คุยสบายๆ กับ ‘เพิร์ธ-ธนพนธ์’ ผู้ชายที่ชัดเจนกับความรู้สึก และมองความสำเร็จเกินกว่าชื่อเสียง

เปิดบทสนทนากับ เพิร์ธ-ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร ชายหนุ่มวัย 24 ที่เปิดใจเรียนรู้โลกใบนี้ไปทีละก้าวด้วยวิธีคิดที่ตรงไปตรงมา ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง และมองว่าความสำเร็จไม่ใช่แค่เรื่องของชื่อเสียง แต่คือการได้ใช้ชีวิตอิสระและเรียบง่าย

พ้นไปจากงานแสดงและงานเพลง น่าสนใจว่าชีวิตของเพิร์ธต้องพบเจอกับความท้าทายใหม่ๆ อะไรบ้างท่ามกลางยุคสมัยที่อุตสาหกรรมวงการบันเทิงมีดารานักร้องแจ้งเกิดชนิดไม่ขาดสาย กว่าจะถึงวันที่แสงไฟสาดส่องมายังผู้ชายคนนี้ วันที่แฟนๆ อ้าแขนต้อนรับตัวตนของเพิร์ธอย่างรักใคร่ชื่นชม เราจึงอยากชวนเขามาพูดคุยถึงเรื่องราวการเรียนรู้และการปรับตัวเพื่อข้ามผ่านความกดดันไปอยู่ในจุดที่เติบโตขึ้น

จากผลงานที่ผ่านมา มีเรื่องไหนที่เพิร์ธอินกับบทบาทจนรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครนั้นจริงๆ

จริงๆ ต้องบอกว่าแทบทุกเรื่องเลยครับ เวลาเล่นผมจะพยายามเป็นตัวละครนั้นจริงๆ มากกว่าจะเอาตัวเองเข้าไปเล่น เพราะงั้นเลยรู้สึกอินกับทุกบทบาทเลย

แล้วบทบาทที่ยากที่สุดสำหรับเพิร์ธล่ะ 

คิดว่าน่าจะเป็น Scarlet Heart Thailand ที่กำลังถ่ายอยู่ตอนนี้ครับ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ต้องเล่นบทแบบย้อนยุค ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนเลย การแสดงเป็นคนในยุคสมัยนั้นมันมีรายละเอียดที่แตกต่างจากปกติมาก ทั้งท่าทาง การใช้ภาษา และบรรยากาศโดยรวม ทำให้รู้สึกท้าทายและตื่นเต้นมากๆ ครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากบทบาทนักศึกษาหรือตัวละครในยุคปัจจุบันที่เคยเล่นมาอย่างสิ้นเชิง

ในเรื่อง Scarlet Heart Thailand ต้องใช้ภาษาพูดแบบโบราณ เพิร์ธมีวิธีฝึกอย่างไรบ้าง

จริงๆ ไม่ได้ถึงขั้นมีการฝึกเป็นพิเศษนะครับ แต่พยายามพูดให้ช้าลง แล้วก็ออกเสียงให้ชัดขึ้น เพราะคนสมัยก่อนเขาจะพูดชัดมาก อีกอย่างคือจะมีบางคำที่เราใช้บ่อยในปัจจุบัน แต่ตอนนั้นยังไม่มี เราก็ต้องระวังไม่ให้เผลอพูดออกมา ไม่งั้นอาจโดนผู้กำกับดุได้ครับ (หัวเราะ) นอกจากเรื่องการพูดแล้ว การถ่ายทำยังมีอะไรแปลกใหม่เยอะมาก ผมได้เรียนขี่ม้า เรียนการต่อสู้ เรียนฟ้อน ได้ไปฝึกในสถานที่จริงๆ ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้ผมสนุกไปอีกแบบครับ

ถ้าไม่ได้มาเป็นนักแสดง คิดว่าตัวเองน่าจะไปทำอาชีพอะไร

ผมน่าจะเปิดร้านแต่งรถหรือร้านคาร์แคร์ เพราะเป็นสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ผมหลงใหลเรื่องรถมาก จริงๆ จุดเริ่มต้นมาจากคุณพ่อ เขาชอบแต่งรถมานานแล้ว ซึ่งเป็นภาพที่ผมคุ้นชินและรู้สึกว่ามันเท่มาก เลยกลายเป็นความหลงใหลติดตัวมา พอผมมีรถคันแรกก็เริ่มแต่งเอง ไปอู่ ไปลองของ วันว่างๆ ถ้าไม่อยู่บ้านหรือไปทำกิจกรรมกับครอบครัว ก็มักจะเอาเวลามาอยู่กับรถ ผมเลยรู้สึกว่ารถคือสิ่งที่ผูกพันกับเรามาตลอด และถึงแม้จะไม่ได้มาทางสายแข่งรถ แต่ก็ชอบทำรถให้แรง เอาไว้ดริฟท์เล่นๆ

