‘เติ้น-ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์’ อีกหนึ่งชื่อที่คนไทยควรเริ่มจดจำในฐานะดาวรุ่งบนโลกความเร็วระดับสูง

เติ้น-ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์ คือนักแข่งรถวัย 19 ปี ที่เริ่มต้นจากสนามโกคาร์ทเล็กๆ ก่อนก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ระดับโลกอย่าง FIA Formula 3 Championship ฤดูกาล 2024 ในนามของทีม AIX Racing จากเยอรมนี ซึ่งเติ้นเพิ่งคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในรายการ Hungarian F3 Sprint Race 2024 กลายเป็นนักแข่งไทยคนแรกที่พาธงชาติไทยขึ้นสู่โพเดียมในรายการ F3 ได้สำเร็จ ล่าสุดเขายังเป็นนักแข่งไทยคนแรกที่เพิ่งคว้าแชมป์ ฟอร์มูล่าทรี ที่สนามซิลเวอร์สโตน เซอร์กิต ภายใต้ทีม Campos Racing โดยเขาออกสตาร์ทเป็นลำดับที่ 1 จากนักแข่งทั้งหมด 30 คน โดยจะทำการแข่งขันกันทั้งหมด 18 รอบสนาม เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่เติบโตมากับเสียงเครื่องยนต์และกลิ่นน้ำมัน แต่เส้นทางของเขากลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่หลายคนคิด

เติ้นมีชื่อจริงว่า ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์ เป็นทายาทของผู้นำเข้ารถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย แม้จะเติบโตในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับโลกความเร็ว แต่ทุกย่างก้าวของเขาเกิดจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ และการลงสนามจริงตั้งแต่อายุยังน้อย จาก British F4 สู่ Eurocup-3 จนถึงการลงแข่งขัน F3 เต็มฤดูกาล เติ้นฝ่าฟันบททดสอบทั้งในสนามและในใจเขาเอง ไม่เพียงแข่งเพื่อชัยชนะ แต่แข่งเพื่อพัฒนาตัวเอง แข่งเพื่อผลักดันทีม และแข่งเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่านักแข่งไทยก็ไปได้ไกลเช่นกัน

ในบทสัมภาษณ์นี้ ELLE MEN ชวนคุณไปพูดคุยกับเติ้นอย่างใกล้ชิดก่อนคว้าแชมป์ ฟอร์มูล่าทรี ครั้งล่าสุด ถึงเบื้องหลังชีวิตนักแข่งรุ่นใหม่ที่คิดอย่างเป็นระบบ ฝึกซ้อมอย่างจริงจัง และเชื่อมั่นในพลังของการเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจมาให้ชาวแอลเมนได้ทำความรู้จักหนุ่มคนนี้มากขึ้น

ก่อนขึ้นมาแข่งในระดับ F3 ผ่านรายการในระดับภูมิภาคมาหลายสนาม ประสบการณ์เหล่านั้นสอนอะไรเติ้นมากที่สุด

เกือบทุกคนในวงการมอเตอร์สปอร์ตเริ่มต้นจากโกคาร์ท ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก ซึ่งนักขับ F1 ทั้ง 22 คนล้วนผ่านโกคาร์ทกันมาแล้วเหมือนกัน โกคาร์ทสอนเรื่อง Race Craft และเทคนิคต่างๆ ที่จะเอาไปใช้กับรถฟอร์มูล่าได้ เช่น การเบรกหรือเข้าโค้ง ซึ่งหลักการมันคล้ายกันมาก ส่วนตัวผมเคยแข่ง F4 มาแล้วสองรายการคือ Spanish F4 กับ British F4 ก่อนจะต่อด้วย Eurocup-3 ซึ่งเป็นเหมือนขั้นกลางระหว่าง F4 กับ F3 ปีนี้ก็เป็นปีที่สองของผมใน F3 แล้วครับ ได้เรียนรู้เยอะเลย ทั้งเรื่องสนามที่ยุโรปซึ่งพื้นเกาะกว่าที่บ้านเราเยอะ ทำให้ต้องปรับตัวพอสมควร ไหนจะเรื่องของรถที่เร็วขึ้น หนักขึ้น ต้องฟิตร่างกายมากขึ้น และเรื่องสภาพจิตใจก็สำคัญมากครับ เดี๋ยวนี้นักแข่งหลายคนรวมถึงผมเองด้วยจะมี mental coach มาช่วยดูแลในจุดนี้

