ เพลงทำให้คนรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ หรือเวลาเราดูคอนเสิร์ตแล้วมัน Relate ผู้คนเข้าด้วยกัน

เพลงคืออะไรสำหรับเจฟ
ผมว่าสำหรับผมมันคือชีวิตผมแหละ หมายถึงชีวิตแล้วก็เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในเซลล์เลยครับ มันคือเม็ดเลือดขาวของผมเลย คอยปกป้องทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ Detox แล้วก็เป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายตลอดเวลา ถ้าเมื่อไรที่ผมเกิดแผลขึ้นผมหยิบสิ่งนั้นออกมาแล้วก็เขียนเป็นเพลงต่างๆ เป็นเหมือนทั้ง Protector แล้วก็เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายไปไหนเลย มันคอยอยู่ตรงนี้ตลอด และเพลงเป็นสิ่งที่ผมมองแล้วรู้สึกเหมือนเป็นขาผม มันพาผมเดินไปหลายที่มากๆ ในโลก มันพาผมไปในที่ที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะสามารถไปถึงได้

คิดว่าอะไรที่ทำให้คุณเป็นเจฟ ซาเตอร์ในวันนี้
ถามว่าอะไรที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้ มันมีปัจจัยหลายอย่างแล้วก็หลายๆ คนที่ผมเคยร่วมงานด้วยที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ ต้องขอบคุณทุกๆ คนเลยครับ การเป็น Jeff Satur ในวันนี้มันคือการที่ถูกบ่มเพาะจากสิ่งที่เคยฟัง สิ่งที่เคยดู เคยอ่านมา เพราะผมเป็นคนที่ชอบเสพงานศิลป์ที่เป็นการเล่าเรื่องทั้งหมด เลยเก็บเล็กผสมน้อย จากตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย แล้ว Build Up มาเป็น Jeff Satur จนทุกวันนี้ ผมเป็นคนที่ชอบเขียนการ์ตูน ชอบฟังนิทานตั้งแต่เด็ก นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เล่าเรื่องผ่านเพลงได้มั้งครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาโดยที่ไม่กลัวว่าคนอื่นจะ Judge ว่าเราเป็นยังไง ซึ่งเป็นการ breaking barrier ที่สำคัญที่สุดครับ

ขอ 1 เพลงที่ touch เจฟมากที่สุด หรือทำให้ใจเต้น
‘Lay Me Down’ ของ Sam Smith ครับ ทำให้ใจเต้นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมฟังบ่อยมากกก ทุกครั้งที่ฟังก็จะรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในเพลงจริง ๆ และเป็นเพลงที่ทำให้ผมได้ค้นพบความเป็นตัวเองอะไรบางอย่างในเพลงนี้ด้วยครับ

ถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรี อยากเสนอแนะอะไร
ผมขอโฟกัสไปที่อุตสาหกรรมดนตรีในไทยแล้วกันครับ ผมรู้สึกว่าตอนนี้เรามี Potential มากที่จะ Break Through ไปสู่ระดับนานาชาติ ถ้ามีการสนับสนุนตรงส่วนนี้มากขึ้นศิลปินไทยน่าจะไปไกลกว่านี้ และเราก็จะสามารถทำให้ T-pop เข้าไปถึงกลุ่มคนที่เราไม่คิดว่าจะไปถึงได้ ผมอยากให้มีการส่งเสริมตรงนี้ให้มันขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นครับ

คำสอนที่ดีที่เคยได้รับมา
คุณพ่อเคยพูดไว้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ แต่ว่าต้องไปหาว่ามันดีเพราะอะไร เออเนอะ ผมรู้สึกว่ามันมีหลายครั้งในชีวิตที่เฟลกับหลายๆ อย่าง แต่พอมันผ่านไป มันกลับมาเจอข้อดีของมันว่า อ๋อ เหตุการณ์นี้มันทำให้เกิดอีกเหตุการณ์ขึ้นมาที่มันทำให้เรามาอยู่ในจุดนี้ ผมเคยรู้สึกแย่กับอดีตบ้างที่ในตอนนั้นเรายังไม่สามารถ make it happen ได้ แต่พอเวลาผ่านไปผมเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างมันมีจังหวะและระยะเวลาของมัน สิ่งที่แย่ในอดีตเราสามารถนำมาปรับปรุงและทำปัจจุบันให้ดีขึ้นไปอีกครับ

แล้วชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับเจฟเป็นแบบไหน
ผมว่าชีวิตที่ดีที่สุดของผมคือชีวิตที่เรียบง่าย ชีวิตที่สงบ ชีวิตที่เราได้ทำสิ่งดีๆ และภูมิใจในตัวเองที่ได้ทำสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่ต้องแคร์คนอื่นมาก ในบั้นปลายชีวิตเห็นภาพตัวเองตอนแก่นั่งอยู่บนม้านั่งเงียบๆ ท่ามกลางอากาศดีแสนสงบ ผมรู้สึกว่านั่นคือชีวิตที่ดีที่สุดแล้วครับ

วันนี้เรามาทำงานร่วมกับคาร์เทียร์ คิดว่าคาร์เทียร์มีความเหมือนหรือจุดเชื่อมโยงกับเจฟอย่างไร
ในมุมมองของผม ผมรู้สึกว่าปรัชญาของคาร์เทียร์มี Legacy แต่ว่าในขณะเดียวกัน ในความเป็น Legacy ของคาร์เทียร์ไม่เคยยอมปล่อยให้ตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลังเลย ยังคง Catch Up กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมาตลอด บอกเล่าในเรื่องที่ Break Boundaries เสมอ แล้วก็ไดเรกชั่นการสื่อสารมักจะมีมุมมองใหม่ๆ และ Renew อยู่ตลอด
เหมือนผมเองในฐานะอาร์ทิสต์ผมรู้สึกว่าชีวิตในการเป็นศิลปินมันเหมือนการเดินทางอยู่ตลอดเวลา ต้องหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ สิ่งที่จะพูดใหม่ๆ อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกทอดทิ้งไป หรือทอดทิ้งตัวเองไปตามกาลเวลา ต้องมีความคลาสสิกผสมกับความใหม่ มันจึงจะเกิดเป็นสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วก็ผมรู้สึกว่าความเป็นตัวเองตรงนี้แหละ ที่ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม มันจะ Timeless เสมอ เพราะมันไม่มีใครเป็นตัวเราได้มากกว่าตัวเราแล้วครับ ถ้าเราไม่ทอดทิ้งความเป็นตัวเองไป และเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะเป็นสิ่งที่คลาสสิก Timeless และไม่สามารถมีใครมาทดแทนได้ ผมว่านี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างเจฟ ซาเตอร์กับคาร์เทียร์ครับ

เครื่องประดับสำคัญกับชีวิตเราอย่างไร
ผมเป็นคนที่ติดเครื่องประดับมาก ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากได้เอเนอร์จีแบบไหนในแต่ละวัน ผมรู้สึกว่าเป็นคนหนึ่งที่ชอบ Decorate ตัวเอง เสื้อผ้ากับเครื่องประดับจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แล้วพอมาประกอบกันก็จะให้เอเนอร์จีที่สดใหม่เสมอ ที่สำคัญเป็นหนึ่งในความมั่นใจของผมด้วยครับ ผมรู้สึกว่าการใส่ต่างหู แหวน หรือนาฬิกา จะช่วยเพิ่มเอเนอร์จี้อะไรบางอย่างให้เรา ยิ่งถ้าอยู่บนสเตจผมจะรู้สึกว่าเครื่องประดับจะส่งพลังให้เราและเพอร์ฟอร์มได้สุดครับ