เรื่องราวเบื้องหลังที่หล่อหลอมให้ ‘สกาย-วงศ์รวี นทีธร’ ไม่ถอดใจไปจากเส้นทางการแสดง

บนเส้นทางการแสดงที่เต็มไปด้วยความท้าทาย สกาย-วงศ์รวี นทีธร เดินหน้าเก็บเกี่ยวชั่วโมงบินอย่างไม่ลดละ จากบทบาทแรกที่เต็มไปด้วยความกดดันและความไม่มั่นใจ จวบจนวันที่ค้นพบว่าการแสดงไม่เพียงเป็นอาชีพ แต่ยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เขาเข้าใจตัวตนของตัวเองมากขึ้น

หลังจากผ่านมาหลายคาแร็กเตอร์ หลายฉาก หลายเวิร์กชอป บทสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ถ่ายทอดทั้งมุมมอง ความคิด ตลอดจนเรื่องราวเบื้องหลังที่ช่วยหล่อหลอมให้สกายพัฒนาฝีมือโดยไม่ถอดใจไปเสียก่อน  ทั้งยังชัดเจนกับเป้าหมายที่จะก้าวต่อไปบนเส้นทางการแสดงมากขึ้นด้วย 

เล่าถึงผลงานการแสดงเรื่องล่าสุด

เพิ่งปิดกล้องซีรีส์เรื่อง MU-TE-LUV โปรดใช้วิจารณญาณในการรักเธอ ไปครับ เป็นเรื่องราวของนักมวยที่ถูกเล่าในมุมของ ‘สายมูเตลู’ โดยผมรับบทเป็นนักมวยที่ไม่ได้เก่งมาก แต่มีความตั้งใจอยากจะเก่งขึ้น จึงไปบนบานศาลกล่าวเพื่อให้ชกชนะ แต่กลับไม่รู้ว่าต้องแก้บนด้วย เลยถูกสาปให้กำหมัดไม่ได้ จนกว่าจะกลับไปรำแก้บน

ระหว่างถ่ายทำมีความท้าทายอย่างไรบ้าง

จริงๆ ไม่ได้มีอุปสรรคมากนัก ตัวละครของผมจะออกไปทางนักมวยสาย underdog ที่ดูไม่เก่ง มีความเปิ่นๆ ตลกๆ ท่าชกก็ดูมั่วๆ หน่อย ซึ่งความท้าทายจริงๆ สำหรับผมคือเรื่อง energy เพราะแม้จะเป็นซีรีส์แนวคอเมดี้ แต่ไม่ได้ขายขำเพียงอย่างเดียว ยังต้องใส่อินเนอร์เข้าไปให้เต็มที่ การแสดงเลยต้องเล่นใหญ่ ใช้ร่างกายเยอะ พลังงานของตัวละครเลยต้องสอดคล้องไปกับการเล่าเรื่องด้วย

รู้สึกอย่างไรเมื่อต้องแสดงเป็นตัวละครที่มีคาแร็กเตอร์แตกต่างจากตัวเองมากๆ

ที่ผ่านมา คาแร็กเตอร์ที่ได้รับค่อนข้างแตกต่างจากตัวผมเกือบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่อง Hormones วัยว้าวุ่น ที่มีการสัมภาษณ์นักแสดงก่อน แล้วนำเรื่องราวของเราบางส่วนไปใช้ประกอบในการสร้างตัวละคร ทำให้ตัวละครนั้นมีความใกล้เคียงกับตัวผมประมาณ 50-60% ส่วนที่เหลือถูกเพิ่มเติมเข้ามาทีหลัง แต่หลังจากนั้น คาแร็กเตอร์ที่ได้รับก็แทบจะไม่เหมือนกับตัวจริงเลย

ช่วงแรกๆ ของการทำงาน ผมยอมรับว่ากดดันมาก เพราะเวลาที่อ่านบทแล้วเจอซีนยากๆ จะรู้สึกกดดันทันที แต่ในความกดดันนั้นก็มีความพยายามและความอยากพิสูจน์ตัวเองซ่อนอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นเรายังหาคำตอบไม่เจอว่าเข้ามาอยู่ในวงการเพื่ออะไร ก็เลยเหมือนถูก ‘โยน’ เข้ามาโดยที่ยังไม่มีแพสชั่นชัดเจนกับการแสดง ทำให้รู้สึกว่าหน้าที่ของเราคือแค่ทำไปตามที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น

อะไรคือจุดเปลี่ยนทำให้สกายรู้สึกว่านี่คือเส้นทางที่ใช่สำหรับตัวเอง

ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สามครับ เพราะสองเรื่องแรกมันเหมือน appetizer ที่ทำให้เราได้ลิ้มลอง ส่วน Side by Side เหมือนเป็น main course ที่จุดไฟในตัวผมให้ลุกขึ้นจริงๆ ที่ผ่านมา ผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก อยู่ในกรอบ เรียนเสร็จก็กลับบ้าน ไม่ค่อยมีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตเพื่อนำมาใช้กับการแสดง ทำให้ตอนเริ่มต้นรู้สึกเหมือนอยู่ที่ศูนย์ บางทีก็ติดลบด้วยซ้ำ

จำได้ว่าตอนเวิร์กชอปเรื่องแรก ผมยังไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร เช่น ถ้าตอนนี้ถูกถาม ผมสามารถตอบได้ว่า ‘ง่วง’ หรือ ‘กำลังพยายามพูดให้เข้าใจ’ แต่เมื่อก่อนกลับอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ได้ รู้แค่ว่าหนาวหรือแอร์เย็น ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ข้างในที่แท้จริงของเรา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึง objective ของตัวละครได้ ต้องอาศัยคนคอยกำกับ หรือคอยบอกตลอดว่าตัวละครต้องการอะไร ทุกอย่างไม่ได้มาจากความเข้าใจของเราเอง