ปีนี้ได้กลับมาร่วมงานกับ Campos Racing อีกครั้ง รู้สึกต่างจากเดิมอย่างไรบ้าง

ผมเคยอยู่กับ Campos Racing ตอนแข่ง Eurocup-3 ในปี 2023 ครับ พอกลับมาร่วมทีมกันอีกครั้ง ปีนี้เลยรู้สึกว่าเราทำงานด้วยกันลื่นไหลมากขึ้น เพราะรู้จักทีมงานอยู่แล้ว โดยเฉพาะทีม engineer ที่จะคอยดูแลผมตลอดฤดูกาล ซึ่งความสัมพันธ์ตรงนี้สำคัญมาก เพราะเราต้องสื่อสารกันตลอดเวลาเกี่ยวกับการเซตอัปรถ Campos Racing ถือเป็นทีมที่มีประสบการณ์สูงใน F3 อยู่ในวงการมาตั้งแต่ยุค GB3 ต่างจากทีมเดิมของผมเมื่อปีที่แล้วที่เพิ่งเข้าวงการมาแค่สองปี ประสบการณ์ของทีมนับเป็นจุดแข็งที่ชัดเจนมาก ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยให้เราทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในปีนี้

เรื่องไหนที่รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้นชัดเจนที่สุดจากปีแรกใน F3

F3 เป็นรายการ support race ของ F1 ครับ คือแข่งในสนามเดียวกันเลย อย่าง F1 แข่งตอนบ่าย F3 ก็แข่งตอนเช้า ซึ่งต่างจาก F4 หรือรายการเล็กๆ ที่เรามีเวลาซ้อมมากกว่า ใน F3 เรามีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงในการซ้อมแต่ละสนาม ดังนั้น ต้องปรับตัวให้เร็วมากๆ ปีแรกผมใช้เวลาเรียนรู้ทุกอย่าง แล้วปีนี้ก็เอาประสบการณ์กลับมาใช้เต็มที่ ไม่ใช่แค่เรื่องการขับ แต่รวมถึงการเตรียมร่างกายด้วย เพราะซีซั่นนี้ยาวนานมาก (ตั้งแต่มกราคมจนถึงตุลาคม) ผมยังเรียนมหา’ลัยที่อังกฤษ เลยต้องแบ่งเวลาไปเทรนทั้งที่นั่นและที่ไทย

แล้วเรื่องไทม์โซนล่ะ ปรับตัวยากไหม

ยากเหมือนกันครับ อย่างสนามแรกปีนี้ที่เมลเบิร์น เวลาห่างจากอังกฤษ 12 ชั่วโมง ผมต้องบินไปก่อนล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายปรับตัวทัน ก็ช่วยได้เยอะเลย

F3 มีแข่งที่เอเชียบ่อยไหม

ไม่ค่อยบ่อยครับ มีแค่เมลเบิร์นกับบาห์เรนที่เป็นสองสนามแรก ที่เหลืออยู่ในยุโรปหมดเลย

เล่าถึงความสำเร็จในสนามฮังกาโรริงที่ขึ้นโพเดียมได้เป็นครั้งแรกให้ฟังหน่อย

ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะขึ้นโพเดียมได้ เพราะทีมยังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่สนามฮังกาโรริงค่อนข้างแคบ มีโค้งเยอะ และแทบไม่มีทางตรงเลย ซึ่งเหมาะกับรถของทีมผมพอดี แม้อากาศวันนั้นจะร้อนมาก แต่รถเราก็เซตอัปมาเข้ากับสนามพอดี ผมควอลิฟายได้อันดับ 10 แล้วพอถึง sprint race ก็ได้ออกสตาร์ตที่อันดับ 3 ก่อนจะจบที่อันดับ 2 ถือเป็นนักขับไทยคนแรกที่ขึ้นโพเดียม F3 ซึ่งภูมิใจมากครับ