โมเม้นต์ที่รู้สึกมีความสุขและเรียบง่ายที่สุดของเพิร์ธคือช่วงเวลาไหน

ผมชอบช่วงเวลาประมาณตี 1-2 เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่หลับกันหมดแล้ว ไม่มีความวุ่นวาย รู้สึกโล่งและสงบมาก ผมจะดูหนัง ฟังเพลง หรือออกไปขับรถเล่นก็ได้ เพราะเหมือนช่วงนั้นมันเป็นเวลาของเราจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่จะได้ทบทวนความคิดตัวเองด้วยครับ

ถ้ามีเวลาพักจากงานแสดง สิ่งแรกที่อยากทำคืออะไร

อยากนอนครับ (หัวเราะ) ถ้าอยู่บ้านผมจะชอบรถ จริงๆ ฝันว่าอยากมีที่ดินสักแปลงแถวบ้านเพราะมีแม่น้ำใหญ่กับบึง รู้สึกว่าถ้าได้สร้างบ้านตรงนั้นแล้วอยู่ยาวๆ ทั้งปีโดยไม่ต้องไปไหนก็คงดีมากครับ

เพิร์ธเคยนิยามตัวตนว่าเป็นคนอิสระ

สำหรับผม ความเป็นอิสระคือการได้เป็นตัวเองเต็มที่ครับ มีความคิดเห็นอย่างไรก็พูดออกมา ไม่ต้องเก็บหรืออึดอัด แต่ก็อยู่บนพื้นฐานที่เราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราเป็นตัวเองและใช้ชีวิตในแบบที่เรามีความสุข เช่น อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป ซึ่งผมโชคดีที่ครอบครัวเลี้ยงดูแบบปล่อยให้เราเลือกเองตั้งแต่เด็ก ทำให้ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอดครับ

คิดว่าความท้าทายของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้คืออะไร แล้วเพิร์ธรับมือกับมันยังไง

ผมว่าทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ เศรษฐกิจก็ไม่ได้ดีนัก คนรุ่นใหม่เลยต้องทำงานหนักมาก วิธีที่ผมใช้รับมือกับความท้าทายเหล่านี้คือทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ แค่นั้นเลยครับ

เพิร์ธเชื่อในเรื่องพรสวรรค์หรือพรแสวงมากกว่ากัน

ผมว่าทั้งสองอย่างสำคัญนะครับ พรสวรรค์อาจมีส่วนให้เราทำบางเรื่องได้ดีแบบไม่ต้องฝึกฝนเยอะ แต่ก็ต้องมีพรแสวงเข้ามาเสริมด้วย ต้องขยันซ้อมแล้วเอามาผสมกัน แบบนี้ถึงจะดีที่สุดครับ

ในมุมมองของเพิร์ธ ความสำเร็จหมายถึงอะไร

สำหรับผม เป็นภาพชีวิตในอนาคต วางเป้าหมายถึงตอนที่เราอายุมากขึ้นแล้วมีครอบครัวที่อบอุ่น หรือถึงจุดที่ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนเดิมแล้ว สมมติอายุสักประมาณ 40-60 ปี ถ้าเราได้ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ผมถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ

นักแสดงคนไหนที่เพิร์ธยกให้เป็นไอดอล

ผมชอบ Al Pacino โดยเฉพาะบทบาทใน The Godfather (1972) กับ Scarface (1983) คือเป็นไอดอลจริงๆ ถึงเขาจะอายุเยอะแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากเจอสักครั้ง

ถ้าเลือกบทบาทเองได้ อยากลองเล่นบทแบบไหน

ผมชอบบทนักเลงหรือตัวละครที่มีฉากบู๊ต่อสู้ อาจเพราะโตมากับหนังแนวนี้ อากงกับพ่อก็ชอบดูหนังฮ่องกงหรือหนังญี่ปุ่นที่มีฉากต่อยตีกัน ผมก็ดูตั้งแต่เด็กๆ เลยรู้สึกอิน มันสนุกมากเลย 

การเป็นนักแสดงเปลี่ยนวิธีคิดหรือมุมมองการใช้ชีวิตของเพิร์ธบ้างไหม

เปลี่ยนครับ รู้สึกว่าโตขึ้นกว่าตอนเด็กๆ พอเราเริ่มทำงานเร็วกว่าคนอื่น เลยได้เรียนรู้และมีความรับผิดชอบมากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน จริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนที่มีระเบียบมากนักหรอกครับ แต่เพราะโดนบังคับให้ตื่นเช้าไปกองถ่ายตั้งแต่เด็ก มันเลยกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แม้จะไม่อยากตื่นแต่ก็ต้องทำ เพราะมันเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ส่วนวันไหนที่เป็นวันว่างของผมจริงๆ ผมก็จะปล่อยตัวปล่อยใจ อยากทำอะไรก็ทำ อยากตื่นกี่โมงก็ตื่น แบบนี้ผมมีความสุข มันเลยกลายเป็นการบาลานซ์ชีวิตไปในตัวครับ

Credit Team:
Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor: Ratchakrit Chalermsan
Makeup : Chinnakrit tanasontirach
Hair : Thanupol Phoothepamornkul

Similar Articles

More