อีกปัจจัยสำคัญคือ ‘พี่บอส’ ผู้กำกับที่คอย push สิ่งที่อยู่ข้างในผมออกมา สองเรื่องแรก ทั้ง Hormones และ I Hate You, I Love You ก็มีทั้งคนชื่นชอบและคนวิจารณ์หนักเหมือนกัน กลายเป็นว่าหลายคนเอ็นดูตัวละครที่ผมเล่น ไม่ใช่ที่ฝีมือการแสดงของผม เพราะฉะนั้น Side by Side คือตัวแปรสำคัญที่จะเป็นจุดตัดสินว่าผมจะอยู่หรือไป ทุกคนในกอง ทั้งพี่บอสและทีมงานก็ช่วยกันผลักดันเต็มที่ในการเวิร์กชอป เพื่อให้ผมเค้นสิ่งที่มีออกมา

แต่ปัญหาคือผมเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย รู้สึกว่าคนอื่นเก่งกว่าตลอด คิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงานนี้และอาจจะต้องเดินออกไป จนบางครั้งไม่กล้าแสดงความคิดหรือสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ไว้กับตัวละครออกมา ทั้งที่คนอื่นเห็นศักยภาพในตัวผมตั้งแต่เรื่องแรกแล้ว แต่เพราะผมไม่มั่นใจ เลยไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้คนเห็น เล่นไปตามบทเท่านั้น

จนมาถึง Project S: Side by Side บทที่ได้รับเป็นเด็กที่ขี้น้อยใจและอิจฉาพี่ชาย เวลาทำเวิร์กชอป ทีมงานจะคอยกระตุ้นให้ผมรู้สึกอิจฉาจริงๆ เช่น ชมแต่พี่ต่อแต่ไม่ชมผม ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นพลังที่สามารถใส่เข้าไปในตัวละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ใช้สิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์จากบทมาเติมเต็มตัวละครจริงๆ

ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนที่แท้จริงคงมาจากความมั่นใจที่ค่อยๆ บ่มเพาะขึ้น การเริ่มคุ้นชินกับกองถ่าย การทำงาน และการเปิดใจมากขึ้น แม้โดยพื้นฐานผมจะเป็นคนอินโทรเวิร์ต เปิดใจกับใครยาก แต่ตลอดสามปีนั้นก็ทำให้ผมเรียนรู้ที่จะเปิดตัวเองและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมีมากขึ้นครับ

การแสดงช่วยให้สกายเข้าใจตัวเองมากขึ้นไหม

มากขึ้นครับ เมื่อก่อนผมไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลย ตอนนั้นใช้ชีวิตไปตามปกติ ตั้งใจเรียน สอบให้ได้คะแนนดีๆ ทุกอย่างเรียบง่ายมาก ด้วยความที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด มันไม่ได้มีปัจจัยอะไรมารุมเร้าเหมือนในอยู่เมือง ไม่มีรถติดให้หงุดหงิด ไม่มีปัญหาให้ต้องรับมือ

แต่พอได้มาทำงานแสดง มันทำให้เราใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น ทำให้รู้จักการใช้กล้ามเนื้อ ข้อต่อ ค้นพบว่าร่างกายสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ทุกอย่างใช้สื่อสารอารมณ์ได้หมด เมื่อก่อนผมไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ หรือบางทีก็ไม่ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่การแสดงทำให้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้น แล้วสื่อสารออกไปอย่างซื่อตรง

มีผลงานเรื่องไหนที่เปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตบ้าง

คงเป็นตอนเล่นเรื่อง รักฉุดใจนายฉุกเฉิน มีอยู่ฉากหนึ่งที่หมอเป้ง (รับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ต้องรักษาฆาตกร ซึ่งฆาตกรคนนั้นคือคนที่ทำร้ายคนรักและคนใกล้ชิดของเขา กลายเป็นสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง ‘จรรยาบรรณความเป็นแพทย์’ กับ ‘ความรู้สึกส่วนตัว’ สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตจริงของเราก็เต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ยากลำบากแบบนี้เหมือนกัน ระหว่างหน้าที่กับความรู้สึก สิ่งไหนจะมีน้ำหนักกว่ากัน เราเองก็ไม่สามารถตัดสินได้เลยว่าถูกหรือผิด เพราะหากอยู่ในสถานการณ์นั้น เราก็อาจเลือกต่างออกไป มันเหมือนการวางชีวิตไว้บนตาชั่ง ที่ต้องชั่งระหว่างเหตุผลกับความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากจริงๆ 

แล้วแรงบันดาลใจในการทำงานของสกายส่วนใหญ่มาจากไหน

ส่วนตัวเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องง่ายๆ อย่างการกินครับ เวลานอนยังคิดเลยว่าพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไรดี มื้อเช้าอยากเป็นอาหารฝรั่งเบาๆ แต่มีโปรตีนพร้อมกาแฟสักแก้ว มื้อเที่ยงค่อยเป็นอาหารไทย คิดเรื่องกินเยอะมากจริงๆ (หัวเราะ) ซึ่งมันก็เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกอยากตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในแต่ละวัน นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของการทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว อาจจะไม่ได้แพลนล่วงหน้านานมากนัก แต่ก็คิดทุกวันว่าจะทำอะไร กินอะไร ใช้ชีวิตยังไงครับ

Credit Team:
Editor-in-Chief : Nichakul Kitayanubhongse
Photographer : Prathomporn Phueakphud
Fashion Editor : Ratchakrit Chalermsan
Make up: Piyachet Thanachotruechuwong
Hair: Nattawut Tasara (Rindahair)

Similar Articles

More