ตอนสตาร์ตพลาดแต่ยังไล่กลับมาได้ มีวิธีจัดการความกดดันอย่างไรบ้าง

ผมมี mental coach ชื่อพี่ปลา เขาเคยดูแลนักกีฬาโอลิมปิกหลายคน คอยช่วยในเรื่อง mindset เวลามีอะไรผิดแผน อย่างเช่นสตาร์ตพลาด ผมจะไม่คิดวนอยู่กับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จะโฟกัสกับสิ่งที่ยังทำได้ในช่วงที่เหลือ ในการแข่งแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ บางทีไม่ใช่ความผิดเราเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นปัญหารถหรืออย่างอื่น ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ เราทำได้แค่ ‘ไปต่อ’ เท่านั้นเองครับ

มีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นในฐานะนักแข่ง

สนาม MotorLand ในสเปน ปี 2023 ตอนนั้นผมควอลิฟายได้อันดับหนึ่งทั้งสองเรซ และในเรซแรกก็นำตั้งแต่ต้นห่างจากอันดับสองประมาณ 5-6 วินาที แต่เกิดปัญหาเครื่องยนต์ขึ้นมากะทันหัน ทำให้ต้องออกจากเรซ แล้วเรซสองก็ลงไม่ได้เพราะรถยังซ่อมไม่เสร็จ ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของใคร มันแค่เกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นสอนผมว่า ถึงแม้เราจะเตรียมตัวดีแค่ไหน บางอย่างก็อยู่เหนือการควบคุม ผมเรียนรู้ที่จะปล่อยวางแล้วเดินหน้าต่อให้เร็วที่สุด ซึ่งตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นจริงๆ

รู้สึกอย่างไรในฐานะตัวแทนนักแข่งไทยคนเดียวใน F3 ตอนนี้

ภูมิใจมากครับที่ได้แข่งในนามประเทศไทย ผมพยายามจะพาธงชาติไทยขึ้นโพเดียมให้ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส จริงๆ ตอนแข่งในยุโรปก็เหมือนเป็นสนามเหย้าของนักแข่งคนอื่นๆ เพราะพวกเขาอยู่และฝึกซ้อมกันที่นั่น แต่ผมก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ ซึ่งช่วยให้ปรับตัวได้ดีขึ้น และผมก็เชื่อว่านักแข่งไทยเก่งไม่แพ้ใคร ขอแค่ได้โอกาส ได้การสนับสนุนเหมือนที่ผมได้รับจากบางจากครับ

การซ้อมกับการแข่งจริง อะไรท้าทายกว่ากัน

แน่นอนว่าการแข่งจริงกดดันกว่าครับ ตอนซ้อมเราไม่มีอะไรให้กังวล ไม่มีเสียงเชียร์ ไม่มีคะแนนหรืออันดับ ก็เลยโฟกัสกับรถได้เต็มที่ แต่พอเป็นวันแข่งจริงทุกอย่างเปลี่ยนไป ทั้งแรงกดดัน ความคาดหวัง รอบควอลิฟายที่มีโอกาสแค่ครั้งเดียว การตัดเสียงรบกวนรอบข้างแล้วโฟกัสให้เหมือนตอนซ้อมคือกุญแจสำคัญครับ

ถ้าให้เลือกหนึ่งเหตุการณ์ที่คุณไม่มีวันลืมจากปีแรกใน F3 จะเป็นอะไร

มีสองสนามครับ สนามแรกคือฮังการีที่ได้ขึ้นโพเดียม F3 เป็นครั้งแรก และเป็นนักแข่งไทยคนแรกที่ทำได้ ตอนเห็นธงชาติไทยบนโพเดียมของสนามระดับโลก รู้สึกภูมิใจที่สุดในชีวิตเลยครับ อีกสนามคือ Monza ที่อิตาลี สนามสุดท้ายของฤดูกาล ผมสตาร์ตจากกริดที่ 11 แล้วต้องใช้ยางใหม่ในเรซแรก ซึ่งทำให้เรซสองยากขึ้นเยอะ แต่ผมก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาจนจบที่อันดับ 4 เกือบจะได้โพเดียม เป็นเรซที่สนุกมาก และเป็นการปิดซีซั่นปีแรกใน F3 ได้อย่างสวยงามครับ

ทุกสนามคือบทเรียน ทุกเรซคือโอกาสใหม่ และทุกครั้งที่เขาสตาร์ตเครื่องยนต์คือการประกาศให้โลกรู้ว่าธงไทยก็พร้อมทะยานบนเส้นทางความเร็วระดับโลก และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายฟอร์มูล่าที่น่าตื่นเต้นของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า เติ้น-ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์

Similar Articles

More